คุณแม่ทั้งหลายรักลูกเท่ากันจริงไหมค่ะ(มาระบายค่ะ)

คือที่โพสห้องชานเรือนเพราะคิดว่ามีพวกคุณแม่อยู่เยอะนะค่ะ  เรื่องมันยาวหน่อยค่ะ
อยากจะระบายให้ฟังรวมถึงอยากจะขอความคิดเห็นว่าหนูควรจะทำยังไง สถานการ์ณและความสัมพันธ์ของหนูกับแม่
ถึงจะดีขึ้น แล้วก็เรื่องที่คุณแม่ท่านลำเอียงมันเป็นแค่ประโยคในนิยายน้ำเน่าหรือมันมีเกิดขึ้นจริงๆ(อย่างชีวิตหนู)

     เริ่มจากว่าตัวหนูเองเป็นลูกสาวคนโตอายุห่างกับน้องสาวเจ็ดปีตอนนี้หนูอยู่มหาลัยแล้วค่ะ
ส่วนน้องสาวอยู่มัธยมต้นตอนเด็กก็ชอบแหย่น้องตามประสา - -" เด็กมือซน เล่นๆกันอยู่
น้องก็จะร้องไห้เพราะบางครั้งเราเล่นแรงไปบ้าง แกล้งน้องบ้างไม่รู้เพราะเราอิจฉาน้อง
หรือเพราะเหตุผลอะไรตอนเล็กๆเรยชอบแหย่ ชอบแกล้งน้อง แต่โตมาก็รักกันดีนะค่ะ
ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไร ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด ตัวหนูเองชอบชวนน้องไปนู้นมานี้
อย่างเวลาไปเดินซื้อเสื้อผ้า ไปร้านหนังสือ เวลาอะไรไม่แพงมากเล็กๆน้อยๆ หนูก็ออกให้
น้องตามประสาพี่สาวแสนดี^^(พึ่งจะมาเป็นตอนโตแล้ว) หรือบางทีเสื้อตัวไหนน่ารักหนูก็จะมีติดไม้ติดมือมาฝากน้องบ้าง
เวลาที่กลับจากมหาลัย(คือต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวหนู นอนหอพักเวลากลับบ้านก็อาศัยรถตู้มาลงที่อนุสาวรีย์ชัย เลย
ได้เดินเพลินๆซื้อนู้นซื้อนี้ดูนู้นดูนี้)แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า "เหมือนหนูจะมีปัญหากับคุณแม่นะค่ะ"

   คือมันหลายเรื่องมากที่เกิดขึ้นกับตัวหนูเองไม่รู้ว่าหนูคิดมากไปเองหรือว่าเพราะอะไรมันเลยเป็นแบบนี้
เริ่มจากว่าหนูมีความรู้สึกส่วนตัวที่ว่าคุณแม่นะเขารักเราน้อยกว่าน้องสาวจริงๆซึ่งตัวคุณแม่ก็ยอมรับ
เพราะเคยพูดกับหนูว่า"แกก็ต้องยอมรับนะว่าคนเรานะ เท้าสองข้างยังไม่เท่ากันเรย จะรักใครเท่ากันได้ยังไง มันอยู่ที่นิสัย
ของแต่ละคน น้องมันทำตัวแบบนี้แล้วแกทำตัวแบบนี้แกก็คิดดูแล้วกันว่าฉันสมควรรักใครมากกว่า" อันนี้คุณแม่ไม่ได้
พูดเวลาโมโหนะค่ะพูดขำๆให้เราฟังตอนอารมณ์ดีๆนี้แหละ เราฟังแล้วก็ผ่านไปไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็แอบน้อยใจตามประสาแหละค่ะ
เพราะนอกจากคำพูด เหตุการ์ณ การกระทำ มันดูจะแสดงออกไปในทางคำพูดประโยคนั้นไปซะหมด เริ่มจาก

ตอนเด็กๆ(ประถม)
          ตอนนั้นหนูอยู่ซักป.สี่หรือไม่ก็ป.ห้านี้แหละค่ะคุณแม่เพิ่งพาน้องมาเข้าอนุบาลที่เดียวกันกับโรงเรียนหนู
คุณแม่เขาก็จะไปส่งพร้อมๆกัน(ที่ผ่านมาคือหนูจะไปกับรถตู้มาตลอด)ทีนี้หนูก็ไม่อยากจะไปกับคุณแม่เลยเพราะ
