ชัชชาติ ปาฐกถา "นโยบายการพัฒนาระบบรางในประเทศไทย" รถไฟ คือ Growth Engine

กระทู้สนทนา


เวลา 13.30 น. วันที่ 15 พฤษภาคม (วันนี้) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขึ้นปาฐกถาพิเศษเรื่อง "นโยบายการพัฒนาระบบรางในประเทศไทย" ในงาน37 ปี ประชาชาติ ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม (ล็อบบี้ฟลอร์) โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ

*อย่าเชื่อรัฐบาล ต้องไตร่ตรอง

ประชาชาติธุรกิจเชิญมาพูดเรื่องไฮสปีดเทรน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ปัญหาคือช่วงแรกมีแต่คนสนับสนุน ทุกคนอยากให้มีรถไฟความเร็วสูง แต่ที่จริงมันต้องมีเบรก พอพูดอย่างนี้ก็เชิญแขกเลย มีทั้งสนับสนุนทั้งต่อต้าน ซึ่งเป็นเรื่องดี สังคมไทยต้องมีการคิดเชิงวิเคราะห์ให้เยอะขึ้น อย่าไปเชื่อรัฐบาล ต้องไตร่ตรอง ที่ผ่านมาสังคมไทยขาดตรงนี้ และ พรบ.นี้่ได้เปิดโอกาสให้มาคิดมาดู ว่าโครงการที่รัฐลงทุนทำอะไรแบบไหน โดยจุดยืนของรัฐบาลคือ Growth Engine

อย่างหัวจักรของร.5 ที่เห็นในพรีเซนเตชั่น แสดงว่าท่านได้เตรียมที่ให้เราไว้มีเขตทาง 80 เมตร เราแทบไม่ต้องเวนคืนที่ เป็นการทำให้เมืองขยาย การค้าขายขยาย บ้านเมืองก็รุ่งเรือง มาถึงล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ท่านก็มีพระราชดำริมาตั้งแต่ปี 2554 ว่ารถไฟได้ประโยชน์มากดีกว่าถนนที่แพงกว่า

โครงการที่ทำไม่ใช่โครงการใหม่ แต่เป็นโครงการที่ผมเรียกว่าโอกาสที่เสียไป มีหลายโครงการที่อนุมัติมานานแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นรางคู่ที่อนุมัติให้ทำได้ตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย นอกจากโอกาสที่เสียไปยังไม่พอ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

ยกตัวอย่าง ผู้โดยสารรถไฟตั้งแต่ปี 2533-2554 จำนวนคนขึ้นเหลือแค่ 45 ล้านคนต่อปี ในขณะที่รถเมล์ขนคนวันละ 4 ล้านคนต่อวัน รถเมล์ 10 วัน เท่ากับรถไฟขนคนทั้งปี อีกทั้งเรื่องความไม่ตรงต่อเวลา ช้าตั้งแต่ 130-200 นาที อย่างผมไปเชียงใหม่ก็ช้า 2 ชั่วโมง นี่ไม่มีสองมาตรฐานนะ เท่าเทียมกันหมด

*รถไฟความเร็วสูงลดการเหลื่อมล้ำ

ผมขอแตะนิดนึงเรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท มันไม่ใช่แค่รถไฟเร็วสูง มันมีมิติอื่นอีกมาก และมันลดความเหลื่อมล้ำ กระจายโอกาส

เรื่องการลงทุน นี่คือหลักง่ายๆ ของเศรษฐศาสตร์ จะหวังให้มีการเติบโตเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยไม่มีการลงทุนนั้นเป็นไปไม่ได้ ที่เราอยู่ทุกวันนี้เริ่มลำบากขึ้น การทำธุรกิจ ถ้าเราไม่ลงทุน ต่อไปจะคิดไม่ตก ถนนก็แคบ รถไปไม่ได้ ต้นทุนขนส่งสูง นี่คือหลักที่รัฐบาลต้องมองอนาคต ลดคอขวด และเพิ่มโอกาสคนทั้งประเทศ




