ใครเคยเห็นนายชวนนท์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวด้วยความจริง ข้อเท็จจริงบ้างครับ
ผมเ็ห็นแต่โกหก ป้ายสี ใส่ร้ายอย่างหน้าซื่อตาใสทั้งนั้น
ทุกครั้ง ทุกเรื่อง
นายชวนนท์คงคิดว่านี่คือภาระหน้าที่ของโฆษกพรรค ที่ทำยังไงก็ได้ให้พรรคได้ประโยชน์
และคู่แข่งทางการเมืองเสียประโยชน์
โดยคำนึงถึงเพียงมิติด้านการเมืองด้านเดียว ไม่มองถึงผลกระทบที่มีต่อสังคม ต่อส่วนรวม
โกหกใส่ร้ายป้ายสีได้ นั่นคือเกียรติและความภาคภูมิใจในภารกิจ ในภาระหน้าที่โฆษกพรรค
อย่างว่าแหละครับ
มีคำกล่าวมานานแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น วัน ๆ ก็แค่เปิดหน้าสื่อ หาประเด็นอะไรที่จะใช้ในการต่อปากต่อคำไปวัน ๆ
หาประเด็นมาบิดเบือน หาประเด็นมาเปิดเพื่อให้สาธารณะสนใจ แล้วก็ใช้ความด้าน โวหาร ชิงพูดทำลายคนอื่น
มีเท่านี้เองจริง ๆ
จึงไม่เคยเห็นความคิด เหตุผล นโยบายดี ๆ ออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์
ขนาดจ้างฝรั่งหกเจ็ดสิบล้าน ประชาชนยังจำได้แค่ไข่ชั่งกิโล
ผมว่าอย่างน้อย นายชวนนท์น่าจะนึกถึงเกียรติศักดิ์แห่งตนบ้างสักนิด หรือหากไม่
ก็น่าจะคิดถึงวงศ์ตระกูลบ้าง
การโกหกอย่างไร้ยางอายในทุกเรื่อง ฉวยโอกาสใส่ร้ายป้ายสีไปทุกเรื่อง เป็นเรื่องทำลายตัวเองและวงศ์ตระกูล
หรือใครเห็นว่าดี ?์์??
................................................

โพสต์ทูเดย์ 11 พ.ค. 2556
เรื่องสัมปานดาวเทียม
ทักษิณประมูลได้ตั้งแต่รัฐบาลชาติชาย (ปี 2532 หรือ 2533 ถ้าจำไม่ผิด) แต่ยังไม่ได้ทำสัญญา
เกิดรัฐประหาร 23 ก.พ. 2534 รสช.เข้ามาเป็นพ่อทุกสถาบัน
คู่แข่งทักษิณก็ร้องเรียนต่อ พล.อ.สุจินดา ในเรื่องสัมปทานนี้
ทักษิณในตอนนั้น จึงเข้าพบ รสช. เพื่ออธิบายชี้แจงสองเรื่อง (ประสานักธุรกิจ)
หนึ่ง คือเรื่องความสัมพันธ์กับเฉลิม ที่ตอนนั้นเฉลิมทะเลาะกับทหาร ถึงกับต้องหนี รสช.ไปเดนมาร์ก
สอง คือเรื่องความโปร่งใสในการประมูลสัมปทานดาวเทียม
(จึงมีภาพทักษิณถ่ายรูปคู่บิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช.
