“ความสวย เปลี่ยนชีวิตได้” จี๊ดถึงทรวงใน


เอิ๊ก..กลับมาอีกครั้งครับ ผมว่าจะไม่เขียนบทความอะไรในช่วงวันหยุดแบบนี้ แต่ก็ขออีกสักหน่อยแล้วกันครับ พอดีว่าเปิดโทรทัศน์ไปเจอโฆษณาตัวหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดความดราม่าได้อย่างน่าสนใจมาก แต่พอตอนใกล้จะจบโฆษณากลับมาทีคำว่า “ความสวย เปลี่ยนชีวิตได้” ผมถึงกับจี๊ดหัวใจเหลือเกิน เลยถามกับตัวเองว่า “สังคมมันเป็นอะไรไปหมดแล้ว”

ทำใจยากหน่อยครับ สำหรับใครที่มีความคิดติดค่านิยมแบบเก่า (อย่างผม) ที่ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในสังคม อะไรที่ไม่เคยมีก็กลับมีขึ้นมา อะไรที่เคยแย่ก็กลับมาดูดีและถูกยอมรับซะอย่างนั้น ทำเอาคนรุ่นเก่า ๆ แทบจะหลบหนีเข้าป่าเลยทีเดียว

ผมไม่พูดถึงโฆษณาว่าเป็นของใคร และไม่วิจารณ์ว่ามัน “ดี” หรือ “ไม่ดี” แต่จะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในจิตใจของคนสมัยนี้กัน ว่ามีอะไรบ้างที่เราสังเกตุได้ชัดเจนมากที่สุด เอาพอสังเขปแล้วกัน เริ่มด้วยคนสมัยนี้มองวัตถุเป็นสิ่งสำคัญ การมีสิ่งประดับภายนอก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ทรัพย์สิน และการแต่งกาย หากใครมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ดี ย่อมได้รับความนิยมชมชอบจากคนทั่วไปเสมอ ซึ่งเข้าข่ายเป็นลัทธินิยมวัตถุไปแล้ว คือไม่สนใจความดีงามทางด้านจิตใจ แต่จะเน้นการแสวงหาความสุขจากวัตถุแทน

อาชีพที่มีเกียรติ์สมัยนี้ คงไม่ใช่แค่ นายแพทย์ หรืออาจารย์ ฯลฯ อีกต่อไปแล้ว แต่จะมีอาชีพ นักร้อง นักแสดง เข้ามาอีกอาชีพหนึ่ง ที่ได้รับความสนใจจากคนสมัยใหม่ การสร้างค่านิยมจากโฆษณามีส่วนเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กสมัยใหม่ มีความฝันอันสูงสุดคือ การเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นนักร้อง เป็นนักแสดง ซึ่งในครั้งอดีตอาชีพนี้ถือว่าเป็น “อาชีพเต้นกินรำกิน” ที่คนส่วนมากไม่คิดว่าดี แต่ในปัจจุบันกลับแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง หนุ่มสาวของเราต่างพยายามกันสุดความสามารถเพื่อให้ได้อยู่ในจุดนั้น

การปั้นดาราหรือนักร้องจึงมีมากมายจากหลายค่าย หลายแห่ง บ้างก็สร้างความโด่งดังให้กับตัวเองโดยการกระทำบางสิ่งบางอย่างให้เป็นแสขึ้นมา เพื่อให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังได้ในที่สุด ทั้งนี้เพราะ “ค่านิยมความคลั่งใคร่ ศรัทธาคนดัง” เป็นค่านิยมที่เกิดใหม่ มันให้ผลดีกว่าการศรัทธาสิ่งที่ไม่มีตัวตน อย่างเช่น ความดี หรือ ศาสนา เพราะมันให้ผลกับที่คนคลั่งใคร่เป็นรูปธรรม สามารถจับต้องได้ สัมผัสได้อย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องน่าสนใจกว่าอยู่แล้ว

การมีความละอาย ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราสังเกตุเห็นได้ชัดเจนมากในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน หรือองค์กร ซึ่งการกล้าแสดงออกในสมัยนี้ น่ากลัว น่าวิตก น่าหนักใจ มีส่วนน้อยที่น่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกของคนเอง หรือ องค์กรบางองค์กร ซึ่งอันที่จริงแล้ว การกล้าแสดงออกนั้นเป็นเรื่องดี แต่การแสดงออกนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วย มันถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์

