ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อดีตยักษ์ล้ม เจ้าพ่ออสังหาแห่งตลาดหุ้นไทย พิษต้มยำกุ้งน้ำข้น สู่พ่อค้าขายแซนวิช สูงสุดสู่สามัญ

ในโอกาสครบรอบ 15 ปี วิกฤติ 2540 ซึ่งถูกบันทึกเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก ที่มีผลกระทบรุนแรงและสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นจุดกำเนิดของวิกฤติ แต่ 15 ปีผ่านมา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤติครั้งนั้น ทั้งผู้ก่อวิกฤติ ผู้แก้วิกฤติ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ มีการปรับตัว และได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤติครั้งนี้บ้าง และประเทศไทยซึ่งฝ่ามรสุมวิกฤติครั้งนั้นมาได้จนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่อย่างไร เพื่อตอบโจทย์คำถามดังกล่าว สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้รวบรวมบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องมานำเสนอในซีรีส์ “15 ปี วิกฤติ 2540 ประเทศไทยอยู่ตรงไหน”
--------------------------–-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความรุนแรงของวิกฤติ 2540 ทำให้เศรษฐีหลายคนในเมืองไทยที่ “ไม่ได้ล้มบนฟูก” บาดเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า จนบางคนถูกเรียกว่า “คนเคยรวย” หรือ “เทวดาตกสวรรค์” แต่บางคนก็เรียกตัวเองว่า “เศรษฐีเยสเตอร์เดย์”

“ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ” คือหนึ่งในนั้น ก่อนวิกฤติ 2540 เขาคือ ตำนาน “อัศวินม้าขาว” ที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่มีใครไม่รู้จัก และเขายังเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ขายคอนโดหรูให้เหล่าเศรษฐี แต่พิษวิกฤติ 2540 ทำให้เขาล้มละลาย สถานะเปลี่ยนจากเศรษฐีพันล้าน และนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น ที่มีสำนักงานใหญ่โต ทำงานนั่งห้องแอร์เย็นสบาย มาเป็นพ่อค้าขายแซนด์วิชข้างถนนริมฟุตบาท ที่ใครๆ ก็รู้จักในนาม “ศิริวัฒน์แซนด์วิช”

15 ปีผ่านมา ชีวิตต้องสู้ของเขา ทำให้ตนเองกลับมารุกขึ้นยืนได้อีกครั้งในฐานะประธานบริษัท ทีจีไอเอฟ จำกัด และล่าสุดเตรียมจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ( MAI ) ในปีหน้า ถือเป็นความสำเร็จในชีวิตการต่อสู้ของคนไม่ยอมแพ้ก็ว่าได้ แม้จะไม่กลับไปใหญ่เหมือนเดิม แต่น่าจะเป็นบทเรียนให้กับคนล้มเหลวหรือคนสิ้นหวัง ให้มีกำลังในการต่อสู้ ไม่ยอมแพ้กับปัญหานานาประการ

ซีรีส์ 15 ปี วิกฤติ 2540 สำนักข่าวไทยพับลิก้าจึงสัมภาษณ์ “ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองก่อนและหลังเผชิญวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างละเอียดในลักษณะถาม-ตอบ ดังนี้

ตอนที่ 1: ย้อนอดีตคนเคยรวย



ไทยพับลิก้า :ปีนี้ครบรอบ 15 ปีของวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 วันนี้มาชวนคุณศิริวัฒน์คุยเรื่องของวิกฤติย้อนหลังไป 15 ปี ในฐานะที่คุณศิริวัฒน์เป็นนักลงทุนอยู่ทั้งในตลาดหุ้นและเป็นนักลงทุนตัวจริงในอสังหาริมทรัพย์ในขณะนั้น อยากให้เล่าว่าเหตุการณ์ช่วงนั้นเป็นอย่างไรบ้างที่เจอลอยตัวค่าเงินบาท

ศิริวัฒน์ : ก่อนอื่นต้องไปดูว่ารากเหง้าของปัญหาคืออะไร

ไทยพับลิก้า : ค่ะ

ศิริวัฒน์ : ก็คงจำได้ว่าช่วงนั้นมีการกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียน เพราะดอกเบี้ยมันถูก ไปกู้ต่างประเทศมาดอกเบี้ยแค่ 3% 5% 7% เพื่อเข้ามาใช้ระดมทุน แต่คราวนี้ช่วงนั้นบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่กู้เข้ามาโดยมีเงื่อนไขคือ ผู้ให้กู้ คือ ต่างประเทศ สามารถแปลงหุ้นกู้เป็นทุนได้ ดังนั้น ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศตอนนั้นอยู่ประมาณ 15-17% บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสังหาริมทรัพย์ก็เลยไปกู้เมืองนอก เมืองนอกก็อยากให้ไทยกู้ เพราะตอนนั้นประเทศไทยถูกขนานนามว่าเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย เขาก็เลยมองตลาดที่เกิดใหม่อย่างไทย เขาก็เลยให้กู้ กู้ไปกู้มา กู้จนเพลิน (หัวเราะ)