และถูกใส่ร้ายว่าคือการเข้าไปขอสัมปทานและได้สัมปทานตจากคณะรัฐประหาร)
รสช. กุมอำนาจอยู่ไม่กี่วัน ก็ตั้งรัฐบาล มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
แล้ว รสช. ก็โยนเรื่องสัมปทานดาวเทียมให้รัฐบาลอานันท์พิจารณาตามกระบวนการ
รัฐบาลอานันท์ โดยนายนุกูล ประจวบเหมาะ รมว.คมนาคม ตรวจสอบพิจารณาเรื่องทักษิณประมูลสัมปทาน
เห็นว่าไม่มีอะไรผิด จึงมีการพูดคุยเจรจารายละเอียดและผลประโยชน์กันระหว่างรัฐบาลกับชิน แซทเทิลไลท์
สุดท้าย ก็ตกลงโดยชิน แซทเทิลไลท์ยอมให้ผลประโยชน์กับรัฐเพิ่มขึ้นอีก และมีการลงนามทำสัญญาสัมปทานกัน
เรื่องสัมปทานนี้ จะเห็นว่า นายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งรู้เรื่องดี ไม่เคยพูด ไม่เคยเอ่ยปากสักคำ
เพราะนายอานันท์ รู้ดี นายนุกูล ประจวบเหมาะ รู้ดี ว่าเรื่องนี้ รสช. ไม่เกี่ยว
เรื่องทรัพย์สิน
ตอนทักษิณเข้าร่วมรัฐบาลชวน 1 ในโควต้าพรรคพลังธรรม (ปี 2537)
ตอนนั้นเขาก็แสดงทรัพย์สินให้สาธารณะได้รู้ (ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายให้นักการเมืองแสดงบัญชีทรัพย์สิน)
ก็หลายหมื่นล้านจนสังคมตะลึง (และต่อมริษยาของผู้ดีกำเริบ)
ต่อมาเมื่อมีกฎหมายให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
เขาก็ต้องแสดงตามกฎหมาย
จากที่นายชวนนท์บิดเบือนและใส่ร้าย เรื่องทรัพย์สินก่อนเข้าสู่การเมืองของทักษิณ 60,000 ล้านบาท
ว่าปี 2540 ทักษิณมีทรัพย์สินแค่ 23,878 ล้านบาท ปี 2544 มีแค่ 15,204 ล้านบาท
จึงไม่จริงว่าทักษิณรวยหลายหมื่นล้านมาก่อนเข้าสู่การเืมือง
แต่รวยหลายหมื่นล้านเพราะได้สัมปทานจาก รสช.
เรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อว่านายชวนนท์จะกล้าโกหกหน้าด้าน ๆ (ก็ทำประจำ ทุกเรื่องทุกครั้ง)
ทรัพย์สินหกหมื่นล้านนั้น คือทรัพย์สินของ "ครอบครัวทักษิณ"
แต่การแสดงบัญชีทรัพย์สินในขณะดำรงตำแหน่งทางการเืมืองนั้น
เป็นการแสดงบัญชีทรัพย์สินเฉพาะตัวของทักษิณเอง
เรื่องมันก็เท่านี้เอง
นายชวนนท์ก็แค่บิดเบือนและโกหก ด้วยการเอ่ยถึงแค่ทรัพย์สินของทักษิณคนเดียว
ไม่เอ่ยถึงทรัพย์สินของพจมาน และลูก ๆ อีกสามคน (หากบุตรบรรลุนิติภาวะ ไม่ต้องแจ้งทรัพย์สิน)
เรื่องที่นายชวนนท์พูดว่า
“พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์จากการปฏิวัติรัฐประหารมากที่สุด
หากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะไม่มีเศรษฐีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดขึ้นในประเทศไทย”
นี่คือการพูดแบบไร้ยางอายที่สุดในกะลา
รัฐประหาร รสช. ทักษิณไม่ได้ประโยชน์อะไร (แต่ผมคิดว่าคงเสียค่าวิ่งเต้นเอาตัวรอดซะมากกว่า)
สัมปทานไทยคม ก็เป็นเรื่องการพิจารณา ตัดสินใจ ทำสัญญาของรัฐบาลอานันท์ทั้งสิ้น รสช. ไม่เกี่ยว
พวกที่ได้ประโยชน์จากรัฐประหารมากที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก
หลังรัฐประหาร รสช. ปี 2535 ประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นรัฐบาล ด้วยการสร้างวาทกรรมพรรคเทพ พรรคมาร
(ปชป. คือพรรคเทพ พรรคการเมืองอื่นคือพรรคมาร)
และที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือรัฐประหาร 2549
ประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล 2552-2554 ก็จากผลพวงของรัฐประหาร 2549
นายชวนนท์ ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ในช่วงนี้
ฉะนั้น พรรคการเมืองที่ได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารคือพรรคประชาธิปัตย์
ไม่ใช่ใครไหนอื่นใดเลย
หากไม่มีรัฐประหาร 2534 นายชวนอาจไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
หากไม่มีรัฐประหาร 2549 ไม่มีทางที่นายอภิสิทธิ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
หากไม่มีรัฐประหาร 2549 นายชวนนท์ ไม่มีวันได้เ็ป็นเลขาฯ รมว.ต่างประเทศ (นายกษิต)
ไม่งั้นจะออกมาปกป้องการรัฐประหาร ปกป้องรัฐธรรมนูญโจรขนาดนี้เหรอ
เพราะยังหวังว่า หากผลพวงรัฐประหาร 2549 และรัฐธรรมนูญยังอยู่ ปชป. ก็ยังมีหวังได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง
แปลกใจครับ
ผมไม่เคยได้ยินว่าพรรค ปชป. จะทำอะไรให้บ้านเมือง
วัน ๆ นี่ ได้ยินแต่ออกมาพูดทำลายคนอื่น ว่าคนอื่นไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้
คือไม่คิดไม่ทำห่านอะไรล่ะ พูดให้คนอื่นเลวได้ตัวเองก็ดีแล้วเท่านั้นเอง
สวะครับ
ก็ไล่เรียงเรื่องราวและข้อเท็จจริงแบบคร่าว ๆ ให้รับรู้ครับ
เผื่อสลิ่มจะอ่านเกินสามบรรทัด
ภารกิจอันทรงเกียรติ ภาระหน้าที่อันน่าภาคภูมิใจของชายชื่อชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต
ผมเ็ห็นแต่โกหก ป้ายสี ใส่ร้ายอย่างหน้าซื่อตาใสทั้งนั้น
ทุกครั้ง ทุกเรื่อง
นายชวนนท์คงคิดว่านี่คือภาระหน้าที่ของโฆษกพรรค ที่ทำยังไงก็ได้ให้พรรคได้ประโยชน์
และคู่แข่งทางการเมืองเสียประโยชน์
โดยคำนึงถึงเพียงมิติด้านการเมืองด้านเดียว ไม่มองถึงผลกระทบที่มีต่อสังคม ต่อส่วนรวม
โกหกใส่ร้ายป้ายสีได้ นั่นคือเกียรติและความภาคภูมิใจในภารกิจ ในภาระหน้าที่โฆษกพรรค
อย่างว่าแหละครับ
มีคำกล่าวมานานแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น วัน ๆ ก็แค่เปิดหน้าสื่อ หาประเด็นอะไรที่จะใช้ในการต่อปากต่อคำไปวัน ๆ
หาประเด็นมาบิดเบือน หาประเด็นมาเปิดเพื่อให้สาธารณะสนใจ แล้วก็ใช้ความด้าน โวหาร ชิงพูดทำลายคนอื่น
มีเท่านี้เองจริง ๆ
จึงไม่เคยเห็นความคิด เหตุผล นโยบายดี ๆ ออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์
ขนาดจ้างฝรั่งหกเจ็ดสิบล้าน ประชาชนยังจำได้แค่ไข่ชั่งกิโล
ผมว่าอย่างน้อย นายชวนนท์น่าจะนึกถึงเกียรติศักดิ์แห่งตนบ้างสักนิด หรือหากไม่
ก็น่าจะคิดถึงวงศ์ตระกูลบ้าง
การโกหกอย่างไร้ยางอายในทุกเรื่อง ฉวยโอกาสใส่ร้ายป้ายสีไปทุกเรื่อง เป็นเรื่องทำลายตัวเองและวงศ์ตระกูล
หรือใครเห็นว่าดี ?์์??
