ชายตาหาข้าวเปลือก กาละแมร์ พัชรศรี twitter :@kalamare จะใช้เงินตอนแก่เหรอ!!?? มติชนสุดสัปดาห์

เคยได้ยินใช่ไหมคำพูดที่ว่า
"ตอนนี้ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ ไปก่อน แล้วค่อยเอาไว้ไปใช้ตอนแก่ๆ"
หรือบางทีมีโปรโมชั่นประกันที่ทำได้ถึงอายุ 99 ปี!! เริ่ดอะ ตอนอายุ 100 ปี เราจะได้เงินก้อนนั้นกลับมา ตอนนั้นน่าจะได้มาหลอกหลอนลูกหลานขอเงินประกันไปใช้บ้างงงงงงงงง
หรือเอาเข้าจริงแล้วก็คือเงินที่ทำไว้ให้ลูกหลานของตัวเองนั่นแหละ ตอนเราเจ็บป่วยเขาจะได้ไม่ลำบาก พอเราตายไปเขาจะได้มีเรื่องได้ดีใจสักหน่อย เพราะอย่างน้อยก็ได้เงินจากเราไปด้วย
หรือโปรแกรมฝากเงินที่กว่าจะได้ใช้ต้องรอจนอายุเยอะๆ แล้วถึงเอาออกมาใช้ได้
ไม่ปฏิเสธเรื่องการออมเงินหรอกค่ะ เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้คนรู้จักการออมเงินและจัดระเบียบการใช้เงิน โดยเฉพาะการเอาเงินไปทำงานและต่อยอดให้เกิดรายได้ให้มากขึ้น เพื่อความมั่นคงในชีวิต
แต่สำหรับบางคนแล้วทำอยู่สองอย่างคือ หาเงินและเก็บเงิน
อ้าว!! แล้วมันไม่ดีตรงไหน ต้องทำอะไรอีกเหรอ คุณว่ามันมีขั้นตอนไหนที่หายไปล่ะ
"ใช้เงิน" น่ะสิ!!!
ฉันกล้าพูดไว้ตรงนี้เลยว่า
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ขยันหาเงิน และรู้จักการเก็บเงินให้งอกเงย รวมทั้งการใช้เงินให้มีความสุข!!
ที่สำคัญกว่านั้นคือ
ใช้เงินตัวเองล้วนๆ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเงินใครทั้งสิ้น!
จากชีวิตที่มาจากศูนย์ คือไม่ได้มีอะไรติดตัวมา มีแต่วิชาความรู้ที่พ่อแม่ให้มา นอกจากนั้น ไปหาเอาดาบหน้าทั้งสิ้น เมื่อถึงช่วงเวลาของการทำงาน ก็ทำๆๆๆๆๆๆ เก็บเงินๆๆๆๆๆ พอเริ่มมีความรู้เรื่องการลงทุนให้เงินงอกเงยก็พยายามศึกษา ลองทำ แล้วเงินที่หามาได้ก็งอกเงยยิ่งขึ้นอย่างที่ต้องการ
ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนที่แทบไม่ใช้เงินเลย คนใกล้ตัวจะรู้ดีว่า กว่าจะซื้ออะไรต้องพังคามือเสียก่อน และเมื่อถึงวันหนึ่งที่เรารู้จักคำว่า "พอ" เราก็จะรู้จักคำว่า "รวย"
คำว่า "พอ" จึงหมายถึงว่า เราพอใจกับความพอดีในชีวิตของเราแล้ว มีเงินไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เราดีใจหรือมีความสุขไปมากกว่านี้ เพราะเราพึงพอใจในสิ่งเรามีแล้ว
เมื่อคนเรารู้จักพอ เราจะรู้จักการแบ่งปัน รู้จักการ "ให้" แบบที่ไม่เสียดาย ไม่หวงแหน ให้เขา เพราะเราพอแล้ว และได้เรียนรู้ว่า การให้เงินคนอื่นที่เวลาที่เขาต้องการ มันนำความสุขอันยิ่งใหญ่มากกว่าตอนที่เราได้รับเงินเสียอีก!
เมื่อรู้จักการให้คนอื่น จึงหันกลับมาให้ตัวเอง ถือว่าเป็นการให้รางวัลกับตัวเองหลังจากทำงานหนักมานาน
ชีวิตของผู้หญิงโสดที่ใช้เงินตัวเองให้สนุกจึงเกิดขึ้น!
นาฬิกาเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่จะซื้อ เพราะเป็นคนที่ใส่นาฬิกาตั้งแต่เด็กๆ และชีวิตนี้เห็นเวลาเป็นของมีค่า
"เงินอาจซื้อเวลาไม่ได้ แต่สามารถซื้อนาฬิกาได้"
จึงลงทุนกับนาฬิกายี่ห้อที่ชอบ ค่อยๆ ซื้อจากรุ่นราคาแพงน้อยไปแพงมาก เพราะรู้ดีว่าราคาขึ้นทุกปี และเป็นของที่เพิ่มมูลค่าในตัวเอง
ที่สำคัญเราใส่มันได้ ใช้มันได้ หันมาดูก็เป็นเครื่องเตือนใจในการทำงานหนักของเรา
กระเป๋าถือเป็นของที่ผู้หญิงทุกคนต้องมี ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจโลกกระเป๋าถือของผู้หญิง แต่ก็มีหลายคนที่รู้ว่ากระเป๋าบางยี่ห้อ บางรุ่นมันมีมูลค่าในตัวของมัน และราคาขึ้นทุกปีเช่นกัน ฉันรู้สึกสรรเสริญในตัวผู้ชายเหล่านั้นที่สนับสนุนการซื้อกระเป๋ารุ่นนั้นให้ผู้หญิง มันไม่ใช่แค่คุณเข้าใจเธอ แต่คุณได้เข้าไปยืนกลางใจเธอด้วยซ้ำไป และนี่ยังเป็นสิ่งที่เราได้ใช้มัน ไม่ใช่เอาไปเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะ
เพชรสำหรับผู้หญิงถือว่าเป็นเพื่อนแท้ คงไม่แปลกที่เราจะมีเพื่อนแท้ติดตัวเราไปไหนมาไหน และจะยิ่งอุ่นใจขึ้นที่นับวันเราจะมีเพื่อนแท้มากขึ้นเรื่อยๆ
และที่สำคัญเพื่อนเราแพงขึ้นทุกวัน วันใดตกอับ แน่ล่ะวันนั้นเราจะขายเพื่อนกินแน่นอน!!
สุขภาพดี เงินก็ซื้อไม่ได้ แต่เราลงทุนกับสุขภาพและร่างกายเราได้ ยอมจ่ายกับการตรวจสุขภาพ ยอมจ่ายกับอาหารที่เป็นประโยชน์ ยอมจ่ายกับการออกกำลังกายที่ดีกับตัวเอง ยอมจ่ายเพื่อความสวยงามของผม หน้า ผิว เล็บ เพราะนี่คือการตอบแทนร่างกายและจิตใจของตัวเราเอง ที่เราใช้มันหนักมาโดยตลอด และเมื่อทำแล้วเราก็จะรู้สึกดีกับตัวเองเหลือเกิน แถมยังรักตัวเองมากขึ้น
ฉันใช้เงินกับการเดินทาง ยอมจ่ายค่าเครื่องบิน ที่พัก อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก เพราะการเดินทางคือลมหายใจของฉัน มันต่อยอดการดำเนินชีวิต จิตใจ แรงบันดาลใจ สิ่งใหม่ๆ ในการทำงานและความคิด มันทำให้จิตวิญญาณภายในยังคงโลดแล่นด้วยความมีชีวิตชีวา
สิ่งตอบแทนจากการเดินทางจึงประเมินค่ามิได้จริงๆ
ความสมดุลของการมีเงินคือ รู้จักหา รู้จักออม และรู้จักใช้
เงินจะไม่ได้เป็นนายเรา แต่เราจะเป็นนายมัน ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับมัน แต่มันต่างหากที่ขึ้นอยู่กับเรา
ชีวิตแต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน การดำเนินชีวิตก็ไม่เหมือนกัน ฉันสู้ทนฟันฝ่าและวางแผนชีวิตตัวเองมาตลอด สร้างความมั่นคงของตัวเองแบบที่ไม่มีผัวมีลูกฉันก็อยู่ได้ แบบสบายๆ เสียด้วย
ไม่ได้อหังการหรือจองหองแต่ประการใด
เพียงต้องการจะบอกว่า คนเราเมื่อยืนด้วยขาของตัวเองได้ในวันใด และรู้จักความต้องการของตัวเอง รู้จักการวางแผนชีวิตของตัวเอง