เพราะช่วงนั้นมี BIBF ( Bangkok International Banking Facilities ) ทางรัฐบาลในขณะนั้นก็ส่งเสริมให้บริษัทเอกชนสามารถกู้โดยตรงจากตลาดเมืองนอกที่เขาเรียก offshore fund โดยไม่ต้องผ่านแบงก์ คือกู้โดยตรง ทีนี้ก็กู้กันใหญ่ กู้ไปกู้มาก็ทำให้ประเทศชาติโดยรวมเป็นหนี้ทั้งหมดอยู่ 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งสั้นทั้งยาวเลยครับ มันปนกันไปหมดเลยครับ ในขณะที่เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมีอยู่แค่ 3.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทีนี้พอเรากู้เข้ามาเราก็ไปอยู่ในหมวดที่เรียกว่าไม่ใช่ real sector พูดง่ายๆ ก็คือฟองสบู่เริ่มๆ พอง พอเป็นแบบนี้ เราก็ประสบปัญหา แล้วก็ตอนนั้นเงินบาทถูกกำหนดไว้ที่ 1 เหรียญเท่ากับ 26 บาท

ก่อนจะมีการลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ตอนนั้นการส่งออกเราไม่โต แบงก์ชาติก็พูดเอง ถ้าจำไม่ผิดนะปี 2539 การส่งออกโต 0% คือไม่โต เนื่องจากเงินแข็งเกินไป พอเงินบาทแข็งเกินไปส่งออกก็ไม่ดี นำเข้าดี ผู้นำเข้าก็นำเข้ากันใหญ่เลย ทั้งบริษัทจดทะเบียนและไม่จดทะเบียน มีแม้กระทั่งเศรษฐีหลายๆ ท่านกู้เงินเมืองนอกดอกเบี้ย 7-8% เพื่อมาฝากไฟแนนซ์ ถ้าจำได้ ให้ดอกเบี้ย 16% เพราะฉะนั้นกินส่วนต่างก็สบายแล้ว
ก็คือสบายใจ อย่างน้อยๆ เงินบาทคงไม่ลดค่า

เพราะช่วงนั้นกำลังพูดว่าเงินบาทจะลดค่า แต่ท่านนายกฯ ในขณะนั้น ถ้าจำไม่ผิด ท่านคือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็บอกว่า รับรองไม่ลดค่าหรอก นั่งยัน ยืนยัน นอนยัน เอกชนก็สบายใจ ถึงแม้มีบางท่านจะไปซื้ออินชัวร์รัน หรือประกันความเสี่ยงเอาไว้ และที่สุดพอประเทศชาติเป็นหนี้เยอะ แล้วส่งออกส่งไม่ได้ ไม่เพิ่มขึ้น ต่างประเทศพวกแบงก์ต่างๆ ที่ให้เงินกู้ก็เริ่มมองไม่ดี ก็เรียกเงินคืน ผมจำแม่นเลยครับ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เริ่มด้วยว่า ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ ตอนนั้นดอกเบี้ย 5% ยังชำระไม่ได้เลย เพราะตอนนั้นเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี

ไทยพับลิก้า : อันนี้คือสัญญาณแล้วใช่ไหม

ศิริวัฒน์ : สัญญาณมาแล้ว แต่อย่างที่บอกครับ แบงก์ชาติก็ให้ข้อมูลที่ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง แล้วรัฐบาลทุกชุดก็เหมือนกันหมดครับ ดี เศรษฐกิจดี ไม่ต้องห่วง ส่งออกโต ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวแก้ไขปัญหาได้ ทุกรัฐบาลเป็นอย่างนั้นไปหมด

ไทยพับลิก้า : ค่ะ

ศิริวัฒน์ : เอกชนทำไง ไม่เชื่อรัฐบาลแล้วจะเชื่อใคร ก็เชื่อ เชื่อไปเชื่อมา เจ้าหนี้ขอเงินคืน พอขอเงินคืนทำยังไง ไม่มีเงินคืน ดอกเบี้ยก็ไม่มีปัญญาจ่าย พอดอกเบี้ยไม่มีปัญญาเขายิ่งเร่งใหญ่

ไทยพับลิก้า : ตอนนั้นแสดงว่าเจ้าหนี้เริ่มเห็นแล้วว่าลูกค้าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว

ศิริวัฒน์ : ใช่ เพราะฉะนั้น หุ้นกู้หลายๆ บริษัทที่เราไปขอเขาไว้ ที่เราเรียกว่า junk bond (ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับเพื่อการลงทุน) เขาก็ downgrade (ปรับลดอันคับความน่าเชื่อถือ) กันใหญ่ คราวนี้มันลามทุ่งแล้วไง domino theory เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวบริษัทนี้โดนเดี๋ยวบริษัทนั้นโดน ในขณะที่แบงก์เองเริ่มชักแย่แล้ว ช่วงนั้นเรากำลังพูดถึงว่าจะมีไฟแนนซ์นั้นเจ๊ง แบงก์นั้นเจ๊ง แม้กระทั่งทางการจะต้องมาประกันเงินฝากผู้ที่ฝากเงินธนาคารกรุงไทย

จำได้ไหมครับ พอมีปัญหาปุ๊บ คุณฝากเท่าไหร่จ่าย 10 ปี ปีหนึ่งจ่าย 10% พอตอนนั้นเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ทุกคนมัน panic (ตื่นตระหนก) หมด ตลาดหุ้นก็ลงกันเละเทะเลย จำได้ว่าต้นปี 2540 ดัชนีก็น่าจะอยู่ 1300-1400 นะครับ แบงก์ชาติเองก็บอกไม่ต้องห่วง เราสามารถรักษาเสถียรภาพเงินบาทได้

ช่วงนั้นเอง นายจอร์จ โซรอส ก็เพิ่งกำไรค่าเงินปอนด์จากรัฐบาลอังกฤษ ก็มองว่าในที่สุดเงินปอนด์ต้องลดค่า จอร์จ โซรอส ก็เลยกำไรเมื่อปอนด์เทียบกับดอลลาร์ ก็มาเห็นประเทศกำลังเกิดใหม่อย่างประเทศไทย ที่ครั้งแรกเราบอกว่ามาโจมตีค่าเงินบาท ก็คือมองค่าเงินบาทต้องลดแน่ อยู่ที่ 26 บาทต่อ 1 เหรียญ ได้ยังไง ส่งออกก็ไม่โต เพราะฉะนั้น ค่าเงินคุณต้องอ่อนแน่ จอร์จ โซรอส ก็เอาใหญ่เลยนะครับ ก็คือซื้อดอลลาร์ขายบาท เพราะมองว่าค่าเงินบาทต้องอ่อน แบงก์ชาติทำอย่างไร แบงก์ชาติก็พยุงไว้ ผมจำไม่ได้แล้วผู้ว่าชื่ออะไร ก็ไปพยุงไว้

ไทยพับลิก้า : คุณเริงชัย

ศิริวัฒน์ : คุณเริงชัย โอเค ท่านพยุงไว้ปุ๊บ ออกทีวี ถ้าจำไม่ผิดคือเดือนพฤษภาคม ฉลองแชมเปญกันใหญ่ บอกจอร์จ โซรอส มันเจ๊งแล้ว เงินบาทไม่ลดค่า ที่ไหนได้ เดี๋ยวจอร์จ โซรอส มาอีกรอบหนึ่ง โอ้โห จนกระทั่งผมจำไม่ผิดเดือนสิงหาคมปี 40 อดีตผู้ว่าการ ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ มานั่งหน้าจอทีวีนะ นั่งหน้าเซ็งๆ จ๋อยอะ มายอมรับต่อคนไทยทั้งประเทศ 60 ล้านคน ในขณะนั้นประมาณ 60-61 ล้านคน บอกว่าแบงก์ชาติ จากที่มีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศถึง 3.9 หมื่นล้านบาท ขายดอลลาร์ออกไปให้โซรอสกับพวกนักเก็งกำไร เหลือแค่ 800 ล้าน

ในเก๊ะเหลือแค่ 800 ล้าน มีอยู่วันหนึ่งขายตั้ง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นเงินบาทก็ถือว่าไม่มีค่าแล้ว ถูกไหม เพราะเงินบาทจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ทองคำเอย สกุลเงินเยน อะไรต่างๆ ที่เราค้าขายกับเขา แต่ส่วนใหญ่คือ ดอลลาร์สหรัฐฯ พอเป็นอย่างนี้ทำยังไงประเทศเจ๊งสิ เงินบาทไม่ใช่ 50 กว่าบาทแล้วตอนนั้นพุ่งกันไป 80 บาทต่อ 1 เหรียญ ไป 100 บาทต่อ 1 เหรียญ เหตุการณ์มันเลย panic กันใหญ่ พอ panic กันใหญ่เจ้าหนี้ก็รีบเรียกเงินคืน อ้าว ไม่มีเงินคืนอีก เป็นไง ก็ต้องไปหาไอเอ็มเอฟ (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)