*รถไฟรางคู่เชื่อมเพื่อนบ้านได้ไม่มีปัญหา

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านจริงๆแล้วประเทศเพื่อนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาลาวเวียดนามใช้ราง1เมตรทั้งหมด ใช้ขนสินค้าหนัก เช่น อ้อย น้ำตาล ยางพารา ดังนั้นการเชื่อมต่อจีงไม่มีปัญหา โดยจะทำเป็นรางคู่ ระยะทางประมาณ 2 พันกว่ากิโลเมตร ลิมิตความเร็วที่ 160 กม.ต่อชม.โดยรางคู่จะจอดทุกอำเภอ แต่ถ้าอยากได้ความเร็วมากขึ้น ก็ต้องเป็นรถไฟความเร็วสูง ใช้รางสแตนดาร์ตเกต โดยความเร็วจะอยู่ที่ 250-400 กม. เน้นผู้ที่ต้องการความเร็วสูง นักท่องเที่ยวที่ต้องจำกัดเวลา ขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเราต้องทำรางใหม่ โดยวางแนวไว้ 4 เส้นทาง ทางไหนไปทางเก่าได้ก็ไป เพื่อประหยัดการเวนคืน ซึ่งเราจะนำมาวิ่งร่วมกันเหมือนญี่ปุ่นที่มีราง 1 เมตร และ ชินกันเซ็นวิ่งควบคู่กันไป

*รถไฟ คือ Growth Engine

รถไฟความเร็วสูงไม่ใช่แค่รถไฟวิ่ง ไม่ใช่แค่การขนส่ง มันคืออนาคต ผมจะชี้ให้ดู เรื่องสังคม แต่ก่อนอยู่ต่างจังหวัดจะกลับบ้านสงกรานต์ นั่งรถไฟไปอุดร โคราช นี่ 5 ชั่วโมง แล้วก็ดีเลย์อีกครึ่งชม. แต่ว่าต่อไป กทม.-โคราช จะใช้แค่ชั่วโมงครึ่ง สังคมมันใกล้กันมากขึ้น ต่อไปไม่ต้องอยู่กทม.ก็ได้ ทำให้โอกาสเจริญไป พัฒนาเมืองตามเส้นทาง มีโอกาสอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า เป็นเมืองตามเส้นทางรถไฟฟ้า จะทำได้ไหม อย่างญ๊่ปุ่นทำแล้วตั้งแต่ปี 1964 รถไฟฟ้าเป็นตัวพัฒนาเมือง อย่างชินกันเซ็น เวลาผ่านไป 15 ปี บริเวณรอบๆ กลายเป็นเมืองใหม่ นี่คือกำหนดทิศทาง แต่ผมบอกว่ารถไฟความเร็วสูงเป็นเครื่องมือ ถ้าการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ได้ก็จะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นอย่างหนองคาย อุดรธานี ต้องการเป็นฮับอะไร สร้างคาแรกเตอร์ของแต่ละเมืองขึ้นมา เอารถไฟเป็น Growth Engine ต้องมองถึงเศรษฐกิตที่ตามมา อย่างจีนก็เติบโตเพิ่มขึ้นเพราะรถไฟความเร็วสูง

นอกจากเรื่องค่าตั๋วแล้ว ญี่ปุ่นเขาเน้นเรื่องพัฒนา ญี่ปุ่นมีรายได้จากพื้นที่ค่าเช่าที่ อสังริมทรัพย์ในบริเวณโดยรอบ 33 % รายได้จากค่าตั๋ว 47.5% และรายได้จากการลงทุนเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจต่างๆอีก 67% ซึ่งเป็นการมองเศรษฐกิจที่ตามมาจากโครงการรถไฟฟ้าไฮสปีดเทรน อย่างผมไปหนองคายเดือนที่แล้ว ไปกินร้านแดง แหนมเนือง เจ้าของร้านแดงเข้ามาถามว่า รถไฟความเร็วสูงเมื่อไหร่จะมา จะส่งไปขายที่เมืองจีน ที่กทม. เขาไม่สนใจค่าตั๋ว เขามองเป็นเครื่องมือ ลักษณะการมองอย่ามองแค่การขนส่ง ให้มองว่าเป็นเครื่องมือทำมาหากินได้