คุณแม่ชอบพามาส่งช้ามากแล้วที่โรงเรียนเขามีแถวคนมาสาย หนูก็อายต้องมาเข้าแถวแยกกับเพื่อนๆ มาสายตลอด
ไม่เหมือนเมื่อก่อนซึ่งหนูมากับรถโรงเรียนก็จะมาทันเสมอ  หนูก็เคยบอกกับคุณแม่แล้วว่าหนูต้องไปเข้าแถวแยกนะ
ถ้ามาสายแต่คุณแม่ก็ไม่ได้รีบอะไรเพราะน้องสาวเขาไม่ต้องเข้าแถวมาสาย  อนุบาลนี้พาไปต่อแถวได้เลย - -"
แล้วก็เรื่องงานบ้านคุณแม่ท่านก็จะดุว่าเราตลอด ตั้งแต่มีน้องเลยว่าไม่เคยช่วยอะไรท่านซักอย่าง บ้านช่องไม่ถู
ไม่กวาดไม่เก็บ หนูก็ไม่รู้หรอกนะค่ะว่าตอนนั้นมันคืออะไร เพราะตอนมีน้องเกิดมาหนูพึ่งจะอยู่ประถมหนึ่งประถมสองได้มั้งค่ะ
ถ้าจำไม่ผิดนะ ที่ผ่านมาคุณแม่ก็ไม่เคยให้ทำไม่เคยให้หัดอยู่ๆมาใช้ให้ทำเลย บางครั้งหนูทำ มันเด็กนะค่ะจะทำไม่สะอาด
ไปบ้างก็โดนดุโดนว่าซะใหญ่โตก็แอบร้องไห้เป็นธรรมดา  หนูยังจำได้ถึงทุกวันนี้เลยว่า"หนูนอนกอดหมอนข้างร้องไห้
แล้วบอกกับตัวเองว่าถึงไม่มีใครรักก็รักตัวเองแทนก็แล้วกัน"ร้องไห้เล่าแล้วน้ำตาก็จะไหล ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้แม่นยำเรยค่ะ)
มักจะโดนตีด้วยเหตุผลเล็กๆน้อยๆอยู่บ่อยๆ อย่างตอนนั้นเดินไปกับคุณแม่สองคนแม่ให้ช่วยถือของที่ไปซื้อที่ตลาด
แถวบ้านแล้วคุณแม่ใส่ปากกามาในถุง ขากลับมาถึงบ้าน  ปากกามันหายไป หนูเข้าใจว่ามันคงตกไประหว่างทางมั้ง
แต่หนูกลับโดนคุณแม่หยิกแล้วก็ตีด้วยไม้แขวนเสื้อเหล็ก(ปรกติถ้าเป็นพลาสติกคุณแม่จะไม่หยิบมาตี5555)ซะเนื้อ
เขียวเป็นแนวเลยค่ะ  ไม่รู้ทำไมถึงจำได้จนถึงตอนนี้แต่ว่ามันเหมือนแผลที่ฝังอยู่ในใจ ตอนนั้นเริ่มมีคำถามเล็กๆ ผุดขึ้นมาใน
หัวน้อยๆว่า"ทำไม อะไรต้องเป็นเรา ทำไมเราโดนตีอยู่คนเดียว ทำไมแม่ไม่เห็นตี ไม่ดุ ไม่ว่าน้องเวลาน้องทำบ้างละ"

แล้วก็โตมาหน่อยค่ะสมัยมัธยม

   ตอนนี้น้องสาวก็ขึ้นชั้นประถมแล้วเราก็มัธยมนะค่ะ เลือกแผนการเรียน วิทย์-คณิต เรียนหนักมาก การบ้านก็เยอะ
งานก็เยอะ อะไรก็รุมๆเข้ามาหมด เราก็จะโดนว่าอีกเวลาน้องสาวไม่ทำการบ้าน "ทำไมไม่สอนน้อง ฉันทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว
ยังต้องกลับมานั้งทำ(ทำนะค่ะย้ำว่า"ทำ"คือทำให้เลยทั้งๆที่สมัยเราทำเองทุกอย่างใครไม่เคยมีใครมาสอนมาแนะนำ)
การบ้านนั้งสอนการบ้าน แกมันขี้เกียจแกมันเห็นแก่ตัว"โดนว่าอย่างงี้ก็จุกนะค่ะ อารมณ์มันแบบเรียนนี้เครียดมาก งานก็เยอะ
ไหนจะการบ้านเราอีก  มีคำถามในหัวมากมาย"ทำไมน้องไม่ทำเองละ ไม่รู้หน้าที่ตัวเองเหรอ ตอนเราเราก็
ก้มหน้าก้มตาทำ ไม่เคยให้ใครมาช่วย ไม่เคยมีใครมาสอน" มันประดังเข้ามามาเยอะแยะเลยค่ะ ไม่เคยเข้าใจว่า
