รู้สึกไม่พอใจหรือเฉย ๆ หรือยังไงคะ???
ยาวหน่อยนะคะ
เงินเดือนของเราถ้าขยัน ๆ ก็เกือบ ๆ 50,000 บาทต่อเดือนค่ะ
แต่แฟนเทำอาชีพอิสระ ถ้าเทียบรายได้เป็นต่อปีก็ประมาณแค่ 20,000-30,000 บาทต่อปีเท่านั้นค่ะ
เป็นแบบนี้มา 2-3 ปีแล้วค่ะ ก่อนหน้านั้นไม่มีปัญหาค่ะ เราไม่ได้คิดอะไรก็คิดว่าแฟนกันใช้ด้วยกันได้
เขาก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรนะคะ
จนกระทั่งครั้งหนึ่งเราฝากเงินไปให้แม่ 5,000 บาทแต่เขาดันหักออกไป 1,000 บาทเอาไปให้คนรู้จักเขายืม
แล้วไม่บอกเรา ซึ่งเราไม่ชอบแบบนี้ค่ะ เพราะการไม่บอกเหมือนกับว่าเราจะไม่รู้ว่าเงินถูกยืมไปแล้วจะไม่ได้ทวง
อีกอย่างเงินนั้นฝากไปให้แม่ด้วยค่ะ มีสิทธิ์อะไรมาหักออกเอง ถ้าอยากจะยืมก็ต้องมาบอกเป็นเรื่อง ๆ ไปค่ะ
หลังจากเหตุการ์ณนั้นเราก็ไม่ค่อยเก็บบัตร Debit ไว้ที่เขาแล้วค่ะ แต่จะเก็บไว้กับตัวเอง เวลาจะใช้ก็กดใช้วันละ 500 บาท
(2 คน) พอค่ะ กลัวไม่มีเงินเก็บ
เมื่อเวลาผ่านไปเรารู้สึกว่างานอิสระของเขาดูจะไม่ก้าวหน้าเท่าใดนัก เราเลยให้คำแนะนำในการเปลี่ยนอาชีพค่ะ เขาคนรู้จักเยอะ
เลยให้ลองถามพรรคพวกดูกว่าจะเปลี่ยนงานอะไรที่ดีกว่านี้ได้บ้าง สรุปได้ว่าจะให้ไปขายโฆษณาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งค่ะ แรก ๆ เขาก็ดู
กระตือรือร้นดีนะคะ มีหาลูกค้าจากคนรู้จัก นามบัตรพิมพ์เสร็จสรรพพร้อม แต่สุดท้ายนามบัตรก็วางแหมะไว้เหมือนเดิมค่ะ
เราก็ถามว่าไม่ขายแล้วเหรองานโฆษณา นสพ เขาบอกว่าต้องมีรถค่ะ เราก็เหรอ ทีทำไมนายหน้าที่วิ่งอยู่ทุกวันวิ่งได้ไม่เห็นต้องมีรถเลย
แต่ด้วยความที่เราอยากช่วยเต็มที่ค่ะ เราเลยเสนอไปว่างั้นออกรถมือสองก็ได้ เราดาวน์ให้ 20,000 บาท แต่เขาต้องไปทำเรื่องไฟแนนท์เอง
ผ่อนเอง เขาก็ตกลงค่ะ ลืมบอกไปค่ะว่าที่ออกรถมือสองนี่จะให้เขาไปวิ่งงานโรงแรม (รับส่งฝรั่ง) ด้วยค่ะ 2 งานพร้อม ๆ กัน
เมื่อเราจ่ายเงินดาวน์ให้ไปดำเนินการเรื่องรถแล้ว คือไว้ใจค่ะ คิดว่าเขาคงทำตามอย่างที่เขาบอกแน่นอน
แต่ที่ไหนได้ 1 เดือนผ่านไปหลังจากเซ็นเอกสารไฟแนนท์เสร็จก็ต้องรับรถมาใช่ไหมคะ
ทีนี้เขาจะมีข้ออ้างค่ะ รถเสียมั่ง นู้นนี่นั่น มากมาย รับรถไม่ได้
จนเราโมโหว่าทำไมเอกสารไฟแนนท์เสร็จแล้วทำไมถึงยังรับรถไม่ได้
เลยโทรไปถามแม่เขา แม่เขาบอกว่ายังไม่ได้เซ็นเอกสารไฟแนนท์อะไรเลย
งงเลยค่ะ ตกลงเงิน 20,000 บาทเอาไปทำอะไร ถามเขาเขาก็บอกว่าเซ็นแบบโอนลอยอะไรก็ไม่รู้
มีเอกสารสัญญาแล้ว เราขอดู แต่เขาบอกว่าถ้ารถมาเอกสารจึงจะได้เห็น