เราจะมีอิสระในการใช้ชีวิตของตัวเองวันนั้นนั่นเอง
จะใช้เงินตอนแก่เหรอ!!?? โดย กาละแมร์ พัชรศรี
เคยได้ยินใช่ไหมคำพูดที่ว่า "ตอนนี้ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ ไปก่อน แล้วค่อยเอาไว้ไปใช้ตอนแก่ๆ"
หรือบางทีมีโปรโมชั่นประกันที่ทำได้ถึงอายุ 99 ปี!! เริ่ดอะ ตอนอายุ 100 ปี เราจะได้เงินก้อนนั้นกลับมา ตอนนั้นน่าจะได้มาหลอกหลอนลูกหลานขอเงินประกันไปใช้บ้างงงงงงงงง
หรือเอาเข้าจริงแล้วก็คือเงินที่ทำไว้ให้ลูกหลานของตัวเองนั่นแหละ ตอนเราเจ็บป่วยเขาจะได้ไม่ลำบาก พอเราตายไปเขาจะได้มีเรื่องได้ดีใจสักหน่อย เพราะอย่างน้อยก็ได้เงินจากเราไปด้วย
หรือโปรแกรมฝากเงินที่กว่าจะได้ใช้ต้องรอจนอายุเยอะๆ แล้วถึงเอาออกมาใช้ได้
ไม่ปฏิเสธเรื่องการออมเงินหรอกค่ะ เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้คนรู้จักการออมเงินและจัดระเบียบการใช้เงิน โดยเฉพาะการเอาเงินไปทำงานและต่อยอดให้เกิดรายได้ให้มากขึ้น เพื่อความมั่นคงในชีวิต
แต่สำหรับบางคนแล้วทำอยู่สองอย่างคือ หาเงินและเก็บเงิน
อ้าว!! แล้วมันไม่ดีตรงไหน ต้องทำอะไรอีกเหรอ คุณว่ามันมีขั้นตอนไหนที่หายไปล่ะ
"ใช้เงิน" น่ะสิ!!!
ฉันกล้าพูดไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันเป็นคนหนึ่งที่ขยันหาเงิน และรู้จักการเก็บเงินให้งอกเงย รวมทั้งการใช้เงินให้มีความสุข!!
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ใช้เงินตัวเองล้วนๆ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเงินใครทั้งสิ้น!
จากชีวิตที่มาจากศูนย์ คือไม่ได้มีอะไรติดตัวมา มีแต่วิชาความรู้ที่พ่อแม่ให้มา นอกจากนั้น ไปหาเอาดาบหน้าทั้งสิ้น เมื่อถึงช่วงเวลาของการทำงาน ก็ทำๆๆๆๆๆๆ เก็บเงินๆๆๆๆๆ พอเริ่มมีความรู้เรื่องการลงทุนให้เงินงอกเงยก็พยายามศึกษา ลองทำ แล้วเงินที่หามาได้ก็งอกเงยยิ่งขึ้นอย่างที่ต้องการ
ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนที่แทบไม่ใช้เงินเลย คนใกล้ตัวจะรู้ดีว่า กว่าจะซื้ออะไรต้องพังคามือเสียก่อน และเมื่อถึงวันหนึ่งที่เรารู้จักคำว่า "พอ" เราก็จะรู้จักคำว่า "รวย"
คำว่า "พอ" จึงหมายถึงว่า เราพอใจกับความพอดีในชีวิตของเราแล้ว มีเงินไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เราดีใจหรือมีความสุขไปมากกว่านี้ เพราะเราพึงพอใจในสิ่งเรามีแล้ว
เมื่อคนเรารู้จักพอ เราจะรู้จักการแบ่งปัน รู้จักการ "ให้" แบบที่ไม่เสียดาย ไม่หวงแหน ให้เขา เพราะเราพอแล้ว และได้เรียนรู้ว่า การให้เงินคนอื่นที่เวลาที่เขาต้องการ มันนำความสุขอันยิ่งใหญ่มากกว่าตอนที่เราได้รับเงินเสียอีก!
เมื่อรู้จักการให้คนอื่น จึงหันกลับมาให้ตัวเอง ถือว่าเป็นการให้รางวัลกับตัวเองหลังจากทำงานหนักมานาน
ชีวิตของผู้หญิงโสดที่ใช้เงินตัวเองให้สนุกจึงเกิดขึ้น!
นาฬิกาเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่จะซื้อ เพราะเป็นคนที่ใส่นาฬิกาตั้งแต่เด็กๆ และชีวิตนี้เห็นเวลาเป็นของมีค่า "เงินอาจซื้อเวลาไม่ได้ แต่สามารถซื้อนาฬิกาได้"
จึงลงทุนกับนาฬิกายี่ห้อที่ชอบ ค่อยๆ ซื้อจากรุ่นราคาแพงน้อยไปแพงมาก เพราะรู้ดีว่าราคาขึ้นทุกปี และเป็นของที่เพิ่มมูลค่าในตัวเอง ที่สำคัญเราใส่มันได้ ใช้มันได้ หันมาดูก็เป็นเครื่องเตือนใจในการทำงานหนักของเรา
กระเป๋าถือเป็นของที่ผู้หญิงทุกคนต้องมี ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจโลกกระเป๋าถือของผู้หญิง แต่ก็มีหลายคนที่รู้ว่ากระเป๋าบางยี่ห้อ บางรุ่นมันมีมูลค่าในตัวของมัน และราคาขึ้นทุกปีเช่นกัน ฉันรู้สึกสรรเสริญในตัวผู้ชายเหล่านั้นที่สนับสนุนการซื้อกระเป๋ารุ่นนั้นให้ผู้หญิง มันไม่ใช่แค่คุณเข้าใจเธอ แต่คุณได้เข้าไปยืนกลางใจเธอด้วยซ้ำไป และนี่ยังเป็นสิ่งที่เราได้ใช้มัน ไม่ใช่เอาไปเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะ
เพชรสำหรับผู้หญิงถือว่าเป็นเพื่อนแท้ คงไม่แปลกที่เราจะมีเพื่อนแท้ติดตัวเราไปไหนมาไหน และจะยิ่งอุ่นใจขึ้นที่นับวันเราจะมีเพื่อนแท้มากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญเพื่อนเราแพงขึ้นทุกวัน วันใดตกอับ แน่ล่ะวันนั้นเราจะขายเพื่อนกินแน่นอน!!
สุขภาพดี เงินก็ซื้อไม่ได้ แต่เราลงทุนกับสุขภาพและร่างกายเราได้ ยอมจ่ายกับการตรวจสุขภาพ ยอมจ่ายกับอาหารที่เป็นประโยชน์ ยอมจ่ายกับการออกกำลังกายที่ดีกับตัวเอง ยอมจ่ายเพื่อความสวยงามของผม หน้า ผิว เล็บ เพราะนี่คือการตอบแทนร่างกายและจิตใจของตัวเราเอง ที่เราใช้มันหนักมาโดยตลอด และเมื่อทำแล้วเราก็จะรู้สึกดีกับตัวเองเหลือเกิน แถมยังรักตัวเองมากขึ้น
ฉันใช้เงินกับการเดินทาง ยอมจ่ายค่าเครื่องบิน ที่พัก อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก เพราะการเดินทางคือลมหายใจของฉัน มันต่อยอดการดำเนินชีวิต จิตใจ แรงบันดาลใจ สิ่งใหม่ๆ ในการทำงานและความคิด มันทำให้จิตวิญญาณภายในยังคงโลดแล่นด้วยความมีชีวิตชีวา
สิ่งตอบแทนจากการเดินทางจึงประเมินค่ามิได้จริงๆ
ความสมดุลของการมีเงินคือ รู้จักหา รู้จักออม และรู้จักใช้
เงินจะไม่ได้เป็นนายเรา แต่เราจะเป็นนายมัน ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับมัน แต่มันต่างหากที่ขึ้นอยู่กับเรา
ชีวิตแต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน การดำเนินชีวิตก็ไม่เหมือนกัน ฉันสู้ทนฟันฝ่าและวางแผนชีวิตตัวเองมาตลอด สร้างความมั่นคงของตัวเองแบบที่ไม่มีผัวมีลูกฉันก็อยู่ได้ แบบสบายๆ เสียด้วย
ไม่ได้อหังการหรือจองหองแต่ประการใด
เพียงต้องการจะบอกว่า คนเราเมื่อยืนด้วยขาของตัวเองได้ในวันใด และรู้จักความต้องการของตัวเอง รู้จักการวางแผนชีวิตของตัวเอง
เราจะมีอิสระในการใช้ชีวิตของตัวเองวันนั้นนั่นเอง