คนสมัยนี้มีความละอายน้อยลง กล้าทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ และไม่ได้สนใจต่อคนรอบข้างว่าจะรู้สึกอย่างไร ทั้งนี้เพราะการดิ้นรนต่อสู้ให้อยู่รอดนั้น มันสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดกระมัง คนเราถึงได้กล้าทำอะไรๆโดยไม่แคร์ต่อสิ่งใด สมกับคำที่ว่า “ด้านได้ อายอด” องค์กรก็เช่นเดียวกัน การสร้างความนิยม และผลกำไรนั้น สำคัญที่สุด ไม่ต้องสนใจผลที่เกิดขึ้นกับสังคม แต่จะสนใจแค่ผลประกอบการที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง

กลับมาที่คำว่า “ความสวย เปลี่ยนชีวิตได้” ฟังแล้วโดนใจใครหลายคน แต่มันสะท้อนอะไร คนเราต้องสวย ต้องหล่อเท่านั้นใช่หรือไม่ ถึงจะได้รับโอกาสดี ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การงาน ความรัก และความสุขในชีวิต มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ ผมไม่อยากยกตัวอย่าง เกรงว่ามันจะยาวไป จึงขออธิบายในเชิงธรรมะก็แล้วกันครับ

พระท่านว่ากายนี้ ถ้าไม่เป็นที่รองรับความดี ก็เป็นของเลวอย่างหนึ่ง หาประโยชน์อะไรมิได้ เราจึงไม่ควรยึดติด เพราะมันไม่มีแก่นสารใดๆ ความดีงามต่างหากล่ะ ที่มีแก่นสาร คุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่การมีหน้าตาดี แต่อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้ต่างหากที่จะทำให้เราได้รับความสุข ความเจริญ และโอกาสดี ๆ ในชีวิต คนที่ฉลาดเลือกคนนั้น เค้าไม่ได้เลือกเพราะหน้าตาดี แต่เค้าเลือกจากคุณสมบัติในตัวของคนคนนั้น ส่วนการมีหน้าตาดีเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้นเอง

คนบางคน สวยหล่อแค่หน้าตา แต่ปัญญาอับเฉาสิ้นดี ทำกินอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากขายหน้าตาไปวัน ๆ เมื่อถึงกาลโรยราแห่งสังขาร คนเหล่านี้ก็จะเป็นคนที่ไร้ค่า หาประโยชน์อะไรไม่ได้ จะเลี้ยงชีพด้วยการประกอบอาชีพไหนก็ลำบาก เหตุเพราะว่าไม่มีความรู้ในวิชาอาชีพ สุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้ค่า ที่ไม่มีใครต้องการ ตรงกันข้ามคนที่ไม่สวยไม่หล่อ แต่มีความสามารถ มีวิชาความรู้ดี หาเลี้ยงชีพด้วยวิชาความสามารถของตน เมื่อแก่ตัวไปก็จะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่เป็นภาระสังคม และยังสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ ๆ ได้อีก เป็นคนที่มีค่าในสังคม ส่วนคนที่หน้าตาดีด้วย มีความรู้ความสามารถดีด้วย เขาย่อมมีคุณค่ายิ่งๆ ขึ้นไป

การยึดถือร่างกายนี้ เป็นความเขลาอย่างยิ่ง คนฉลาดจะมองกาลไกล โดยมองว่าคนเราย่อมมีแก่ชรา ไม่มีอะไรจะบังคับหรือยื้อมันได้ การสร้างปัญญาเท่านั้นจึงจะควร เพราะปัญญาจะติดตัวเราไปตลอด ไม่มีสิ่งใดเอาไปจากเราได้ ในขณะที่คนเขลา คิดว่าการมีรูปร่างหน้าตาดีนั้น สร้างความสุขให้กับตนได้ ซึ่งมันก็จริง แต่ก็แค่ระยะสั้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การเป็นแค่ของบำเรอความสุขทางกายเท่านั้น หาได้รับความสุขทางใจในระยะยาวไม่

คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนเรื่องนี้ได้ดีที่สุดและเป็นความจริงแท้แน่นอน ไม่ว่าสังคมนี้จะเลวร้ายลงไปแค่ไหน (มันแย่อีกต่อไปและมากขึ้น) แต่หากเรามีปัญญา พิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างดีแล้ว ไม่ว่าสังคมจะเลวร้ายอย่างไร มันก็มิอาจจะทำให้เสื่อมไปด้วยไม่ ดังนั้นมติของเรื่องนี้ จึงชี้ให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญา และลองพิจารณาดูเถิดว่า “คุณดูโฆษณานี้แล้ว คุณได้อะไร และคิดอย่างไร”

ชมคลิปประกอบ

บทความโดย bank9597
วิดีโอ: news.voicetv.co.th
ภาพโดย: cnxwalkingstreet.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่