"ปู"เล็งใช้ระบบประกันระยะยาวแบบญี่ปุ่น

"ปู"เล็งใช้ระบบประกันระยะยาวแบบญี่ปุ่น

'นายกฯ' สนใจระบบประกันการดูแลระยะยาวของญี่ปุ่น สั่ง สธ.นำปรับใช้กับไทย เน้นให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ย้ำเตรียมพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ


                           26 พ.ค. 56  นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับฟังการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศญี่ปุ่นกับคณะของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยประเทศญี่ปุ่นได้ส่งนายคัตสุโนริ ฮารา อธิบดีสำนักสุขภาพและสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ และคณะผู้เชี่ยวชาญ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในครั้งนี้ ที่โรงแรมเพนนินซูลา ประเทศญี่ปุ่นว่า ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นได้นำเสนอถึงปัญหาการดูแลผู้สูงอายุ โดยญี่ปุ่นใช้เวลาเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรสูงอายุจาก 7% เป็น 14% ใช้เวลาเพียง 25 ปี จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต่างจากประเทศแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ที่ใช้เวลาประมาณ 50-120 ปี ญี่ปุ่นจึงต้องใช้เงินจำนวนมากในการดูแลผู้สูงอายุ จนต้องจัดให้มีระบบประกันการดูแลระยะยาวออกเป็นกฎหมาย ให้มีการจ่ายเงินเป็นค่าประกัน เริ่มจ่ายอายุ 40 ปี แต่จะมีผลในการใช้เมื่ออายุ 65 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ปี 2543 เพื่อดูแลผู้สูงอายุในการใช้ชีวิต นอกเหนือจากระบบประกันสุขภาพ

                           นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ความต้องการบริการดูแลระยะยาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก คาดการณ์ว่าจำนวนเงินจะเพิ่มขึ้นมาก อาจถึงประมาณ 21 ล้านล้านเยน จึงต้องจัดรูปแบบการดูแลใหม่ จากรูปแบบเดิมเน้นให้ผู้สูงอายุเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล แต่รูปแบบใหม่นี้ได้เน้นรวบรวมเอาโรงพยาบาล ชุมชน อาสาสมัคร เข้าไปดูแล คาดว่าจะสำเร็จ ในปี 2568 เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้เงินจำนวนมาก เพื่อเตรียมรับปี 2593 ซึ่งญี่ปุ่นจะมีผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 50% ของประชากร ทำให้เหลือวัยทำงานประมาณ 30% นอกจากนี้ปัญหาที่ประเทศญี่ปุ่นพบอีกก็คือ การดูแลผู้สูงอายุที่ความจำเสื่อมที่เพิ่มจาก 2 ล้านกว่าคนเมื่อ 10 ปีก่อน เป็น 5 ล้านคน โดยได้เน้นทำความเข้าใจกับชุมชน เพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้อยู่ในสังคมได้ และจัดทำโครงการหาอาสาสมัครผ่านการอบรมเข้ามาดูแล ซึ่งสามารถดูแลผู้สูงอายุกลุ่มนี้ได้พอสมควร

                           ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่ญี่ปุ่นให้คำแนะนำว่า ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเร็ว ในประเทศฝรั่งเศสใช้เวลา 100 กว่าปี จึงจะมีผู้สูงอายุ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนญี่ปุ่นใช้เวลา 25 ปี ส่วนไทยใช้เวลา 22 ปี ซึ่งน้อยกว่า จึงต้องรีบป้องกันไว้ก่อน เพราะถ้าเวลามาถึง จะเตรียมตัวปรับตัวไม่ทัน เกิดปัญหาด้านงบประมาณ ซึ่งประเทศไทยได้กระตุ้นการเพิ่มสัดส่วนประชากรให้สมดุลกัน คือให้มีเด็กมากขึ้น มีคนวัยหนุ่มสาว คนสูงอายุในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยญี่ปุ่นมีโครงการกระตุ้นให้คนสูงอายุในวัยเกษียณ ออกมาทำงานตามเวลาที่เหมาะสม เพื่อลดภาระในการดูแล

                           นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตระหนักและเห็นปัญหาเมื่อมีการจัดโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุไทย มีแนวโน้มใช้งบประมาณมาก ได้กำชับดำเนินการดังนี้ 1.จัดระบบดูแลให้ผู้สูงอายุไทยมีสุขภาพดี 2.ศึกษาการทำระบบดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ด้วยระบบการจ่ายค่าประกัน โดยนำโครงการเงินออมมาใช้ 3.ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพหรือ สสส. สนับสนุน มีโปรแกรมเข้าไปดูแลผู้สูงอายุ 4.นำเอากองทุนสตรีมาร่วมดูแลผู้สูงอายุด้วย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์ถึง 10% และพบว่าผู้หญิงเริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ นอกจากนี้ไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรือ อสม.จำนวนกว่า 1 ล้านคนเป็นกำลังสำคัญ ในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานในชุมชน

                           "ในการปรับตัวเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้น จะประสบความสำเร็จ จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างมีเอกภาพ โดยมีหน่วยสั่งการหน่วยเดียว ภายใต้เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินการบูรณาการกัน เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องหลายกระทรวง จึงต้องมีกลไกในการขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน หนุนเสริมกัน เนื่องจากต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ"

                           ด้าน นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับศ.โทโมโนริ ฮาเซกาวา ได้ชี้ให้เห็นว่าทุกประเทศที่มีการพัฒนาระบบสุขภาพ ต้องผ่านช่วงเวลาในการปฏิรูประบบ จากการมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไปสู่การเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจนสูงเกิน และจะเกิดการปฏิรูประบบสุขภาพ ในระยะเริ่มต้นจะเน้นเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย ต่อมาจะนำไปสู่ความยั่งยืน การใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผล มีคุณภาพและความปลอดภัย รวมทั้งการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ชี้แจงว่า จากประสบการณ์ของญี่ปุ่น แพทย์และบุคลากรวิชาชีพ จะต่อต้านการปฏิรูปและมองการปฏิรูปในเชิงลบ แต่การปฏิรูปมีความจำเป็นและจะต้องทำให้ต่อเนื่อง โดยมีระบบการเมืองมั่นคง และอยู่ยาวพอที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบสุขภาพและการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ยิ่งดำเนินการล่าช้า จะยิ่งมีปัญหาอุปสรรคมาก และยิ่งปฏิรูปได้ยากลำบาก


http://www.komchadluek.net/detail/20130526/159474/%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99.html#.UaI0b9iaNB0


..................................................................................................................................................................................


จากประสบการณ์ของญี่ปุ่่น  

ถ้าประชาชนไทย ต้องการให้นโยบายนี้ประสพความสำเร็จ

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องอยู่ยาวพอที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ
ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบสุขภาพและการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ยิ่งดำเนินการล่าช้า จะยิ่งมีปัญหาอุปสรรคมาก และยิ่งปฏิรูปได้ยากลำบาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่