น้องไม่ทำการบ้านแล้วมันความผิดเราตรงไหนอย่างที่แม่พูดทั้งๆที่เราก็เคยถามน้องสาวแล้วว่า "มีการบ้านไหม"
น้องก็ว่าไม่มีแต่พอคุณแม่กลับมารื้อกระเป๋าน้องออกมาเจอการบ้านที่ยังไม่ทำเราก็เป็นอันงานเข้าทุกทีเลยค่ะ
ส่วนเรื่องงานบ้านก็เป็นอันกลายมาเป็นหน้าที่เราโดยสมบูรณ์เราก็ไม่ค่อยโดนว่าเท่าไหร่โตแล้วทำคล่องแล้ว
แต่ก็จะมีนานๆครั้งนั้นแหละค่ะที่เวลาลืมทำหรือยุ่งจริงๆจนไม่ได้ทำคำว่า "แกมันเห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวเอง" ลอยเข้ามา
กระทบใจดวงน้อยๆของหนูอยู่ร่ำไป จนหนักข้อสุดตอนเราเริ่มแยกห้องนอนกับแม่แล้วเพราะโตมากแล้วก็อยากจะมี
เวลาส่วนตัว มีพื้นที่ส่วนตัวบ้างตามประสาคำพูดที่แม่พูดก็คือ"ดีนี้ เอาตัวรอดไปอยู่ห้องของตัวเอง จะได้ไม่ต้องช่วย
ทำอะไร"ที่เล่ามาก็ไม่ได้บอกว่าหนูรับฟังอย่างเดียวแล้วปล่อยผ่านไปเฉยๆนะค่ะสมัยมัธยมนี้ เรียกว่าแย่สุดของชีวิต
เลยก็ว่าได้เพราะมันเหมือนทนไม่ไหวแล้ว ว่ากลับบ้าง เถียงกลับบ้าง ถามออกไปตรงๆบ้างแต่สิ่งที่ได้รับกลับมา
คือคำที่ว่า "ฉันเป็นแม่แกทำอะไรฉันก็ไม่ผิด"หรือไม่ก็"ขอให้ลูกแกเป็นแบบแกก็แล้วกันมายืนเถียงฉันฉอดๆ"
ครอบครัวหนูอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่มีคุณปู่คุณย่าคุณพ่อคุณแม่  หนูมักจะได้รับการปลูกฝังจากย่าว่า
"คำพูดของพ่อแม่ถือเป็นพรแก่ชีวิตนะลูก อย่าให้พ่อแม่เขาน้ำตาตกหรือสาปแช่งเรานะลูก" แล้วแม่หนูก็พูดแบบนี้
เรื่อยมาเวลาที่เราทำอะไรไม่ได้อย่างที่เขาต้องการหรือไม่ทำตามคำสั่งเขาก็จะแช่งแบบนี้ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลอะไรก็ตาม
ที่หนูไม่ทำตามที่คุณแม่สั่งทั้งๆที่เวลาคุณแม่ทำอะไรแล้วคุณแม่เป็นฝ่ายผิดหนูก็ไม่ได้ต้องการคำขอโทษหรืออะไรหรอก
นะค่ะแต่มันรู้สึกแย่เอามากๆก็ตอนที่คุณแม่ชอบไปเล่าให้น้าให้ป้าให้พ่อ(ในที่นี้ยกเว้นปู่กับย่าเพราะอยุ่ในเหตุการ์ณเสมอ
แม่เลยเหมือนจะพูดไม่ค่อยได้เท่าไหร่5555)เล่าที่มันคนละเรื่องกับเรื่องที่เกิดนะค่ะ อะไรร้ายๆก็เล่าไปในทางหนูเลวมากทำอย่างนี้ๆ
ให้คนอื่นเขามาว่าหนูทำไมทำยังงี้กับแม่ - -" หลังๆมาหนูก็เริ่มชินก็ได้แต่ฟังแล้วก็ไม่ตอบโต้อะไรแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องดีๆนะค่ะคุณแม่มักจะออกค่าเรียนพิเศษให้หนูเสมอเพราะคุณพ่อท่าน
มักจะบิดพลื้วตลอดเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรที่เพิ่มจากเดิมเพราะคุณพ่อท่านมีหลายบ้านนะค่ะมีบ้านเล็กๆอีกเพียบ
ซึ่งคุณแม่ท่านก็มักจะกดดันว่าต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะไม่อยากให้มีปัญหาแล้วระบายให้หนูฟังบ่อยๆ

