ความสวยงามใสสังคมแห่งอดีต ต้องถูกทำลายลงเพราะความอิจฉาตาร้อน

กระทู้สนทนา
วิญญาณอันบริสุทธิ์ และสวยงาม มีเสน่ห์ของสังคมไทยในอดีต เป็นมนต์ขลังแห่งสันติสุขของคนในสังคม
แต่อนิจจา เพียงเพราะความอิจฉา ตาร้อน จนเป็นความริษยาที่รุนแรง ทำลายสิ่งต่างเหล่านั้นลงอย่างน่าเสียดาย
1.เมื่อก่อนใครโกหก บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี จะเป็นที่รังเกียจของสังคม แต่ปัจจุบันกับกลายเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ
2.เมื่อก่อนใครนิยม สนับสนุนเผด็จการทหารทำรัฐประหาร จะมีความอายแทบแทรกแผ่นดินหนี โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง นักศึกษา  นักการเมือง สื่อสารมวลชน ครูบาอาจารย์ จะเป็นที่อับอายขายหน้ามาก เพราะส่วนใหญ่จะยืนอยู่ข้างมวลชน
ยืนข้างประชาชนผู้ยากไร้ ...แต่ปัจจุบัน  กลับเป็นว่าเผด็จการทหารเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ใครว่าใครแตะต้อง
เป็นเรื่องขายชาติ

3.เมื่อก่อนตุลาการหน้าบางมาก พิพากษาตัดสินผิดพลาดเขาก็จะเงียบ แต่ปัจจุบันแม้ผิดพลาดยังออกมาไล่งับ
ประชาชน พ่นพิษใส่อีกต่างหาก

4.นายกรัฐมนตรีบริหารบ้านเมืองผิดพลาด ถึงขนาดรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ได้ จนเกิดมีประชาชนล้มตาย
   เขาจะมีสำนึกรับผิดชอบด้วยการลาออก  แต่ปัจจุบัน คนตายเป็นประวัติการณ์ แต่กลับไปให้สัมภาษณ์
โด่งดังไปทั่วโลก นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆหลังการปฏิบัติการ ลอยหน้าลอยนวล ชูคอในสังคมได้โดยไม่อับอาย

5.เมื่อก่อน ใครก็ตามมีพฤติการณ์ขัดขวางการทำให้เกิดความสามัคคีของตนในชาติ จะเป็นเรื่องเสียหายอับอาย
อย่างยิ่ง ถึงขนาดถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ เป็นคนคดในแผ่นดิน แต่ปัจจุบัน แสดงออกกันโต้งๆว่าจะขัดขวางการปรองดองทุกรูปแบบ
หน้าตายเฉย ไร้ซึ่งความเอียงอาย

6.สมัยก่อนชายชนคนไทย ภาคภูมิใจที่ได้เกณฑ์ทหาร (อย่าหาว่าลุงพูดแต่เรื่องเก่านะ เพราะเรื่องเก่าแบบนี้ยังไม่ได้รับการเคลียร์
ให้กระจ่าง แทนที่จะชี้แจงแต่กลับไปฟ้องร้องคนทำให้เรื่องกระจ่าง เลยยิ่งไม่กระจ่าง)จนถึงขนาดพูดติดปากว่า"ชายไทยใจกล้า รับใช้ชาติ
หรือ ชายชาติทหาร ก็มาจากการเกณฑ์ทหารนี้แหละ" ใครไม่เกณฑ์ทหาร หรือ หนีทหาร จะเป็นที่อับอายขายหน้า พูดกับใคร
เขาก็รังเกียจ เป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ชาติ แต่ปัจจุบันใครหนีทหารคือ บุคคลที่มีภาวะผู้นำสูง และฉลาด พวกที่ไปเกณฑ์ทหารซี "โง่"
7.เมื่อก่อนคำว่า"ยิ้ม"เป็นคำหยาบ คำต่ำ แต่ปัจจุบัน ใครใช้คำนี้ด่าคนอื่น กลับได้รับการยกย่อง ว่ามีจุดยืน ให้กำลังใจกันยกใหญ่ คนใช้คำนี้ด่าคนอื่น ก็ภาคภูมิใจในตนเอง ยกย่องกันว่าเป็นบุคคลที่ใช้อาวุธได้อย่างเหมาะสม

8.สมัยก่อนเก่า ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองเรา เห็นเด็กทะเลาะกัน ก็ออกมาห้ามปราม  ใครจะก่อการวิวาทก็หยุด สังคมก็เข้าสู่ภาวะปกติ  แต่ปัจจุบัน นอกจากไม่ห้ามปรามแล้ว ยังบอก(ยุ)ให้เอาอาวุธทุกอย่างที่มีออกมาประหัตประหารกัน อย่างหน้าไม่อาย และไม่รู้สารู้สมอะไร

9.เมื่อก่อน เราเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง เดินไปไหน เด็กจะยกมือกราบไหว้ เพราะผู้ใหญ่เหล่านั้นน่านับถือ เป็นเสมือนที่พึ่งทางใจ แต่ปัจจุบันผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น เต็มไปด้วย กิเลส ตัณหา บ้าอำนาจ คลั่งชาติ คลั่งเจ้า เดินไปมาบนถนนเด็กไม่ยิ้มน้ำลายใส่ก็บุญแล้ว

เพราะความอิจฉา จนเกิดริษยา ที่รุนแรง  ทำให้สังคมที่เคยสงบสุข เคยมีเสน่ห์มนขลัง ที่ต่างชาติก็ยกย่องชมเชย แต่ปัจจุบัน ความสวยงามแห่งสังคมแบบนั้น ไม่มีอีกแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ก็มิใช่หลักยึด หรือเป็นตัวอย่างที่ดี ให้แก่คนในสังคมอีกต่อไป แม่กระทั่งการส่งซิก ให้ผู้คนในสังคมเอาอาวุธออกมาประหัตประหารกันอย่าหน้าไม่อายก็มี  คนแก่เหล่านี้แหละ แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน หาได้มีประโยชน์ใดต่อชาติ ต่อประชาชนไม่  เมื่อผู้ใหญ่ในสังคมมิใช่หลักยึด เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ที่มีความเลอะเทอะ อาฆาตแค้น อิจฉา ริษยา ตัณหากลับ สังคมจึงหมดเสน่ห์
ทางออกของสังคม  จึงมีอยู่ทางเดียว คือ คนหนุ่มสาว ต้องเป็นตัวของตัวเอง พึ่งใครไม่ได้ ไขว่คว้า หาสิ่งที่ถูกต้องเอาเอง จะเอาแบบอย่างของผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองอีกต่อไปไม่ได้แล้ว "และประชาธิปไตยเท่านั้น ( ประชาธิปไตยแบบไทยไทย ก็ไม่ได้ )จะเป็นทางแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้ดีที่สุด"...จงเรียนรู้ประชาธิปไตยให้เข้าใจ อย่าหลงว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย คือ ประชาธิปไตย เหมือนที่มอมเมากันมาแต่อดีต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่