ต้องทนรวยให้เป็น!! สูตรลับมั่งคั่งสู่พอร์ตพันล้าน สไตล์เซียนหุ้นพันธุ์ใหม่ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online
http://www.thairath.co.th/content/life/321277
ในยุคที่ใครๆอยากรวยเร็ว การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นบันไดก้าวสำคัญที่จะตะกายสู่ความมั่งคั่งในชั่ว ข้ามคืน แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อพูดถึงตลาดหุ้น คนไทยส่วนใหญ่ยังร้องยี้ เพราะมองว่าเป็นสนามของเซียนพนัน กระนั้น ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 ปีมานี้ ได้รับการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้บรรดาเซียนหุ้นสายพันธุ์ใหม่ ภายใต้การนำของ “แพท–ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” หลานปู่ วัย 33 ปี ของนักการเมืองชื่อดัง “ทวิช กลิ่นประทุม” ซึ่งแจ้งเกิดจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน” และแสดงฝีมือในช่วงหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ สร้างความมั่งคั่งด้วยลำแข้งตัวเองจากเงินล้านสู่พอร์ตพันล้านใน 4 ปี
วงการหุ้นร่ำลือว่า “ภาววิทย์” ประสบความสำเร็จเร็วเพราะเป็นเด็กเส้น
ผม โตมาในครอบครัวนักการเมืองและนักธุรกิจ เป็นหลานปู่ของ “คุณทวิช กลิ่นประทุม” และหลานตาของ “คุณวีระ รมยะรูป” ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และมือขวาของ “คุณชิน โสภณพนิช” ส่วนคุณพ่อทำธุรกิจชิปปิ้งของครอบครัว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมยอมรับว่านามสกุลช่วยให้ได้รับการยอมรับง่ายขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเรา คนชอบผมก็มี...คนเกลียดก็เยอะ เว็บไซต์ pantip เอาผมไปยำเละตลอดเวลา
โตมาแบบลูกคุณหนูหรือเปล่า
พ่อ แม่สอนให้รู้จักใช้เงินมากกว่า ผมไม่ค่อยสปอย และไม่สนว่าที่บ้านทำอะไร ชอบลุยทำอะไรเองมาตั้งแต่วัยรุ่น ทำอะไรก็ได้ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง จะรู้สึกภูมิใจกว่าการใช้คอนเนกชั่น ตอนเด็กๆผมฝันอยากเป็นนักธุรกิจ อยากทำอะไรก็ได้ที่เป็นโอกาส ฝันอย่างหนึ่งคืออยากเปิดร้านอาหารเช่นฟาสต์ฟู้ดแบบแมคโดนัลด์
ก่อนเข้ามาท่องยุทธจักรตลาดหุ้น ทำอะไรมาก่อน
ผม เรียนจบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณแม่ขอให้ไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ออสเตรเลีย แต่ใจจริงอยากทำธุรกิจ พอไปถึงออสเตรเลีย ผมก็มองหาลู่ทางทำธุรกิจทันที บอกคุณแม่ว่าไม่เรียนหนังสือแล้ว และขอเอาเงินค่าเรียนมาวางมัดจำซื้อร้านอาหาร ผมเปิดร้านแรกที่นิวเซาท์เวลส์ ภายในเวลา 5 ปี ขยายร้าน 5 สาขา แต่ต้องสะดุดครั้งใหญ่ เพราะเจอวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปลายปี 2008 ตอนนั้นสัญญาณเริ่มมาแล้ว ฝรั่งหยุดใช้จ่ายหมด ผลปรากฏว่า ผมขาดทุนไป 20 ล้านบาท รู้สึกแย่มาก เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยช่วงต้นปี 2008 กลับมาถึงบ้านเศรษฐกิจยังบูมอยู่เลย คนไทยไม่รู้เรื่อง วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ก็ยังไม่เกิด