*** รวมเทคนิค/กลยุทธ์ การลงทุน/เล่นหุ้น ของเกจิอาจารย์ต่างๆ ภาค 2 ***

กระทู้สนทนา
ทฤษฎี เรื่อง Recency Bias เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมักขายหุ้นในเวลาที่ไม่ควรขายที่สุด และไม่ยอมซื้อหุ้นในเวลาที่ควรซื้อหุ้นมากที่สุดด้วย

นักลงทุนในตลาดหุ้น ก็มีลักษณะเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน ในช่วงหลังจากเกิดวิกฤตตลาดหุ้นใหม่ๆ นักลงทุนมักจะกลัววิกฤตมากเป็นพิเศษ ตลาดหุ้นจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเขา
ไม่ว่าหุ้นจะถูกแค่ไหน หรือเศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างไร นักลงทุนจะยังไม่กล้าซื้อหุ้นอยู่ดี ต่อเมื่อเวลาผ่านไปอีกนานๆ ความกลัวเหล่านั้นก็จะเริ่มจางหายไปเอง ทั้งที่จริงๆแล้ว เราควรทำตรงข้าม
กล่าวคือ หลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤตใหม่ๆ เราไม่ควรจะกลัวที่จะซื้อหุ้น แต่เป็นเวลาที่เราควรจะกล้าซื้อหุ้นมากกว่า

เวลาหุ้นพื้นฐานดีๆ บางตัวมีข่าวร้ายมากระทบ ความรู้สึกของเราเกี่ยวกับพื้นฐานโดยรวมของหุ้นตัวมักแย่ลงไปด้วย เราจะ เริ่มไม่ค่อยแน่ใจกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นที่เราเคยเชื่อว่าดีจนทำให้เราตัดสินใจลงทุน
ทั้งที่เราก็รู้ดีว่าข่าวร้ายเหล่านั้นจะไม่ได้ติดตัวหุ้นนั้นไปแบบถาวร แต่เราอดไม่ได้ที่จะให้น้ำหนักข่าวร้ายนั้น มากกว่าสิ่งดีๆทั้งหมดของหุ้นตัวนั้นที่เคยเป็นมาตลอด และยังไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะข่าวร้ายนั้นเลยแม้แต่น้อย

ความยากของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ เรามักไม่รู้ตัวว่าเรากำลังลำเอียงอยู่ เพราะเวลาที่เราลำเอียง เรามักใช้อารมณ์ของเราฟันธงไปก่อน แล้วสมองของเราจึงค่อยหาเหตุผลมาสนับสนุนการตัดสินใจของเรานั้น เราจึงมักรู้สึกว่าเรากำลังใช้เหตุผลอยู่เวลาที่เราลำเอียง ที่จริงแล้ว เหตุผลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่สมองของเราคัดเลือกมาเพื่อสนับสนุนอารมณ์ของเราเท่านั้น โดยคัดกรองเหตุผลอื่นๆที่ขัดแย้งออกไป เราจึงไม่รู้ตัวว่าเราลำเอียง ใครก็ตามที่มีสติรู้ทันจิตใจของตัวเองได้ดีกว่าคนอื่น คนนั้นจะสามารถเล่นหุ้นได้ดีกว่าคนอื่น ทั้งที่ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายเลย

ระยะเวลาของวิกฤติ
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันของวิกฤติทุกครั้งที่ผ่านมา ก็คือ ช่วงที่ตลาดหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วมากนั้น มักกินเวลานานที่สุด ไม่เกิน 2 ปี ทั้งๆที่หลายครั้ง เศรษฐกิจยังคงเข้าสู่ขาลงต่อจากนั้นไปอีกนานหลายปี อาจเป็นเพราะตลาดหุ้นสามารถโยกย้ายทุนได้เร็วกว่าภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง มันจึงวิ่งลงไปรอที่จุดต่ำสุดได้ตั้งแต่ก่อนที่เศรษฐกิจจะลงไปถึงจุดต่ำสุดจริงๆ (จุดนี้ใช้เทคนิคคอลช่วยก็น่าจะดี) หลังจากนั้นแม้ ศก. จะแย่ลงไปอีก ตลาดหุ้นก็ไม่ตอบสนอง หรือตอบสนองน้อยลง เมื่อถึงจุดนี้เป็นช่วงที่น่าลงทุนมากที่สุด เพราะราคาหุ้นต่ำและ downside ก็น้อยด้วย

