วันนี้เพื่อนโทรปรึกษาเราเรื่องความเฟค (fake) ของบุคคลอื่นที่ได้กระทำกับต่อคุณเพื่อน ประมาณว่าคนๆหนึ่งสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีจนวินาทีสุดท้าย แต่พอผ่านไปได้ไม่ทันไรความสัมพันธ์ก็กลายเป็นคนไม่รู้จักกันเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ว่าได้
เรื่องนี้ทำให้ จขกทนึกถึงตัวเองเมื่อต้นปี2553 เราเคยลาออกจากที่เก่าเพราะต้องเคลียร์ปัญหาส่วนตัว(กลับไปดูแลแม่ที่ป่วยหนัก)และพักกายพักใจให้หายเหนื่อยล้า เจ้านายก็ยื้อสุดๆๆ ตอนยื่นใบลาออกเจ้านายเก่าบอกว่า ให้กลับมาทำงานด้วยกันได้ทุกเมื่อ ตำแหน่งผจก.ก็ยังรักษาไว้เหมือนเดิม สามเดือนผ่านไปเมื่อดูแลแม่จนสิ้นใจแล้ว ก็ติดต่อเจ้านายเพื่อขอกลับไปทำงานอีกทั้งทางเมลล์และโทรศัพท์ หลายครั้ง หึๆๆๆ ผลลัพธ์คือ disconnected
ในที่สุดโทรหาฝ่ายบุคคล ได้คำตอบว่าเจ้านายเราโปรโมทคนอื่นขึ้นมาแทนเราตั้งแต่เดือนแรกแล้ว และเจ้านายฝากบอกว่า
ขอให้เราโชคดีกับการหางานใหม่(ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนอีโต้สับหัวสองซีกเหมือนแตงโม เพราะเกือบสองเดือนแรกเจ้านายคนนี้โทรปรึกษาเราเรื่องงานตลอด ไม่ปริปากบอกเราสักคำ ) เราก็ได้แต่อึ้งพูดไม่ออก เราก็ได้แต่พูดว่าค่ะและวางสายไป
เมื่อเป็นดังนั้นก็กลับมาทบทวนหลายต่อหลายครั้ง เรามันโง่เองอ่อนต่อโลก มองเจ้านายที่ทำงานแบบร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมา
เอาตัวไปเสี่ยงบาทาลูกค้าร่วมกับนายหลายต่อหลายครั้ง หลงเข้าใจผิดว่าเจ้านายคงจะซาบซิ้งในการทำงานของเราไม่อย่างนั้นก็คงไม่บอกให้กลับไปทำงานด้วยกันอีก เฮ้อสุดท้ายก็แค่....เจ้านายก็แค่อยากจะดูดีรักษาสร้างภาพจวบจนนาทีสุดท้าย (มิน่าล่ะ ต่อหน้าลูกค้าก็ ได้ครับๆๆตลอด เราเคยถามเขาว่า รับปากลูกค้าไปแบบนั้นทุกเรื่องถ้าทำไม่ได้ขึ้นมาไม่แย่เหรอ เขาบอกเราว่าก็ให้ทำเฉยๆเป็นปกติไปซะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนียนไป ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีนะ เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนให้เราเป็นคนรักษาคำพูดต่อผู้อื่นเสมอ ได้ก็บอกว่าได้ ไม่ได้ก็บอกไม่ได้ อย่าโกหก เพราสุดท้ายจะไม่เหลือใครให้เชื่อในตัวเราได้อีก และไม่คิดว่าสุดท้ายเจ้านายก็เลือดเย็นอย่างนี้กับเรา)
Sayonara Japanese goodbey เพลงมันก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที (เกี่ยวอะไรกันไหมเนี่ย) จากสามวันเจ้านายก็เป็นอื่น
รบกวนแชร์เรื่องที่คุณเสียความรู้สึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลบ้างได้ไหมค่ะ
เรื่องนี้ทำให้ จขกทนึกถึงตัวเองเมื่อต้นปี2553 เราเคยลาออกจากที่เก่าเพราะต้องเคลียร์ปัญหาส่วนตัว(กลับไปดูแลแม่ที่ป่วยหนัก)และพักกายพักใจให้หายเหนื่อยล้า เจ้านายก็ยื้อสุดๆๆ ตอนยื่นใบลาออกเจ้านายเก่าบอกว่า ให้กลับมาทำงานด้วยกันได้ทุกเมื่อ ตำแหน่งผจก.ก็ยังรักษาไว้เหมือนเดิม สามเดือนผ่านไปเมื่อดูแลแม่จนสิ้นใจแล้ว ก็ติดต่อเจ้านายเพื่อขอกลับไปทำงานอีกทั้งทางเมลล์และโทรศัพท์ หลายครั้ง หึๆๆๆ ผลลัพธ์คือ disconnected
ในที่สุดโทรหาฝ่ายบุคคล ได้คำตอบว่าเจ้านายเราโปรโมทคนอื่นขึ้นมาแทนเราตั้งแต่เดือนแรกแล้ว และเจ้านายฝากบอกว่า
ขอให้เราโชคดีกับการหางานใหม่(ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนอีโต้สับหัวสองซีกเหมือนแตงโม เพราะเกือบสองเดือนแรกเจ้านายคนนี้โทรปรึกษาเราเรื่องงานตลอด ไม่ปริปากบอกเราสักคำ ) เราก็ได้แต่อึ้งพูดไม่ออก เราก็ได้แต่พูดว่าค่ะและวางสายไป
เมื่อเป็นดังนั้นก็กลับมาทบทวนหลายต่อหลายครั้ง เรามันโง่เองอ่อนต่อโลก มองเจ้านายที่ทำงานแบบร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมา
เอาตัวไปเสี่ยงบาทาลูกค้าร่วมกับนายหลายต่อหลายครั้ง หลงเข้าใจผิดว่าเจ้านายคงจะซาบซิ้งในการทำงานของเราไม่อย่างนั้นก็คงไม่บอกให้กลับไปทำงานด้วยกันอีก เฮ้อสุดท้ายก็แค่....เจ้านายก็แค่อยากจะดูดีรักษาสร้างภาพจวบจนนาทีสุดท้าย (มิน่าล่ะ ต่อหน้าลูกค้าก็ ได้ครับๆๆตลอด เราเคยถามเขาว่า รับปากลูกค้าไปแบบนั้นทุกเรื่องถ้าทำไม่ได้ขึ้นมาไม่แย่เหรอ เขาบอกเราว่าก็ให้ทำเฉยๆเป็นปกติไปซะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนียนไป ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีนะ เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนให้เราเป็นคนรักษาคำพูดต่อผู้อื่นเสมอ ได้ก็บอกว่าได้ ไม่ได้ก็บอกไม่ได้ อย่าโกหก เพราสุดท้ายจะไม่เหลือใครให้เชื่อในตัวเราได้อีก และไม่คิดว่าสุดท้ายเจ้านายก็เลือดเย็นอย่างนี้กับเรา)
Sayonara Japanese goodbey เพลงมันก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที (เกี่ยวอะไรกันไหมเนี่ย) จากสามวันเจ้านายก็เป็นอื่น