ตอนนั้น คุณแม่ฝากให้ทำงานธนาคารกรุงเทพ เป็นนักวิเคราะห์การเงินอยู่กับ “คุณโทนี่-ชาติศิริ โสภณพนิช” ช่วงนี้เองที่ทำให้ผมมีเวลาศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจ ผมศึกษาย้อนหลังดูข้อมูลบริษัทต่างๆในช่วงนั้น พบว่าที่จริงแล้ว กลุ่มธนาคารแทบไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ แถมยังกำไรเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ที่บ้านปลูกฝังเรื่องการลงทุนและการออมเงินตั้งแต่เด็กเลยไหม
ครอบครัว ผม แค่เฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็มีแต่ของเก่า คุณพ่อชอบของแอนทีกหมดเลย พอผ่านไป 10 ปี มูลค่าเพิ่มเป็น 10 เด้ง บ้านผมจะไม่มีทางซื้อรถสปอร์ต 10 คัน ถ้าจะซื้อรถสปอร์ตสักคันเพื่อสร้างภาพลักษณ์ก็ได้ แต่คุณจะต้องคัตลอสท์ไปเลย เพราะสุดท้ายมันจะไม่มีมูลค่าอะไร ถ้าอยากถือกระเป๋าแบรนด์เนมก็ซื้อได้ แต่ไม่ใช่ซื้อเยอะไปหมด จนสุดท้ายไม่เหลือมูลค่า
เริ่มสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังเมื่อไหร่
แรก เริ่มผมช่วยดูพอร์ตการลงทุนของที่บ้าน โดยแนะนำคุณแม่ให้ขายหุ้นแบงก์กรุงเทพไปก่อน ในช่วงต้นปี 2008 ราคา 130 บาท เพราะเริ่มเห็นเค้าไม่ดีจากออสเตรเลีย ปรากฏว่า ช่วงปลายปีเกิดวิกฤติซับไพรม์ปั้ง!!...ราคาหุ้นแบงก์กรุงเทพร่วงเหลือ 59 บาท คิดดู!! ผมได้ขายไปก่อนในจังหวะใกล้ๆจุดพีคที่สุด ทำให้มั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว
ฝึกปรือวิชาการลงทุนในตลาดหุ้นจากที่ไหน
ผม อ่านหนังสือเยอะมาก และศึกษาหาความรู้ แต่ครูที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ ผมเห็นพ่อแม่ลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอด พวกท่านไม่ใช่คนเล่นหุ้น แต่ทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤติรุนแรง พ่อแม่จะเข้าไปช้อนซื้อเยอะมาก อย่างช่วงเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซื้อแบงก์กรุงเทพตอนราคา 20 บาท แล้วเก็บยาวเลย แต่ปัญหาคือ พ่อแม่ซื้อของเก่ง แต่จับจังหวะการขายไม่เป็น พอเราทำได้ดี ก็เลยได้รับความไว้วางใจให้ดูแลพอร์ตหลักหลายร้อยล้านบาท
แจ้งเกิดในวงการตลาดหุ้นได้อย่างไร
ระหว่าง เป็นนักวิเคราะห์ที่แบงก์กรุงเทพ ผมก็ทำบล็อกของตัวเองด้วย ใช้ชื่อว่า Pawawit Stock-Comment แล้วเอาข้อเขียนตัวเองไปแชร์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ทั้ง pantip และ stock2morrow ปรากฏว่าเจ้าของเว็บไซต์อ่านบทความแล้วชอบ เลยชวนผมทำหนังสือ เป็นช่วงเดียวกับที่ผมเริ่มดูแลพอร์ตการลงทุนของที่บ้านอย่างเต็มตัว
สร้างพอร์ตของตัวเองด้วยเงินทุนเท่าไหร่ ซื้อหุ้นตัวไหนเป็นตัวแรก