หลักการขายหุ้น
การขายหุ้นไม่เป็นจริง ๆ เพราะชอบดูตัวเลขกำไรในบัญชี จึงไม่ยอมขาย
หุ้นขึ้นไม่ยอมขาย ต้องลงเยอะๆ ถึงจะยอมขาย
เวลาจะขาย อย่าเสียดายเล็กๆ น้อยๆ
ถ้าตลาดแกว่งตัวตลอด (ขึ้นสลับ ลง) ต้องรู้จักขายเมื่อมีกำไร ไม่งั้นกำไรหดหมด
จังหวะขายที่ดีที่สุด คือ ตลาดดูดีเหลือเกิน ไม่มีข่าวร้าย มีแต่ข่าวดีออกมาตลอด รอจนถึงแนวต้านใหญ่ๆ ก็น่าจะออกได้แล้ว ไทยเรา มีวิกฤติได้ทุกปีแหละ บางทีก็มาจากวิกฤติโลก
การจะถือยาวได้ ต้องแน่ใจว่า หุ้นจะเป็นขาขึ้นยาวจริง ๆ เท่านั้น ไม่งั้นกำไรหมด
จดจำไว้ว่า sell on facts นะ ดังนั้น เราต้อง sell before facts
เวลาจะซื้อ หรือขาย เราไม่ได้เป็นคนกำหนดราคาเอง เท่าไหร่ ก็เท่านั้น
ถ้าถึงเวลาซื้อหรือขาย อย่าไปเกี่ยงราคาเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีประโยชน์

จังหวะขายหุ้น คือ ตอนที่สถานการณ์อะไร ก็ดูดีไปหมด ไม่มีข่าวร้ายอะไร รอยู่ข้างหน้า
(จังหวะนี้ ถ้ามีข่าวลบนิดเดียว มันก็จะลงแล้ว)
หรือข่าวดีออกมาแล้ว ที่เหลือต้องรอไปลุ้นกันในอนาคต
เราจะขายหุ้นเมื่อเห็นว่า หุ้นตัวนั้นดีเกินไปแล้ว ข่าวที่คาดหวังออกมาแล้ว
ธุรกิจนั้น ดีมากเหลือเกิน แสดงว่า ราคาหุ้นตัวนั้น อยู่ในจุดที่สูงมากแล้ว หรือยอดดอยนั่นเอง แต่ทุกคนในตลาดไม่รู้หรอกว่าดอย เพราะอะไรๆของหุ้นตัวนั้น ก็ดูดีไปหมด ขายไปเถอะ จะรอให้ดีไปมากกว่านั้นอีกหรือ

หลักการลงทุนในหุ้นของหมอบุญ
นพ.บุญ วนาสิน” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะนักลงทุนลายคราม เคยนิยมชมชอบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอามากๆ ถึงขนาดตั้ง “10 ข้อกฎแห่งการลงทุน” ข้อแรก นักลงทุนต้องหมั่นสังเกตเงินต่างชาติ หากเขาขนเงินมา “ลุยเลย” แต่ต้องซื้อหุ้นบูลชิพเท่านั้น ข้อ 2. ก่อนลงทุนต้องเหลียวหลังดูการเมืองก่อน หากสงบค่อยเดินหน้าได้ ข้อ 3. สำรวจอัตราดอกเบี้ย ถ้าทิศทางเป็นขาขึ้น “กรุณาอย่าช้อน” เสี่ยงนะครับ.... ข้อ 4. อัตราเงินเฟ้อควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ข้อ 5.หาข้อมูลเกี่ยวกับเงินต่างชาติว่าตอนนี้ไปรวมตัวกันอยู่ในกลุ่มไหน เขาไปไหนเราก็ตามไป แค่นั้นล่ะ ข้อ 6.ดูความสามารถในการแข่งขันในบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน หากสู้คนอื่นได้ ถือว่าได้เปรียบซื้อเลย ข้อ 7. สำรวจงบดุลของประเทศ ข้อ 8.ส่องงบลงทุนของเมืองไทย ข้อ 9. ดูนโยบายการเงินของรัฐบาล ข้อสุดท้าย สำรวจอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติ หากคุณพิจารณาทั้ง 10 ข้อแล้วพบว่า ทุกอย่างอยู่ในระดับเหมาะสม ก็ได้โปรดอย่างลังเล

ปล. ต้องขอบคุณบรรดาเกจิทั้งหลายด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่