ประสบการณ์ ตม. เกาหลีใต้ จากคนเคย ติด Blacklist โดนส่งกลับในอดีต กลับไปอีกครั้งจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองมาดูกัน

กระทู้สนทนา
ขอเกริ่นก่อนสักเล็กน้อยนะครับว่า ช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะเห็น กระทู้มากมายที่เกี่ยวข้องกับ ตม. เกาหลี บ้างก็ว่าโหด บ้างก็ว่า ไม่เห็นมีอะไรเลยผ่านฉลุย แน่นอนว่า จึงทำให้สงสัยว่า สุดท้ายแล้วมันขึ้นอยู่กับอะไรกันแน่ โดยสิ่งที่จะนำมาเล่าวันนี้ อาจจะเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่กลัวว่าจะไม่ผ่านตม รวมถึงทริคการเตรียมเอกสารต่างๆเผื่อฉุกเฉิน ในกรณีที่เกรงว่าอาจจะไม่ผ่าน ตม. ซึ่งผมเอง มีความเชื่อที่ว่า ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ และเตรียมตัวมาดี คงไม่มีทางที่ ตม. เกาหลี จะส่งกลับประเทศอย่างแน่นอน จากความคิดดังกล่าว จึงเกิดเป็นประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ครับ

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2007 แฟนผมได้เดินทางไปเที่ยวประเทศ เกาหลี เป็นครั้งแรก (ตอนนั้นยังไม่รู้จักกันกับผม) ระหว่างการเดินทาง อยู่บนเครื่องบิน มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักทาย ชวนคุยเรื่อยเปื่อย ซึ่งแฟนผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร และด้วยความที่ นั่งด้วยกัน คุยกันถูกคอ หลังจากลงจากเครื่อง ก็เดินไปพร้อมกันจนถึง ตม. ซึ่งแฟนผม และ ผู้หญิงอีกคน ต่อคิวกันอยู่คนละแถว ปัญหามันเริ่มต้นจากที่ ผู้หญิงคนนั้นเคยติด Blacklist เนื่องจากหนีเข้าทำงานมาแล้วครั้งนึง ซึ่ง ตม. ถามผู้หญิงคนนั้นว่า "คุณมากับใคร" ผู้หญิงคนนั้นกลับชี้มาที่ แฟนผม จึงทำให้ ตม. เรียกตัวทั้งแฟนผม และ ผู้หญิงคนนั้น เข้าไปที่ห้องสอบสวน

แน่นอนว่า ในตอนนั้น ตม. ก็จะมองแฟนผมเป็นกลุ่มเดียวกันกับ พวกลักลอบเข้าเมือง บวกกับในตอนนั้น แฟนผมไม่ได้เตรียมเอกสารอะไรไปมากนัก มีแค่เพียง ที่พัก 3 คืน และยังไม่ได้ชำระเงิน เงินวอนก็แลกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และที่สำคัญคือ ความกลัว และ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากกับ ตม. ซึ่งถ้าย้อนไปในปี 2007 นั้น ประเทศเกาหลีใต้ ถือว่าเข้มงวดกว่าในปัจจุบันค่อนข้างมาก บรรยากาศทุกอย่างในห้องสอบสวน จะตึงเครียดอย่างมาก จึงทำให้สุดท้ายแล้ว ถูกส่งกลับประเทศ และ ขึ้น Blacklist เอาไว้ว่า จะไม่สามารถเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้ โดย ตม. ได้บอกกับแฟนผมว่า ไม่ใช่แค่เกาหลีใต้นะ ประเทศอื่นๆในละแวก ก็จะไม่ให้คุณเข้าเหมือนกัน เล่นเอาแฟนผม เรียกได้ว่าจะไม่คิดจะไปเกาหลีใต้อีกเลยทั้งชีวิต ...

---------------------------------------------------------------------------------------------

จากวันนั้นจนถึงปีนี้ อยู่ดีๆผมก็นึกอยากลองดี เนื่องจากเคยอ่านมาว่า Blacklist มีอายุ 5 ปี รวมถึงอ่านการเตรียมตัว ของแต่ละท่านตามเว็บไซต์ รวมถึง คำที่บอกว่า ตม. สมัยนี้ไม่น่ากลัวเท่าเมื่อก่อนแล้ว บวกกับความคิดส่วนตัวว่า ในเมื่อเราบริสุทธิ์ใจ ทำทุกอย่างถูกต้อง ถ้าเราเตรียมเอกสารดีๆ ยืนยันได้ว่าเรามาเที่ยว ถ้าคุณยังไม่ให้ผมเข้าประเทศ ก็ให้มันรู้ไป ผมเลยตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบิน ไปเกาหลี ในเดือน ก.พ. พร้อมกับการเตรียมเอกสารต่างๆดังนี้