ตอนนี้ก็เกือบ 2 เดือนแล้วเอกสารก็ไม่เห็น รถก็ไม่เห็น เงินที่ขอคืน 20,000 บาทก็ไม่ได้คืน
สรุปว่าเราโดนเขาหมั่นไส้หรือเปล่าคะที่เงินเดือนมากกว่าเลยแกล้งเล่นสงครามประสาท
ซึ่งสงครามประสาทนี้เรารับไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ถามว่าเงินเมื่อไหร่จะได้คืนหรือต้องได้รถมา เลือกเอาสักอย่าง
ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรสักอย่างเลยค่ะ อุตส่าห์ให้ dead line ก็ผลัดไปเรื่อย ๆ ถามทวงก็ทำเป็นรำคาญ
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เงินที่หามาใช้ด้วยกัน ไม่เคยคิดถึงประเด็นว่าทำไมเขาเงินเดือนน้อยกว่าเลยค่ะ อาศัยคบแล้วสบายใจมากกว่าค่ะ
เงิน 20,000 บาทก็ไม่ใช่หามาได้ง่าย ๆ นะคะ บางทีป่วยก็ต้องนั่งทำงานเพราะรับปากลูกค้าไว้แล้วว่างานจะต้องส่งวันนี้ วันนั้น
สุดท้าย คนหนึ่งพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่อีกคนพยายามจะทำทุกอย่างให้แย่ลง
รู้สึกแย่มากค่ะ เราคงให้เวลาเขาอีก 2 เดือนถ้าไม่ได้เงินคืนหรือไม่ได้รถมาก็คงต้องเลิกคบสถานเดียวค่ะ
คุณผู้ชายที่อ่านกระทู้นี้จบรู้สึกอย่างไรคะ ถ้าคุณทำแบบนี้คุณมีเหตุผลอะไรคะ???
ถามคุณผู้ชายค่ะ คุณรู้สึกอย่างไรคะถ้าแฟนคุณเงินเดือนเยอะกว่ามาก
ยาวหน่อยนะคะ
เงินเดือนของเราถ้าขยัน ๆ ก็เกือบ ๆ 50,000 บาทต่อเดือนค่ะ
แต่แฟนเทำอาชีพอิสระ ถ้าเทียบรายได้เป็นต่อปีก็ประมาณแค่ 20,000-30,000 บาทต่อปีเท่านั้นค่ะ
เป็นแบบนี้มา 2-3 ปีแล้วค่ะ ก่อนหน้านั้นไม่มีปัญหาค่ะ เราไม่ได้คิดอะไรก็คิดว่าแฟนกันใช้ด้วยกันได้
เขาก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรนะคะ
จนกระทั่งครั้งหนึ่งเราฝากเงินไปให้แม่ 5,000 บาทแต่เขาดันหักออกไป 1,000 บาทเอาไปให้คนรู้จักเขายืม
แล้วไม่บอกเรา ซึ่งเราไม่ชอบแบบนี้ค่ะ เพราะการไม่บอกเหมือนกับว่าเราจะไม่รู้ว่าเงินถูกยืมไปแล้วจะไม่ได้ทวง
อีกอย่างเงินนั้นฝากไปให้แม่ด้วยค่ะ มีสิทธิ์อะไรมาหักออกเอง ถ้าอยากจะยืมก็ต้องมาบอกเป็นเรื่อง ๆ ไปค่ะ
หลังจากเหตุการ์ณนั้นเราก็ไม่ค่อยเก็บบัตร Debit ไว้ที่เขาแล้วค่ะ แต่จะเก็บไว้กับตัวเอง เวลาจะใช้ก็กดใช้วันละ 500 บาท
(2 คน) พอค่ะ กลัวไม่มีเงินเก็บ
เมื่อเวลาผ่านไปเรารู้สึกว่างานอิสระของเขาดูจะไม่ก้าวหน้าเท่าใดนัก เราเลยให้คำแนะนำในการเปลี่ยนอาชีพค่ะ เขาคนรู้จักเยอะ
เลยให้ลองถามพรรคพวกดูกว่าจะเปลี่ยนงานอะไรที่ดีกว่านี้ได้บ้าง สรุปได้ว่าจะให้ไปขายโฆษณาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งค่ะ แรก ๆ เขาก็ดู