ถ้าเราดูเฉพาะค่าตั๋ว โอกาสคุ้มทุนยาก เราต้องดูทุกคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าเราดูว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เกษตรกร ลงลึกในเรื่องต่างๆ นักท่องเที่ยว มาใช้จ่ายในจังหวัด มาอยู่โรงแรม ถ้าวิเคราะห์คนที่เกี่ยวข้องกับความเร็วสูง ไม่ใช่แค่คนซื้อตั๋วอย่างเดียว ที่บอกว่ารถไฟสร้างความเหลื่อมล้ำ ไม่จริง แต่มันลงไปถึกถึงประชาชน รากหญ้าทั้งหมด

ยกตัวอย่าง จีดีพีเชียงใหม่ ถามว่าทำไมGrowthมันสูง อันหนึ่งคือ สายการบินโลว์คอร์สแอร์ไลน์ ปัจจุบัน โลว์คอร์ส ไปเชียงใหม่ 5 ล้านคนต่อปี 3 ล้านคนคือกลุ่มที่ไปเซ็น ไปธุรกิจ แล้วไม่ใช่ไปแย่งกับบขส.นะ แต่เป็นดีมานด์ที่เกิดขึ้นใหม่จากการขนส่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นดีมานด์ที่เกิดใหม่ จากการเดินทางที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ผมอยากเห็นอย่างนี้ นี่คือที่เราบอกว่า Growth Engine ไม่ใช่แค่ค่าตั๋ว แต่มันคือความเจริญที่มันเพิ่มขึ้นมาด้วย

*ไฟฟ้าคือทางเลือก

จากนี้ไปอีก10 ปี คาดการณ์ว่าน้ำมันจะอยู่ที่ 200 เหรียญต่อบาเรลล์ แล้วเราจะเดินทางการอย่างไร ไฟฟ้าคือทางเลือก อนาคตถ้าน้ำมันขึ้นไปถึง 200 เหรียญต่อบาเรลล์ก็อยู่กันลำบาก ถ้าเราไม่ลงทุนเผื่ออนาคตก็คงไปได้ยาก รถไฟความเร็วสูงจะมีสายไฟโยงตลอด จะใช้ระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้าของแต่ละภาค ไปภาคไหนก็เอาไฟจากตรงนั้น ไม่ต้องแบกน้ำมัน รถไฟเอาไปแค่มอเตอร์แล้วแตะไฟฟ้าจากบนหลังคา นี่คือระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง

*แบ่งมาร์เก็ต แชร์

นอกจานี้รถไฟความเร็วสูง สามารถแย่ง มาร์เก็ต แชร์ อย่างที่ประเทศญี่ปุ่นรถไฟความเร็วสูงสามารถแข่งกับเครื่องบินได้ในระยะใกล้ๆ จะสามารถแย่งมาร์เก็ตแชร์ได้ 100% เลย เพราะมันคือเทรนด์การท่องเที่ยวที่สะดวก ไม่ต้องรอเช็คอินนาน มันได้เปรียบเครื่องบินหลายอย่าง อย่างยุโรปหลายประเทศไม่มีเครื่องบินแล้ว รถไฟความเร็วสูงมาแชร์ไปหมด จะเห็นได้ว่าประสบการณ์พวกนี้ เป็นทางเลือกที่ประชาชนนิยม ส่วนประเทศอเมริกา ถ้าพูดตามโอบามาที่กำลังคิดจะสร้างไฮสปีดเทรน คือ รถไฟฟ้าความเร็วสูงคือหัวใจการเติบโตทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการคมนาคมทางอากาศ

*มีไฮสปีดเทรน จีดีพีจะโตปีละ 1%

ถ้าเราวางรถไฟความเร็วสูงสำเร็จ จีดีพีจะขึ้นอย่างน้อยปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ เหมือนเครื่องมือที่สร้างความเจริญ จากนี้ไปอยู่ได้อีก 50 ปี 100 ปี แล้วมันจะต่อทุกปีต่อเรื่อยๆ มันคือ Growth Engine จะสร้างงาน เศรษฐกิจในระยะยาว ต่อไปแนวคิดใหม่ รถไฟอยู่หน้าบ้าน คนที่ได้คือ อสังหาริมทรัพย์ โดยจะพัฒนาโครงข่ายรอบสถานี ซึ่งส่วนนี้บางส่วนให้เอกชนร่วมลงทุน แล้วกำไรส่วนหนึ่งกลับมาที่รถไฟ กลับมาที่รัฐ เพื่อขยายเส้นทางต่อไป

*มองความสอดคล้องสถานีกับท้องถิ่น

แล้วเรามีการวางแนวคิดแต่ละสถานีเป็นอย่างไรให้สอดคล้องกับท้องถิ่นได้ไหมก็พยายามดูให้มีเอกลักษณ์ของไทยอยู่ด้วยอย่างลพบุรีก็อาจจะจอดใต้ดินใต้พระปรางค์3ยอดก็ดูธีมจังหวัด ต้องเอาคนพื้นที่มามีส่วนร่วมว่าต้องการให้อยู่ที่ไหน ให้คอนเทนต์อย่างไร อย่างที่อ.พันศักดิ์ ให้นโยบายไว้ ไม่ใช่ขายแค่ตั๋ว แต่เป็นประสบการณ์ อาจจะมีการขายอาหารของภาคต่างๆ มาวางเป็นเบนโต๊ะ เอามาขายในรถไฟได้ไหม ขายภูมิปัญญาท้องถิ่น ไปดูงานที่ญี่ปุ่น ที่อังกฤษ เซาท์แธมตัน ดูการเชื่อมโยงคน ไลฟ์สไตล์กับการขนส่ง ที่นิวยอร์ก ก็มีหลายมิติที่เราไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เป็นเครื่องมือที่เราต้องคิดว่าจะเอามูลค่าเพิ่มจากตรงนี้ได้อย่างไร

*ถึงเวลาเปลี่ยน

มีข้อดีแต่ก็มีเสี่ยงอยู่ เพราะความเร็วสูง 300 กม.ต่อชม. ถ้าเป็นอะไรก็หนัก แต่รถไฟไม่ใช่ซื้อแล้ววิ่งได้ มันต้องพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัยของประเทศด้วย ไม่ใช่แค่การก่อสร้าง แต่ต้องพัฒนาคุณภาพคน เหมือนที่เราประสบความสำเร็จเรื่องการบิน รถไฟเราก็ต้องมีมิติความปลอดภัย ทีนี้มิติตรงเวลา ที่ชินกันเซ็น พนักงานเขาจะได้นาฬิกาพกคนละเรือน เขาจะเน้นมาตรฐาน ตรงต่อเวลา ญี่ปุ่นทั้งปีเฉลี่ยดีเลย์ 1 นาที คือมันมีหลายด้านที่เราจะได้ประโยชน์

ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนก็แข่งกับต่างชาติลำบาก ถึงจุดหนึ่งก็ต้องกล้าตัดสินใจ คนพูดว่าโกง ถ้ากลัวก็ต้องร่วมมือกัน มาช่วยกัน ถ้ากลัวแล้วไม่ทำ ก็ไม่ถูก ต้่องมาช่วยตรวจสอบ มาช่วยแนะนำ ให้โปร่งใส ผมคือผู้รับผิดชอบเต็มๆ ถ้ามีปัญหาผมรับคนแรกเต็มๆ ผมเป็นคนยืนอธิบายให้ประชาชนฟังอย่ากลัวจนไม่กล้วเดินหน้า ประเทศไทยอยู่กับที่คงไม่ไหว

ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1368605848
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่