- ใบรับรองการทำงาน
- ตั๋วเครื่องบินไปกลับ
- ใบจองโรงแรม
- ทริปรายละเอียดการเดินทาง ตั้งแต่วันแรก จนวันสุดท้าย
- แลกเงินวอนไว้จำนวนหนึ่ง

สุดท้ายเราก็เดินทางมาถึงเกาหลีใต้ และยืนต่อคิวหน้า ตม. ในใจผมคิดอย่างเดียวว่า ถ้าเรียกไปสอบสวน จะ พรีเซนต์ตัวเองเต็มที่แน่นอน แล้วถ้าไม่ให้เข้าอีก ชาตินี้ก็จะไม่มาอีกแล้ว ซึ่งผมให้แฟน ต่อคิวอยู่ข้างหน้า เผื่อถูกเรียกสอบสวน ผมจะได้เดินตามเข้าไปด้วยเลย เพราะมาด้วยกัน และเมื่อถึงคิว แฟนผมเดินเข้าไปและยื่น พาสปอร์ตให้ ตม. เจ้าหน้าที่ เช็คข้อมูลสักพัก แล้วใช้แถบแม่เหล็กพาสปอร์ต รูดเข้ากับเครื่อง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พาสปอร์ตเล่มของแฟนผมเฮิี้ยนจัดจน คอมพิวเตอร์ของ ตม. ดับไปเลย (Restart) ซึ่งหลังจาก เปิดขึ้นมาใหม่แล้ว พยายามรูดอีกครั้ง ก็ไม่มีข้อมูลใดๆเลย จึงทำให้ ตม. เรียกแฟนผมเข้าไปในห้องสอบสวน แน่นอนว่าผมก็ตามเข้าไปด้วย

ระหว่างทางที่โดนเรียก ผมก็พูดคุยกับแฟนเป็นภาษาไทย ว่ากะไว้แล้ว ดีแล้วเตรียมเอกสารมา จะได้โชว์กันให้เห็นๆ แต่ก็คิดอยู่ในใจ ถ้าอธิบายเป็นอังกฤษ อาจจะ แสดงได้ไม่เต็มที่เท่าพูดภาษาไทย แต่ไม่เป็นไร เราบริสุทธิ์ใจ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่หญิงท่านนึง เรียกแฟนเราเข้าไป และให้วางนิ้วที่เครื่องแสกนลายนิ้วมือ หลังจากนั้นเขาก็เงียบไปสักพัก แล้วก็เรียกผม ไปแสกนด้วยเช่นเดียวกัน แต่ตัวผมเองเพิ่งเคยมาเกาหลีครั้งแรก จึงไม่มีปัญหาใดๆ ซึ่งหลังจาก ตม. เงียบไปสักพัก สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น …

---------------------------------------------------------------------------------------------



เจ้าหน้าที่หญิงท่านนั้น เอ่ยปากพูดออกมาว่า "มากันกี่คน" ถ้าให้พูดเลียนแบบ โจอี้ ตลกชาวกาน่า ผมก็คงจะนึกในใจว่า เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น "พูดไทย ชัดกว่า พ่อผมอีก"  หลังจากนั้นก็มานึกทบทวนว่าเราได้มีนินทาอะไรเป็นภาษาไทยบ้างรึเปล่า แต่ไม่มีครับ ผมพร้อมจะพิสูจน์ตัวเอง จึงเตรียมเอกสารทั้งหมดไว้ในมือ ผมตอบไปว่า "มากัน 2 คนครับ" เจ้าหน้าที่หญิงท่านนั้นจึงบอกผมว่า "ตัวคุณเองไม่มีปัญหาหรอก แต่แฟนคุณเคยไม่ผ่าน ตม. เมื่อปี 2007" ผมจึงนึกในใจว่า แสดงว่าที่บอกว่า Blacklist มีอายุ 5 ปี นั้น คงไม่จริงแล้วล่ะ หลังจากนั้นเค้าก็ถามต่อ "คุณจะไปเที่ยวยังไง" เนื่องจากผมเองไปเที่ยวแบบ Backpack ตลอดไม่ว่าจะประเทศไหน เวลาทำทริปผมจะแจงหมดว่า ค่าใช้จ่ายแต่ละจุดประมาณเท่าไหร่ นั่งรถเมย์สายไหน รถไฟสายไหน ค่าเข้าเท่าไหร่ ผมจึงตอบไปว่า "ตามทริปนี้เลยครับ มีรายละเอียดทั้งหมดแล้ว คำนวนไว้แล้ว ปกติผมเที่ยวแบบนี้ตลอด และเวลาไปไหน เราจะไปด้วยกันตลอดครับ ลองเช็คในพาสปอร์ตดู จะเห็นว่า วันที่ และสถานที่จะตรงกันเลยครับ"

