
เสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดจันทาราม
จาก คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
http://www.luangporruesi.com/
พระราชปรารภ บทที่ ๑
ย่อหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย หนังสือเล่มนี้อาตมาจะบรรยายเกี่ยวกับเรื่องพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาทรงบรรจุพระบมสารีริกธาตุในพระอุโบสถหลังใหม่ ของวัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี หรือที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจำกันได้ว่า วัดท่าซุงนั่นเอง
คำว่าวัดท่าซุงนี้เป็นชื่อเรียกกันมาแต่เดิม การที่จะมาเปลี่ยนเป็นวัดจันทารามเมื่อไร่นี่ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่าคำว่าวัดท่าซุงอยู่ในความทรงจำของญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้น ในกาลต่อไป อาตมาจะใช้คำว่า วัดท่าซุง เพราะว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทรู้จักกันดี
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วทรงเททองหล่อรูปหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ของอาตมา เป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ที่อาตมามีความรู้มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ก็เพราะอาศัยหลวงพ่อปานเป็นต้นเหตุ เป็นปัจจัย สั่งสอนอาตมาให้มีความรู้ในพระพุทธศาสนาตามสมควรแก่ปัญญาที่จะทรงไว้ได้ แต่ความจริงความรู้ที่หลวงพ่อปานให้อาตมานั้น มากมายยิ่งกว่าที่อาตมาทรงอยู่นี้มาก แต่ทว่าสำหรับอาตมาเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส จึงไม่สามารถจะจดจำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่หลวงพ่อปานสอนได้หมด มีเหลือไว้บ้างประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไว้นำมาแจกจ่ายแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จมาในงานนี้คือวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลาที่ถึงประมาณ ๑๕ นาฬิกา ๑๕ นาที ตามหมายกำหนดการเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาโดยเครื่องบิน มาลงที่กองบิน ๔ ตาคลี แล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายจังหวัด บรรดาข้าราชการและบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการก่อสร้าง มีท่าน พล ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ เป็นประธาน จะไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สนามบินตาคลี เวลาที่จะกำหนดถึงในหมายกำหนดการแรกกำหนดว่าเวลา ๑๖ นาฬิกา แล้วต่อมาหมายกำหนดการได้เปลี่ยนไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จโดยสถลมารค คือทางรถยนต์ มาถึงวัดท่าซุงประมาณเวลา ๑๕ นาฬิกา ๓๐ นาที ครั้นวันเสด็จจริง ๆ ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงวัดท่าซุงก่อนเวลา ๑๕ นาที แต่ความมหัศจรรย์พร้อมไปด้วยอำนาจบุญบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าจะกล่าวกันไปก็ต้องถือว่า เป็นเรื่องปกติที่พระองค์เสด็จ นั่นก็คือ ฝนตกก่อนที่พระองค์เสด็จถึงประมาณ ๑๕ นาที ปรากฏว่าบรรดาประชาชนทั้งหลายหลั่งไหลกันมามาก เต็มไปทั้งบริเวณวัด แน่นขนัดติดต่อกันไปถึงจังหวัดอุทัยธานี ระยะทางตอนนี้ก็ประมาณ ๖ กิโลเมตรเศษ ๆ สองข้างทางเนืองแน่นไปด้วยประชาชน แล้วฝนก็ตกลงมาประมาณสัก ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ในระยะแรก ปรากฏว่าฝนตกลงมาเม็ดใหญ่มาก แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท และพสกนิกรของพระองค์ที่มีความจงรักภักดี พากันยืนรอเฝ้าพระองค์ในที่ต่าง ๆ แน่นขนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตวัด ในบริเวณที่สร้างใหม่ เกือบจะหาที่ว่างไม่ได้ บุคคลทั้งหลายที่นั่งไปแล้วตั้งแต่เวลาเที่ยง ใกล้ลาดพระบาทคือ ทางเสด็จพระราชดำเนิน นั่งอยู่ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันแน่นไปหมดทั่วบริเวณ ไม่มีใครยอมลุกขึ้น อาตมาได้ไปเตือนว่า นี่ เวลาเพิ่งเที่ยงวัด ขอท่านทั้งหลายพักผ่อนกันเสียก่อน ประเดี๋ยวแดดจะร้อน หรือว่าฝนจะตก แต่บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้น ท่านบอกว่า ท่านคอยเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยมีความยินดีมากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านเป็นของหายากอย่างยิ่ง ที่จะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แดดจะร้อนฝนจะตกท่านไม่หนักใจ
