น้ำมันเครื่องแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่น

คำตอบทั้งหมดเป็นความรู้สึกส่วนตัว และมั่วๆไป ตามประสาคนธรรมดา ไม่มีเครื่องมือวัดนะครับ

Q : เอาจริงๆแล้วอยากทราบว่ามันต่างกันมากไหมในด้านประสิทธิภาพแบบว่าเห็นมีหลายยี่ห้อหลายรุ่นมากเลือกไม่ถูก
A : สำหรับรถเกียร์จะเห็นผลหน่อย ตรงที่การเข้าเกียร์ต่างๆจะนิ่มนวลขึ้น (เข้าง่าย-ถอนง่ายขึ้น) ซึ่งประสิทธิภาพในส่วนนี้ละทำให้หลายนคนใช้ของดีหน่อย (น้ำมันเกียร์รถตลาด ไปขอลองขี่ของญาติ ถอนเกียร์ขึ้นไม่ได้ งงมาก)

แต่ถ้าเป็นรถออโต้ไม่ค่อยเห็นผลหรอกครับ

Q : ถ้าต่างกันยี่ห้อไหนรุ่นไหนที่คุณภาพดีและนิยมใช้กันครับ
A : ไม่รู้ว่ายี่ห้อไหนดีสุด แต่ผมเลือกที่ไม่เกิน 200 บาทครับ เพราะไม่รู้จะเอาแพงเกิน 200 บาทไปทำไม?

Q : แล้วปกติควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆกี่เดือน หรือกี่กม. เพราะฟังจากหลายที่ก็ต่างกัน บางคนบอกเปลี่ยนเดือนละครั้ง บางคนบอก2เดือนครั้ง บลาๆ
A : ถ้าเอาแบบกิโลเมตร ให้ดังนี้ครับ
สังเคราะห์ 4,000 กิโลเมตร หรือจนเริ่มหนืด หรือน้ำมันเครื่องเป็นสีน้ำตาลเข้ม
กิ่งสังเคราะห์ 3,000 กิโลเมตร หรือจนเริ่มหนืด หรือน้ำมันเครื่องเป็นสีน้ำตาลเข้ม
น้ำมันธรรมดาหรือน้ำมันอื่นๆ(จากรถยนต์) 2,000 กิโลเมตร หรือจนเริ่มหนืด หรือน้ำมันเครื่องเป็นสีน้ำตาลเข้ม
ตามนี้ครับ

แต่ส่วนมากผมใช้วิธีการดึงก้านวัดออกมา และเอามือลูบๆจับๆครับ เหนียวมากเปลี่ยน ถ้ายังลื่นอยู่ใช้ต่อไป

น้ำมันเครื่องเป็นสารที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และน้ำมันเครื่องไม่มีวันหมดอายุ มีแต่เสื่อมประสิทธิภาพลงตามการใช้งาน
พวกเราที่ขับรถบ้านๆ (110-125 ซีซี) ไม่ได้จำเป็นต้องอะไรขนาดนั้น ผมว่าหลายท่านที่เปลี่ยนทุกๆเดือนนี้ ออกแนวเปลืองนะครับ
และเปลี่ยนก่อนที่ประสิทธิภาพมันจะหมด เป็นเหตุเปลืองเงินโดยใช้เหตุครับ

ยังงี้น้ำมันเครื่องที่คาตามศูนย์ มันไม่พังหมดหรอครับ?

เพราะงั้นผมขอยืนยันว่าให้นำก้านวัดออกมาลูบๆจับๆ ถ้าหนืดและมีสีน้ำตาลเข้มมาก ให้เปลี่ยนได้ แต่ถ้าลูบไปแล้ว ยังลื่นอยู่ ยังใช้ต่อได้ครับ


ปล.ผมใช้น้ำมันเครื่องรถดีเซลครับ ค้างมา 3 เดือนแล้ว ปกติดีครับ วิ่งมาได้ราว 1-2 พันโลแล้วครับ ยังดีอยู่
ปล2.อยากเชื่อคนอื่นมาก ทดลองด้วยตัวเองเลยครับ!! (แต่เปลี่ยนทุกเดือน เปลืองเงินอะ เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า)


ทิ้งท้าย : รถผม 22,000 กิโลเมตร ไม่มีปัญหาอะไรครับ แถมกระเดะเติม E20 อีกต่างหาก (ทั้งที่มันไม่รองรับ)