แล้วก็เข้าวัยสาว(มหาลัยแล้วจ๊ะ)
     หนูเริ่มโตจนถึงกับพูดได้เต็มปากว่าตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่งเรย  ต้องออกไปอยู่หอพักเนื่องด้วยระยะทางที่
ไกลกับบ้านได้เจอสังคมที่แปลกไปจากมัธยม เพื่อนที่ไม่จริงใจเหมือนตอนเด็กๆ เพื่อนที่หาแต่ผลประโยชน์บ้าง
เพื่อนที่เห็นแก่ตัวบ้างได้เรียนรู้สังคมที่ต่างออกไปรวมถึงการเรียนที่หนักหน่วงขึ้นอีกเท่าตัว  พอมาถึงวัยมหาลัย
เรื่องที่เป็นปัญหามากก็คือ เรื่องเงิน  ไม่เคยเลยค่ะตั้งแต่เด็กจนโต ต้องรับผิดชอบข้าวปลาอาหารตัวเองสามมื้อ
อย่างเก่งก็เสียตังค์ค่าขนมไปกับข้าวกลางวันนอกนั้นก็เหลือกินเหลือเก็บเหลือไว้ซื้อเสื้อผ้า ไปเที่ยวกับเพื่อนสบายๆในสมัยมัธยม
ข้าวเช้าข้าวเย็นมีคนเตรียมให้ สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ครีมบำรุงที่บ้านมีไว้แล้วไม่เคยต้องควักตังค์ตัวเองออกเลย
มาอยู่มหาลัยก็เลยถึงกับมึนงงไปพักใหญ่เลยค่ะอะไรๆก็ต้องออกเอง ข้าวก้ต้องเสียตังค์ซื้อหามาสามมื้อ ค่าซีชีทที่เรียนเป็นปึกๆ
ค่ารายงาน ค่าจิปาถะ(ต้องออกตัวก่อนนะค่ะว่า ไม่ได้ไปเที่ยวกินเหล้าเรย ไม่มีการเอาไปลงขวดใดๆทั้งสิ้น)
มากเกินกว่าบางครั้งค่าขนมของเด็กคนนึงจะจ่ายออกไปหมดก็เริ่มต้องมีการขอเงินเพิ่ม คุณแม่ท่านก็ว่าอีกตามประสา
"แกใช้เงินเปลือง เอาไปซื้อเสื้อผ้าจนหมดละซิแกมันไม่เคยประหยัดหรอกมีแต่ขอๆ"ซึ่งหนูก็อยากจะบอกว่าตั้งแต่หนู
เข้ามหาลัยมาซื้อเสื้อผ้านับครั้งได้เลยนานๆไปซื้อซักที ไม่เคยซื้อเสื้อเกิน150เลยค่ะยืนยันได้ เครื่องสำอางค์ซื้อทีเวลาปิดเทอม
เพราะกลับไปอยู่บ้านค่าขนมยังได้เท่าเดิมแต่ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายแบบตอนอยู่หอพักเลยมีเงินเหลือเก็บ  มาถึงตอนนี้
แม่มักจะพูดให้ฟังเสมอว่าน้องดีนะมันเอาตังค์เก็บให้แม่ใช้ มีเงินก็ให้แม่ตลอดคือหนูก็คิดในใจอ่ะนะค่ะ  ว่าหนูก็อยากจะ
ให้แม่เหมือนกันนะแต่หนูยังไม่มีเก็บเลยมาอยู่หอพักค่าใช้จ่ายเยอะแยะ - -" แม่มักจะบ่นกับหนูเสมอว่าไม่มีเงินๆ
จนหนูมารู้จากน้าว่า คุณแม่ได้เงินเดือนรวมค่าคอมมิชชั่นก็เกือบห้าหมื่นคุณพ่อให้คุณแม่อีกเป็นรายสัปดาห์ สัปดาห์ละหก-เจ็ดพัน
แล้วจะให้หนูรู้สึกยังไงค่ะ^^ แม่ทำบุญแม่ทำได้ แม่ซื้อเสื้อผ้า  ซื้อรองเท้า ซื้อกระเป๋าแพงๆ แม่ซื้อได้ แต่ลูกแม่เงินไม่มี
ยังต้องซื้อเสื้อผ้าถูกๆ รองเท้าพูดจริงๆไม่ใช่นิยายนะค่ะ ว่าหนูซื้อมือสองใส่เพราะมันซื้อได้หลายคู่ในราคาถูกใส่เบื่อก็ทิ้ง
ไปเดินซื้อของด้วยกัน แม่ไม่เคยหันมาถามเอาไหมลูก ไม่เคยคิดจะซื้อให้ แต่ถ้าอยากได้แม่จะบอกว่า หักจากค่าขนมแกนะ