ย่อหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ นี่ แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าความดี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่บรรดาพสกนิกรของ พระองค์ จะเสด็จไปทางไหนก็มีคนเนืองแน่นไปหมด เรื่องที่ถือกันเป็นธรรมดานั้นก็คือฝน ฝนต้องตก แต่เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนตกลงมาในคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้ว คนที่ยืนอยู่กลางแจ้งจะเปียกโชกไปหมด พอฝนตกใหญ่ประมาณสัก ๑๐ นาที หลังจากนั้นฝนก็ตกเป็นละอองคล้ายฝนโบกขรพรรษ นี่อาตมาใช้คำว่าคล้ายฝนโบกขรพรรษที่องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคเคยแสดงพระ ธรรมเทศนาไว้ ในเรื่องพระเวสสันดรชาดกว่า ฝนโบกขรพรรษนี้ ถ้าคนต้องการให้เปียกมาก็จะเปียกมาก ต้องการให้เปียกน้อยก็จะเปียกน้อย ไม่ต้องการให้เปียกเลย ก็ไม่เปียก นี่ฝนวันนั้น ในตอนต้นตกหนักเม็ดใหญ่แล้วต่อมาก็ตกเป็นฝอย อาตมาคิดว่าบรรดาพสกนิกรทั้งหลายที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวจะมีความลำบากมาก เพราะว่าเครื่องแต่งตัวจะเปียกกันไปหมด แต่ว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฝนตกเม็ดใหญ่หนามากประมาณ ๑๐ นาที พอฝนหายแล้ว อาตมาก็ออกไปเดินตรวจ ไปเยี่ยมประชาชน ว่าเปียกกันมากไหม ลำบากมากไหม ท่านทั้งหลายพวกนั้นก็ยกมือไหว้ ชี้ให้ดูที่เสื้อและผ้านุ่ง ก็ปรากฏว่ามีเม็ดฝนตกถูกผ้าของท่านเป็นลาย ๆ ไปนิดเดียวเท่านั้น นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์อันหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรม ราชินีนาถ ตลอดจนพระเจ้าลูกเธอทั้ง ๒ พระองค์ นี่เป็นเหตุอัศจรรย์
แต่ เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องฝนตกหรือไม่ตก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปไหนนี่ มีเหตุอัศจรรย์ปรากฏหลายวาระ เรียกว่าทุกวาระก็ได้เพราะวันนั้นทั้งวันปรากฏว่าไม่มีแสงแดดจะแผดออกมาให้ ร้อนบรรดาท่านพุทธบริษัทเลยมีอากาศครึ้มเย็นสบายตลอดวัน ถ้าหากว่าแดดร้อนจ้าลงมาเมื่อไร บรรดาพสกนิกรทั้งหลายจะมีความลำบากมาก เพราะว่าทุกท่านมีการเบียดเสียดยัดเยียดซึ่งกันและกัน ไม่ใช่นั่งแบบสบาย ๆ หรือไม่ใช่ยืนแบบสบาย ๆ นี่จัดว่าเป็นเหตุอัศจรรย์อันหนึ่งที่อาตมากล่าวว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ เพราะว่าอาตมาไม่เคยเห็นใครที่ไปไหนมีฝนตกหรือฝนไม่ตก เท่าที่ทราบข่าวว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรม ราชินีนาถเสด็จเยี่ยมชาวเขา บางคราวก็ปรากฏว่ามีหมอกจัด เครื่องบินอาจจะลงไม่ได้ แต่ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไป ปรากฏว่าหมอกจางหายไป นี่ก็เป็นเหตุมหัศจรรย์ หากจะไม่กล่าวว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ อาตมาก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เพราะอาตมาเคยไปไหน ถ้าฝนจะตกมันก็ตก ห้ามฝนไม่ได้ ถ้าฝนจะไม่ตก จะทำยังไงฝนก็ไม่ตก นี่อาตมาเอาตัวของอาตมาเข้าไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะเอาบุญบารมีไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะเอาบุญบารมีไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวโดยตรง ไม่มีความประสงค์เช่นนั้น มีความประสงค์แต่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า คนที่มีบุญญาธิการกับคนอย่างอาตมาไม่เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน จะมีความรู้สึกเป็นประการใดนั้นอาตมาไม่ทราบ