ถ้าจำไม่ผิด สมัยนั้นก็รัฐบาลท่านนายกชวน (หลีกภัย) แล้วมีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ต้องเข้าไปหาโครงการไอเอ็มเอฟ ขอไอเอ็มเอฟช่วย ไอเอ็มเอฟก็บอกอย่างนี้ต้องมี LOI ( Letter Of Intent) หรือหนังแสดงเจตจำนง รู้สึกมีถึง 8 ฉบับ ว่าคุณจะต้องดำเนินการอย่างนี้ ลดเงินบาท เพิ่ม VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) แล้วก็ปิดสถาบันการเงิน อันไหนไม่ดีก็ปล่อยมันเจ๊งไป รักษาอันดีๆ เอาไว้

ช่วงนั้นแบงก์ก็มีปัญหา เพราะลูกหนี้มีปัญหา มันเป็นโดมิโน พอโดมิโนลูกหนี้แบงก์ไม่ดีค้าขายกับลูกหนี้แบงก์ดี ก็ไม่มีเงินไปจ่ายลูกหนี้แบงก์ดี แบงก์ดีก็เจอลูกหนี้ไม่ดี

ไทยพับลิก้า : มันพัลวันกัน

ศิริวัฒน์ : แบงก์เป็นอย่างไร ตอนนั้นตลาดหุ้นลงเละเทะ พวกแบงก์ทำไงครับ ก็ต้องเพิ่มทุน เพราะอัตราส่วนของเงินกองทุนต่ำ

ไทยพับลิก้า : ตอนนั้นคุณศิริวัฒน์ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเป็นยังไงบ้าง

ศิริวัฒน์ : โห ตอนนั้นก็โดนเละเทะเหมือนกัน คือ จริงๆ แล้วเวลาวิกฤติมามันไม่มีใครหนีทันหรอกครับ คนที่หนีทันขี้โม้ทั้งนั้นแหละ จะหนีทันได้ยังไง หุ้นเปิดมามันลง fall 10% เราเรียกกันฟอลล์โชว์ ผมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และผมก็ไปเล่นมาร์จิน (Margin) เยอะ ส่วนใหญ่ตอนมาร์จินเยอะ โบรกเกอร์ปล่อยมาร์จินบริษัทหนึ่งอย่างน้อย 3-4 พันล้านบาท มี 30 โบรกเกอร์ ก็เป็นแสนล้าน แล้วจะขายยังไง เปิดมาก็ลง 10%



ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วโดนบังคับขาย ตอนนั้น ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ท่านก็ออกกฎ ต้องมีบังคับขายนะ อะไรอย่างนี้ ก็บังคับขาย ขายหุ้นจนหมดหนี้ยังเหลือ แล้วหนี้ตอนนั้นดอกเบี้ยสูง

ไทยพับลิก้า : ตอนนั้นบริหารพอร์ตเท่าไหร่

ศิริวัฒน์ : พอร์ตหนึ่งก็น่าจะร่วมพันล้านนะ หลายร้อยล้าน

ไทยพับลิก้า : ส่วนตัวใช่ไหม

ศิริวัฒน์ : ส่วนตัวและเล่นให้ลูกค้าด้วย

ไทยพับลิก้า : คือตอนนั้นบริหารให้ลูกค้าด้วย

ศิริวัฒน์ : บริหารให้ลูกค้าตัวและส่วนตัว เพราะมีเครดิตโบรกเกอร์ให้วงเงินเล่นมาร์จิน มาร์จินตอนนั้นก็คือ ถ้าจำไม่ผิดนะ เราก็วาง 30% กู้ 70% ทีนี้เวลาหุ้นมันตก ถูก Forced Sell (บังคับขาย) ยิ่งตกๆ แล้วเราไม่มีเงินไปลดหนี้ โบรกเกอร์ก็ขายอย่างเดียว ขายอย่างเดียว ขายจนหุ้นหมดหนี้ยังอยู่ ยังมีดอกเบี้ย 17% 19%

ผมโดนหนัก พอดีโดนหุ้น หุ้นยังไม่เท่าไหร่ เคยกำไรจากตลาดหุ้นหลายร้อยล้าน คือเคยกำไรจากเขามาก็คืนไป แต่ที่ไปโดนเยอะเพราะไปสร้างโครงการคอนโดมิเนียมที่เขาใหญ่ ไม่เคยทำเลย ขาย 5 ล้าน 15 ล้านกู้มา 17% 19% ก็โดน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่