หลังจากนั้นผมพยายามสังเกตรอบข้าง พบว่า มีคนถูกสัมภาษณ์ เยอะมาก โดยเฉพาะชาวอินเดีย และส่วนใหญ่ไม่มีการเตรียมเอกสารใดๆมาแสดง เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะติด แต่ ตม. เองนั้น จะพยายามช่วยที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ เช่น หากเอกสารตัวนี้ไม่มี แล้วตัวนี้มีมั๊ย พยายามหาช่องทางให้อย่างเต็มที่ เพราะเขาก็อยากได้นักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน แต่หากคุณไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณยังไง ซึ่ง มีอยู่สองท่าน ชาวอินเดียในวันนั้น ตม. ถามว่า คุณแลกเงินมาเท่าไหร่ ปรากฏว่า เขาไม่ได้แลกเงินเกาหลีมาเลย รวมทั้งเอกสารก็ไม่มี จึงเตรียมถูกส่งกลับเรียบร้อยแล้ว

กลับมาที่เจ้าหน้าที่หญิงท่านเดิม เหมือนเดจาวู เขาถามผมว่า "คุณแลกเงินมาเท่าไหร่" แน่นอนครับ ผมแลกมาเผื่อจากยอดในทริป นิดหน่อย ซึ่งยอดที่แลกก็ดูสมเหตุสมผล ไม่มาก และไม่น้อยจนเกินไป หลังจากนั้น เขาก็ขอดูตั๋วเครื่องบิน และถามต่อว่า "คุณจ่ายเงินค่าโรงแรมยังไง" แน่นอนว่าเรื่องโรงแรม แฟนเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ผมจึงจองและจ่ายเงินไปเลย ผมจึงตอบว่า "จ่ายด้วยบัตรเครดิตครับ" และสุดท้าย เขาก็ถามว่า "คุณทำงานอะไร" ผมจึงยื่นเอกสารใบรับรองการทำงานให้ดู เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น เงียบไปสักพัก คีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ พร้อมกับเรียกผม และ แฟน มาแสกนลายนิ้วมือ อีกครั้ง ซึ่งเป็นเครื่องแบบเดียวกับ ตม. ปกติ ซึ่งหลังจากจิ้มแล้ว คราวนี้มีคำว่า Welcome to korea หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หญิง ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า "งั้นเก็บของแล้วตามมา" เขาเปิดประตูทางเข้าอีกทาง แล้วพูดว่า "ยินดีต้อนรับสู่เกาหลีใต้ค่ะ" ผมมองหน้าแฟน แล้ว ไหว้ขอบคุณ เจ้าหน้าที่ท่านนั้น แฟนผมก็ดีใจ และลืมเรื่องร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นกับ ตม. ในอดีตไปหมด



ซึ่งหลังจาก เดือน ก.พ. กลายเป็นว่าเราชอบเกาหลีใต้มากพอสมควร จริงๆเราสองคนพออ่านภาษาเกาหลีออก และฟังเข้าใจบ้าง จึงทำให้เรารู้สึกสนุกกับประเทศนี้ และเข้าใจอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับประเทศนี้มากขึ้น ส่งผลให้ เดือนต่อมา ผมกับแฟน กลับมาที่นี่อีกครั้ง และกลับมายืนต่อคิวเหมือนคนทั่วไป ซึ่งครั้งนี้เรายังคงเตรียมตัวมาเหมือนเดิม และเมื่อถึงคิว ผมก็ให้แฟนเข้าไปก่อนเหมือนเดิม แต่สรุปว่า พาสปอร์ตของแฟน สามารถใช้เข้าออกประเทศ ได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไปแล้วนั่นเอง ไม่มีการถาม หรือเรียกเข้าไปคุยในห้องสอบสวนอีกต่อไป

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ยืนยันกับตัวผมเองได้เป็นอย่างดีว่า การเตรียมตัวที่ดี มีหลักฐานชัดเจน และสามารถตอบคำถาม ตม. ได้อย่างไม่ติดขัดหรือน่าสงสัย ไม่มีทางที่เราจะเข้าประเทศเขาไม่ได้แน่นอน ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปมาเล่า ก็อาจจะทำให้ท่านมั่นใจได้ในระดับนึง แต่จากปากของคนที่ ขนาดเคยติด Blacklist มาแล้ว ยังสามารถทำให้ ตม. เคลียร์ข้อมูล และทำให้พาสปอร์ตกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมเลย แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ล่ะ จริงมั๊ยครับ …

สุดท้ายนี้ หวังว่าข้อมูลที่ผมนำมาเล่าให้ฟัง จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆสมาชิกบ้างไม่มากก็น้อยครับ หัวเราะ

ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่