ผม เอาเงินที่เก็บสะสมได้หลักล้านมาลงทุนในตลาดหุ้น ตอนแรกเน้นเล่นแนววีไอ ซื้อแล้วเก็บยาว หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ แบงก์กรุงเทพ เพราะเรารู้ราคามันอยู่แล้ว ตอนที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ ราคาลงไปถึง 59 บาท ร่วงเหมือนแบงก์จะเจ๊ง ทั้งๆที่ถ้าเปิดงบดูจะรู้ว่า แบงก์กรุงเทพไม่ได้ขาดทุนเลย แต่ปีนั้นกำไรเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้พุ่งไป 200 บาทแล้ว หลังจากนั้น ผมก็พยายามมองหาหุ้นที่จะเก็บเข้าพอร์ตเรื่อยๆ โดยเทคนิคของผมคือ 70% ของพอร์ตจะซื้อหุ้นไว้เก็บระยะยาว เน้นซื้อสะสมทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ส่วนอีก 30% เอาไว้เทรดดิ้ง ซื้อขายตามรอบ โดยใช้เทคนิคเข้ามาช่วย
หุ้นตัวไหนเป็นซุปเปอร์แมนเอาชนะทุกวิกฤติ
จริงๆแล้วมี 3 กลุ่มคือ แบงก์, พลังงาน และเทเลคอม ไม่ว่าเกิดวิกฤติอะไรสุดท้ายมันต้องกลับมา โดยเฉพาะเทเลคอม หลายคนมองว่าอิงการเมืองเยอะ แต่มันกลายเป็นพระเอกของผม!! สถิติของตลาดยึดตามสูตร 80 : 20 คือ 80% ลงทุนแล้วต้องเจ๊ง ส่วนอีก 20% คือ คนที่ได้เงินจาก 80% ประเด็นก็คือ ต้องมองตลาดให้ออกว่า ใครที่ได้กำไร คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมีแสนกว่าคน ทุกคนคิดว่าตัวเองมีความรู้หมด และมีเป้าหมายเดียวกันหมด คือต้องการจะรวย แต่ทำไมเจ๊งถึง 80% ประเด็นคือ หุ้นขึ้นลงตามดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งไม่ได้อยู่กับพื้นฐาน พื้นฐานคือกรอบใหญ่ที่บอกได้ว่าใน 5 ปีข้างหน้าหุ้นตัวนั้นจะเป็นยังไง แต่การขึ้นลงของหุ้นไม่เกี่ยวกับพื้นฐานเลย เกี่ยวกับว่ามีคนอยากซื้อหรือเปล่ามากกว่า เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นตัวนี้ดี แปลว่าหุ้นตัวนั้นแพงแล้วเสมอ จึงไม่ควรซื้อ!! แต่คนส่วนใหญ่เวลาเข้าตลาดจะซื้อหุ้นที่โบรกเกอร์เชียร์ ซึ่งแพงแล้ว คนเหล่านี้คือ 80% ของตลาดนั่นเอง มีแนวโน้มเจ๊งสูง!!
ทนรวยให้เป็น
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321277
ในยุคที่ใครๆอยากรวยเร็ว การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นบันไดก้าวสำคัญที่จะตะกายสู่ความมั่งคั่งในชั่ว ข้ามคืน แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อพูดถึงตลาดหุ้น คนไทยส่วนใหญ่ยังร้องยี้ เพราะมองว่าเป็นสนามของเซียนพนัน กระนั้น ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 ปีมานี้ ได้รับการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้บรรดาเซียนหุ้นสายพันธุ์ใหม่ ภายใต้การนำของ “แพท–ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” หลานปู่ วัย 33 ปี ของนักการเมืองชื่อดัง “ทวิช กลิ่นประทุม” ซึ่งแจ้งเกิดจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน” และแสดงฝีมือในช่วงหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ สร้างความมั่งคั่งด้วยลำแข้งตัวเองจากเงินล้านสู่พอร์ตพันล้านใน 4 ปี
วงการหุ้นร่ำลือว่า “ภาววิทย์” ประสบความสำเร็จเร็วเพราะเป็นเด็กเส้น
ผม โตมาในครอบครัวนักการเมืองและนักธุรกิจ เป็นหลานปู่ของ “คุณทวิช กลิ่นประทุม” และหลานตาของ “คุณวีระ รมยะรูป” ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และมือขวาของ “คุณชิน โสภณพนิช” ส่วนคุณพ่อทำธุรกิจชิปปิ้งของครอบครัว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมยอมรับว่านามสกุลช่วยให้ได้รับการยอมรับง่ายขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเรา คนชอบผมก็มี...คนเกลียดก็เยอะ เว็บไซต์ pantip เอาผมไปยำเละตลอดเวลา