แต่การเสด็จมาของพระเจ้าอยู่หัวในคราวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ปรากฏว่ามีคนเขาสงสัยกันมากว่า อาตมานั้นมีดีอะไร ทำไมจึงเอาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาได้ การคิดอย่างนี้ เป็นเรื่องคิดมากเกินไป บรรดาท่านพุทธบริษัท การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จหรือไม่เสด็จ ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความชั่วของอาตมา ต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เองต่างหาก เพราะวันเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ใกล้กับวันเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นั่นก็คือจะเสด็จไปภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส เพราะเป็นวันใกล้กับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในคราวนี้นั้น เขาจึงพากันโจษขานกันมากว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง แล้วก็การเสด็จมา ถ้าจะกล่าวว่ามาเพราะอาตมาถวายพระพรเชิญเสด็จ ก็คงไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่ใช่ ต้องยกความดีให้แก่คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ และท่าน พล. ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ สองสามีภรรยา พร้อมไปด้วยคณะศิษยานุศิษย์มีมากท่านด้วยกัน ที่มีความพร้อมใจกันตลอดจนจ้าวนายหลายพระองค์ที่ต่างคนต่างร่วมใจกันกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอัญเชิญให้เสด็จมา ปรารถนาจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หล่อรูปหล่อหลวงพ่อปานและยกช่อฟ้า แม้แต่งานฝังลูกนิมิต เพราะว่าสถานที่สร้างขึ้นมานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมดที่เป็นข้าราชบริพารและพระราชวงศ์ ประสงค์จะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นการเพิ่มพูนพระบารมีของพระองค์ ฉะนั้น ทุกคนจึงตกลงใจกันกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ โดยคุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ ภรรยาท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุล คนนี้ ต้องเรียกว่า หม่อมราชวงศ์ คุณหญิงสุวรรณาภา เพราะท่านเป็นหม่อมราชวงศ์ ได้เข้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ รับว่าจะเสด็จ แล้วทรงรับรองจะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และในกาลต่อมา พล.ร.อ.จิตย์ สังขดุล ก็กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกสายหนึ่ง นี่ การเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องถือว่าเป็นคุณความดีของคณะท่านพุทธบริษัท ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการจัดสร้างวัดคราวนี้เพราะว่าทุกคนมีหุ้นส่วนในการก่อสร้างทั้งหมด.
การก่อสร้างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ใช้เวลามา ๑ ปี กับ ๔ เดือน แต่ความจริงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงเป็นเวลา ๑ ปี กับ ๓ เดือนเศษ ๆ ซื้อที่ราคาแสนเศษ งานก่อสร้างทั้งหมดสิ้นเงินไปทั้งหมดถึงวันนั้น คือ จ่ายเงินสดไปแล้วนะ ยังเป็นหนี้เขาต่างหาก จ่ายเงินสดไปแล้ว ๔ ล้าน ๕ แสนบาทเศษ แล้วยังเป็นหนี้เขาอีกล้านบาทเศษ และยังจะสร้างต่อไปอีกประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ๆ นี่อาศัยทุนรอนที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันกันบำเพ็ญกุศล เนื่องในการก่อสร้างโดยตรงบ้าง ถวายแก่อาตมาเป็นส่วนตัวบ้าง จตุปัจจัยที่บรรดาท่านทั้งหลายถวายเป็นส่วนตัว อาตมาเห็นจะใช้ปีหนึ่งไม่เกิน ๑ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็รามเข้าไว้ในการก่อสร้างทั้งหมด อย่างนี้มันสบายใจ
พระเมตตา เล่มที่ ๑
เสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดจันทาราม
จาก คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
http://www.luangporruesi.com/
พระราชปรารภ บทที่ ๑
ย่อหน้า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ย่อหน้า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้