กระตือรือร้นดีนะคะ มีหาลูกค้าจากคนรู้จัก นามบัตรพิมพ์เสร็จสรรพพร้อม แต่สุดท้ายนามบัตรก็วางแหมะไว้เหมือนเดิมค่ะ
เราก็ถามว่าไม่ขายแล้วเหรองานโฆษณา นสพ เขาบอกว่าต้องมีรถค่ะ เราก็เหรอ ทีทำไมนายหน้าที่วิ่งอยู่ทุกวันวิ่งได้ไม่เห็นต้องมีรถเลย
แต่ด้วยความที่เราอยากช่วยเต็มที่ค่ะ เราเลยเสนอไปว่างั้นออกรถมือสองก็ได้ เราดาวน์ให้ 20,000 บาท แต่เขาต้องไปทำเรื่องไฟแนนท์เอง
ผ่อนเอง เขาก็ตกลงค่ะ ลืมบอกไปค่ะว่าที่ออกรถมือสองนี่จะให้เขาไปวิ่งงานโรงแรม (รับส่งฝรั่ง) ด้วยค่ะ 2 งานพร้อม ๆ กัน
เมื่อเราจ่ายเงินดาวน์ให้ไปดำเนินการเรื่องรถแล้ว คือไว้ใจค่ะ คิดว่าเขาคงทำตามอย่างที่เขาบอกแน่นอน
แต่ที่ไหนได้ 1 เดือนผ่านไปหลังจากเซ็นเอกสารไฟแนนท์เสร็จก็ต้องรับรถมาใช่ไหมคะ
ทีนี้เขาจะมีข้ออ้างค่ะ รถเสียมั่ง นู้นนี่นั่น มากมาย รับรถไม่ได้
จนเราโมโหว่าทำไมเอกสารไฟแนนท์เสร็จแล้วทำไมถึงยังรับรถไม่ได้
เลยโทรไปถามแม่เขา แม่เขาบอกว่ายังไม่ได้เซ็นเอกสารไฟแนนท์อะไรเลย
งงเลยค่ะ ตกลงเงิน 20,000 บาทเอาไปทำอะไร ถามเขาเขาก็บอกว่าเซ็นแบบโอนลอยอะไรก็ไม่รู้
มีเอกสารสัญญาแล้ว เราขอดู แต่เขาบอกว่าถ้ารถมาเอกสารจึงจะได้เห็น
ตอนนี้ก็เกือบ 2 เดือนแล้วเอกสารก็ไม่เห็น รถก็ไม่เห็น เงินที่ขอคืน 20,000 บาทก็ไม่ได้คืน
สรุปว่าเราโดนเขาหมั่นไส้หรือเปล่าคะที่เงินเดือนมากกว่าเลยแกล้งเล่นสงครามประสาท
ซึ่งสงครามประสาทนี้เรารับไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ถามว่าเงินเมื่อไหร่จะได้คืนหรือต้องได้รถมา เลือกเอาสักอย่าง
ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรสักอย่างเลยค่ะ อุตส่าห์ให้ dead line ก็ผลัดไปเรื่อย ๆ ถามทวงก็ทำเป็นรำคาญ
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เงินที่หามาใช้ด้วยกัน ไม่เคยคิดถึงประเด็นว่าทำไมเขาเงินเดือนน้อยกว่าเลยค่ะ อาศัยคบแล้วสบายใจมากกว่าค่ะ
เงิน 20,000 บาทก็ไม่ใช่หามาได้ง่าย ๆ นะคะ บางทีป่วยก็ต้องนั่งทำงานเพราะรับปากลูกค้าไว้แล้วว่างานจะต้องส่งวันนี้ วันนั้น
สุดท้าย คนหนึ่งพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่อีกคนพยายามจะทำทุกอย่างให้แย่ลง
รู้สึกแย่มากค่ะ เราคงให้เวลาเขาอีก 2 เดือนถ้าไม่ได้เงินคืนหรือไม่ได้รถมาก็คงต้องเลิกคบสถานเดียวค่ะ
คุณผู้ชายที่อ่านกระทู้นี้จบรู้สึกอย่างไรคะ ถ้าคุณทำแบบนี้คุณมีเหตุผลอะไรคะ???