โตมาแบบลูกคุณหนูหรือเปล่า
พ่อ แม่สอนให้รู้จักใช้เงินมากกว่า ผมไม่ค่อยสปอย และไม่สนว่าที่บ้านทำอะไร ชอบลุยทำอะไรเองมาตั้งแต่วัยรุ่น ทำอะไรก็ได้ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง จะรู้สึกภูมิใจกว่าการใช้คอนเนกชั่น ตอนเด็กๆผมฝันอยากเป็นนักธุรกิจ อยากทำอะไรก็ได้ที่เป็นโอกาส ฝันอย่างหนึ่งคืออยากเปิดร้านอาหารเช่นฟาสต์ฟู้ดแบบแมคโดนัลด์
ก่อนเข้ามาท่องยุทธจักรตลาดหุ้น ทำอะไรมาก่อน
ผม เรียนจบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณแม่ขอให้ไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ออสเตรเลีย แต่ใจจริงอยากทำธุรกิจ พอไปถึงออสเตรเลีย ผมก็มองหาลู่ทางทำธุรกิจทันที บอกคุณแม่ว่าไม่เรียนหนังสือแล้ว และขอเอาเงินค่าเรียนมาวางมัดจำซื้อร้านอาหาร ผมเปิดร้านแรกที่นิวเซาท์เวลส์ ภายในเวลา 5 ปี ขยายร้าน 5 สาขา แต่ต้องสะดุดครั้งใหญ่ เพราะเจอวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปลายปี 2008 ตอนนั้นสัญญาณเริ่มมาแล้ว ฝรั่งหยุดใช้จ่ายหมด ผลปรากฏว่า ผมขาดทุนไป 20 ล้านบาท รู้สึกแย่มาก เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยช่วงต้นปี 2008 กลับมาถึงบ้านเศรษฐกิจยังบูมอยู่เลย คนไทยไม่รู้เรื่อง วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ก็ยังไม่เกิด ตอนนั้น คุณแม่ฝากให้ทำงานธนาคารกรุงเทพ เป็นนักวิเคราะห์การเงินอยู่กับ “คุณโทนี่-ชาติศิริ โสภณพนิช” ช่วงนี้เองที่ทำให้ผมมีเวลาศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจ ผมศึกษาย้อนหลังดูข้อมูลบริษัทต่างๆในช่วงนั้น พบว่าที่จริงแล้ว กลุ่มธนาคารแทบไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ แถมยังกำไรเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ที่บ้านปลูกฝังเรื่องการลงทุนและการออมเงินตั้งแต่เด็กเลยไหม
ครอบครัว ผม แค่เฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็มีแต่ของเก่า คุณพ่อชอบของแอนทีกหมดเลย พอผ่านไป 10 ปี มูลค่าเพิ่มเป็น 10 เด้ง บ้านผมจะไม่มีทางซื้อรถสปอร์ต 10 คัน ถ้าจะซื้อรถสปอร์ตสักคันเพื่อสร้างภาพลักษณ์ก็ได้ แต่คุณจะต้องคัตลอสท์ไปเลย เพราะสุดท้ายมันจะไม่มีมูลค่าอะไร ถ้าอยากถือกระเป๋าแบรนด์เนมก็ซื้อได้ แต่ไม่ใช่ซื้อเยอะไปหมด จนสุดท้ายไม่เหลือมูลค่า
เริ่มสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังเมื่อไหร่
แรก เริ่มผมช่วยดูพอร์ตการลงทุนของที่บ้าน โดยแนะนำคุณแม่ให้ขายหุ้นแบงก์กรุงเทพไปก่อน ในช่วงต้นปี 2008 ราคา 130 บาท เพราะเริ่มเห็นเค้าไม่ดีจากออสเตรเลีย ปรากฏว่า ช่วงปลายปีเกิดวิกฤติซับไพรม์ปั้ง!!...ราคาหุ้นแบงก์กรุงเทพร่วงเหลือ 59 บาท คิดดู!! ผมได้ขายไปก่อนในจังหวะใกล้ๆจุดพีคที่สุด ทำให้มั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว
ฝึกปรือวิชาการลงทุนในตลาดหุ้นจากที่ไหน