................................................
โพสต์ทูเดย์ 11 พ.ค. 2556
เรื่องสัมปานดาวเทียม
ทักษิณประมูลได้ตั้งแต่รัฐบาลชาติชาย (ปี 2532 หรือ 2533 ถ้าจำไม่ผิด) แต่ยังไม่ได้ทำสัญญา
เกิดรัฐประหาร 23 ก.พ. 2534 รสช.เข้ามาเป็นพ่อทุกสถาบัน
คู่แข่งทักษิณก็ร้องเรียนต่อ พล.อ.สุจินดา ในเรื่องสัมปทานนี้
ทักษิณในตอนนั้น จึงเข้าพบ รสช. เพื่ออธิบายชี้แจงสองเรื่อง (ประสานักธุรกิจ)
หนึ่ง คือเรื่องความสัมพันธ์กับเฉลิม ที่ตอนนั้นเฉลิมทะเลาะกับทหาร ถึงกับต้องหนี รสช.ไปเดนมาร์ก
สอง คือเรื่องความโปร่งใสในการประมูลสัมปทานดาวเทียม
(จึงมีภาพทักษิณถ่ายรูปคู่บิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช.
และถูกใส่ร้ายว่าคือการเข้าไปขอสัมปทานและได้สัมปทานตจากคณะรัฐประหาร)
รสช. กุมอำนาจอยู่ไม่กี่วัน ก็ตั้งรัฐบาล มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
แล้ว รสช. ก็โยนเรื่องสัมปทานดาวเทียมให้รัฐบาลอานันท์พิจารณาตามกระบวนการ
รัฐบาลอานันท์ โดยนายนุกูล ประจวบเหมาะ รมว.คมนาคม ตรวจสอบพิจารณาเรื่องทักษิณประมูลสัมปทาน
เห็นว่าไม่มีอะไรผิด จึงมีการพูดคุยเจรจารายละเอียดและผลประโยชน์กันระหว่างรัฐบาลกับชิน แซทเทิลไลท์
สุดท้าย ก็ตกลงโดยชิน แซทเทิลไลท์ยอมให้ผลประโยชน์กับรัฐเพิ่มขึ้นอีก และมีการลงนามทำสัญญาสัมปทานกัน
เรื่องสัมปทานนี้ จะเห็นว่า นายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งรู้เรื่องดี ไม่เคยพูด ไม่เคยเอ่ยปากสักคำ
เพราะนายอานันท์ รู้ดี นายนุกูล ประจวบเหมาะ รู้ดี ว่าเรื่องนี้ รสช. ไม่เกี่ยว
เรื่องทรัพย์สิน
ตอนทักษิณเข้าร่วมรัฐบาลชวน 1 ในโควต้าพรรคพลังธรรม (ปี 2537)
ตอนนั้นเขาก็แสดงทรัพย์สินให้สาธารณะได้รู้ (ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายให้นักการเมืองแสดงบัญชีทรัพย์สิน)
ก็หลายหมื่นล้านจนสังคมตะลึง (และต่อมริษยาของผู้ดีกำเริบ)
ต่อมาเมื่อมีกฎหมายให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
เขาก็ต้องแสดงตามกฎหมาย
จากที่นายชวนนท์บิดเบือนและใส่ร้าย เรื่องทรัพย์สินก่อนเข้าสู่การเมืองของทักษิณ 60,000 ล้านบาท
ว่าปี 2540 ทักษิณมีทรัพย์สินแค่ 23,878 ล้านบาท ปี 2544 มีแค่ 15,204 ล้านบาท
จึงไม่จริงว่าทักษิณรวยหลายหมื่นล้านมาก่อนเข้าสู่การเืมือง
แต่รวยหลายหมื่นล้านเพราะได้สัมปทานจาก รสช.
เรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อว่านายชวนนท์จะกล้าโกหกหน้าด้าน ๆ (ก็ทำประจำ ทุกเรื่องทุกครั้ง)
ทรัพย์สินหกหมื่นล้านนั้น คือทรัพย์สินของ "ครอบครัวทักษิณ"
แต่การแสดงบัญชีทรัพย์สินในขณะดำรงตำแหน่งทางการเืมืองนั้น
เป็นการแสดงบัญชีทรัพย์สินเฉพาะตัวของทักษิณเอง
เรื่องมันก็เท่านี้เอง
นายชวนนท์ก็แค่บิดเบือนและโกหก ด้วยการเอ่ยถึงแค่ทรัพย์สินของทักษิณคนเดียว
ไม่เอ่ยถึงทรัพย์สินของพจมาน และลูก ๆ อีกสามคน (หากบุตรบรรลุนิติภาวะ ไม่ต้องแจ้งทรัพย์สิน)
เรื่องที่นายชวนนท์พูดว่า
“พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์จากการปฏิวัติรัฐประหารมากที่สุด
หากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะไม่มีเศรษฐีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดขึ้นในประเทศไทย”
นี่คือการพูดแบบไร้ยางอายที่สุดในกะลา
รัฐประหาร รสช. ทักษิณไม่ได้ประโยชน์อะไร (แต่ผมคิดว่าคงเสียค่าวิ่งเต้นเอาตัวรอดซะมากกว่า)
สัมปทานไทยคม ก็เป็นเรื่องการพิจารณา ตัดสินใจ ทำสัญญาของรัฐบาลอานันท์ทั้งสิ้น รสช. ไม่เกี่ยว
พวกที่ได้ประโยชน์จากรัฐประหารมากที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก
หลังรัฐประหาร รสช. ปี 2535 ประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นรัฐบาล ด้วยการสร้างวาทกรรมพรรคเทพ พรรคมาร
(ปชป. คือพรรคเทพ พรรคการเมืองอื่นคือพรรคมาร)
และที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือรัฐประหาร 2549
ประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล 2552-2554 ก็จากผลพวงของรัฐประหาร 2549
นายชวนนท์ ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ในช่วงนี้
ฉะนั้น พรรคการเมืองที่ได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารคือพรรคประชาธิปัตย์
ไม่ใช่ใครไหนอื่นใดเลย
หากไม่มีรัฐประหาร 2534 นายชวนอาจไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
หากไม่มีรัฐประหาร 2549 ไม่มีทางที่นายอภิสิทธิ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
หากไม่มีรัฐประหาร 2549 นายชวนนท์ ไม่มีวันได้เ็ป็นเลขาฯ รมว.ต่างประเทศ (นายกษิต)
ไม่งั้นจะออกมาปกป้องการรัฐประหาร ปกป้องรัฐธรรมนูญโจรขนาดนี้เหรอ
เพราะยังหวังว่า หากผลพวงรัฐประหาร 2549 และรัฐธรรมนูญยังอยู่ ปชป. ก็ยังมีหวังได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง
แปลกใจครับ
ผมไม่เคยได้ยินว่าพรรค ปชป. จะทำอะไรให้บ้านเมือง
วัน ๆ นี่ ได้ยินแต่ออกมาพูดทำลายคนอื่น ว่าคนอื่นไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้
คือไม่คิดไม่ทำห่านอะไรล่ะ พูดให้คนอื่นเลวได้ตัวเองก็ดีแล้วเท่านั้นเอง
สวะครับ
ก็ไล่เรียงเรื่องราวและข้อเท็จจริงแบบคร่าว ๆ ให้รับรู้ครับ
เผื่อสลิ่มจะอ่านเกินสามบรรทัด