ส่วนน้องสาว ไม่ต้องพูดเลย เวลาแม่เดินเลือกของก็จะซื้อมาให้เสมอ กระโปรงแม่ซื้อมาให้น้อง น้องมาถามว่า "เจ๊เอาไหม หนูแบ่ง
ให้ตัวนึง(มี3ตัว)แม่เห็นหนูเอามาใส่รีบเรียกน้องว่า แกดูซิเจ๊มันเอาของแกมาใส่ พอคำพูดมันลอยมากระทบเท่านั้นแหละค่ะเหมือน
อะไรซักอย่างขาดผึง หนูถามแม่ว่าทำไมหนูใส่ไม่ได้เหรอ แม่ด่าว่าแกมันไม่มีมารยาทเอาของคนอื่นมาใส่
ไม่ได้ซ์้อให้ซะหน่อย     แล้วเรื่องก็ค่อยๆแย่ลงมาอีกคำพูดแม่ก็หนักขึ้นกว่าเก่าเยอะค่ะเวลาที่หนูกลับมา
จากมหาลัยยังไม่ได้พักเลยแม่ก็จะใช้งานแล้ว ไปแช่ผ้าซิ ทั้งๆที่มันเป็นหน้าที่ของน้องไปแล้วแต่พอหนูกลับมา
ก็ให้ทำอย่างเดิม หนูไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะทำงาน เหนื่อยก็ไม่ตาย แต่หนูนั้งรถกว่าจะถึงบ้านมันเหนื่อยนะค่ะ
แม่ไม่เคยถามหรือแม่อาจจะไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าหนูเหนื่อยรึเปล่า  กลับเป็นย่าที่พูดเสียงดังแทรกมาว่า
"เทอก็ทำซิ ไม่ก็ให้น้องมันทำ มันพึ่งกลับมายังไม่ได้ทันได้นั้งพักเรย" ตอนหนูไปไหนแม่ไม่เคยถามมีตังค์
ไหมลูกเลยซักครั้งแต่ย่า ย่านี้แหละค่ะไม่เคยถามเหมือนกันแต่ยื่นตังค์ให้เรย
"พอไหมลูก อยุ่ที่นู้นกินอิ่มไหม"เชื่อไหมค่ะว่าหนูน้ำตาซึมเลย แล้วเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตคงเป็นเรื่องตอน
ที่หนูรถล้มที่มหาลัย ต้องเข้าโรงพยาบาลตอนนั้นดึกแล้วซักตีหนึ่งหนูแอดมิดเข้าห้องเรียบร้อยก็โทรหาแม่ก่อนเรย
แม่เขาก็รับสายท่าทางง่วงๆแล้วก็วางไปเช้าวันรุ่งขึ้นก็คือ กว่าแม่จะมาก้เกือบบ่ายสองบ่ายสามนะค่ะมากับปู่กับย่า  คุณปู่เป็นคนขับรถมา คุณปู่ก็บอก"ขับวนอยู่ มันหลงนะลูก ไม่เคยขับมาแถวนี้นานแล้ว"ส่วนคุณย่าท่านบ่นว่า"ใช่ที่ไหนจะออกจากนี้นานแล้ว แม่เรานะซิมัวแต่ซักผ้า
อยู่ได้" ประโยคนี้เหมือนอะไรกรีดลงมากลางใจเรยค่ะ คนที่ห่วงเราที่สุดกลับเป็นปู่ย่า แต่แม่เราไม่ได้รีบร้อนเลย เราเป็นตัวอะไร?
สำคัญแค่ไหน? แต่หนูก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปและหลังๆมานี้ก็เริ่มชินค่ะเวลาโมโหเรื่องที่แม่ว่าก็ไม่เถียงไม่อะไรอีกต่อไป
เราได้แต่นิ่งค่ะได้แต่เงียบ  ก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่ก็ทำต่อไป ใจมันเหมือนชาๆเหมือนคนไม่มีใครนะค่ะ ไม่รู้จะอธิบายเป็น
คำพูดว่าอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่รู้หนูต้องทำยังไงให้สภาพจิตใจกับความรู้สึกมันดีขึ้น  
ตกลงว่าเรื่องทั้งหมดที่หนูเล่ามามันเป็นแค่เรื่องที่หนูคิดไปเอง หรือว่าคุณแม่เขาไม่เคยรักหนูเลยกันแน่ค่ะ?^^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่