ผม อ่านหนังสือเยอะมาก และศึกษาหาความรู้ แต่ครูที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ ผมเห็นพ่อแม่ลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอด พวกท่านไม่ใช่คนเล่นหุ้น แต่ทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤติรุนแรง พ่อแม่จะเข้าไปช้อนซื้อเยอะมาก อย่างช่วงเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซื้อแบงก์กรุงเทพตอนราคา 20 บาท แล้วเก็บยาวเลย แต่ปัญหาคือ พ่อแม่ซื้อของเก่ง แต่จับจังหวะการขายไม่เป็น พอเราทำได้ดี ก็เลยได้รับความไว้วางใจให้ดูแลพอร์ตหลักหลายร้อยล้านบาท
แจ้งเกิดในวงการตลาดหุ้นได้อย่างไร
ระหว่าง เป็นนักวิเคราะห์ที่แบงก์กรุงเทพ ผมก็ทำบล็อกของตัวเองด้วย ใช้ชื่อว่า Pawawit Stock-Comment แล้วเอาข้อเขียนตัวเองไปแชร์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ทั้ง pantip และ stock2morrow ปรากฏว่าเจ้าของเว็บไซต์อ่านบทความแล้วชอบ เลยชวนผมทำหนังสือ เป็นช่วงเดียวกับที่ผมเริ่มดูแลพอร์ตการลงทุนของที่บ้านอย่างเต็มตัว
สร้างพอร์ตของตัวเองด้วยเงินทุนเท่าไหร่ ซื้อหุ้นตัวไหนเป็นตัวแรก
ผม เอาเงินที่เก็บสะสมได้หลักล้านมาลงทุนในตลาดหุ้น ตอนแรกเน้นเล่นแนววีไอ ซื้อแล้วเก็บยาว หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ แบงก์กรุงเทพ เพราะเรารู้ราคามันอยู่แล้ว ตอนที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ ราคาลงไปถึง 59 บาท ร่วงเหมือนแบงก์จะเจ๊ง ทั้งๆที่ถ้าเปิดงบดูจะรู้ว่า แบงก์กรุงเทพไม่ได้ขาดทุนเลย แต่ปีนั้นกำไรเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้พุ่งไป 200 บาทแล้ว หลังจากนั้น ผมก็พยายามมองหาหุ้นที่จะเก็บเข้าพอร์ตเรื่อยๆ โดยเทคนิคของผมคือ 70% ของพอร์ตจะซื้อหุ้นไว้เก็บระยะยาว เน้นซื้อสะสมทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ส่วนอีก 30% เอาไว้เทรดดิ้ง ซื้อขายตามรอบ โดยใช้เทคนิคเข้ามาช่วย
หุ้นตัวไหนเป็นซุปเปอร์แมนเอาชนะทุกวิกฤติ
จริงๆแล้วมี 3 กลุ่มคือ แบงก์, พลังงาน และเทเลคอม ไม่ว่าเกิดวิกฤติอะไรสุดท้ายมันต้องกลับมา โดยเฉพาะเทเลคอม หลายคนมองว่าอิงการเมืองเยอะ แต่มันกลายเป็นพระเอกของผม!! สถิติของตลาดยึดตามสูตร 80 : 20 คือ 80% ลงทุนแล้วต้องเจ๊ง ส่วนอีก 20% คือ คนที่ได้เงินจาก 80% ประเด็นก็คือ ต้องมองตลาดให้ออกว่า ใครที่ได้กำไร คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมีแสนกว่าคน ทุกคนคิดว่าตัวเองมีความรู้หมด และมีเป้าหมายเดียวกันหมด คือต้องการจะรวย แต่ทำไมเจ๊งถึง 80% ประเด็นคือ หุ้นขึ้นลงตามดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งไม่ได้อยู่กับพื้นฐาน พื้นฐานคือกรอบใหญ่ที่บอกได้ว่าใน 5 ปีข้างหน้าหุ้นตัวนั้นจะเป็นยังไง แต่การขึ้นลงของหุ้นไม่เกี่ยวกับพื้นฐานเลย เกี่ยวกับว่ามีคนอยากซื้อหรือเปล่ามากกว่า เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นตัวนี้ดี แปลว่าหุ้นตัวนั้นแพงแล้วเสมอ จึงไม่ควรซื้อ!! แต่คนส่วนใหญ่เวลาเข้าตลาดจะซื้อหุ้นที่โบรกเกอร์เชียร์ ซึ่งแพงแล้ว คนเหล่านี้คือ 80% ของตลาดนั่นเอง มีแนวโน้มเจ๊งสูง!!