ปัญหาคือ พี่ชายถือบัตร ktc และได้เสียชีวิตกระทันหันเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ช่วงนั้นทุกคนตกใจ ทำอะไรไม่ถูก มีใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมา และครบกำหนดชำระงวดในช่วงนั้นพอดี มีคนแนะนำว่าไม่ต้องรับผิดชอบ คนตายไปแล้ว แต่เราไม่อยากทำแบบนั้น ผมจึงโทรไปถาม cc พร้อมทั้งขออายัดบัตร และสอบถามยอด เพื่อปิดบัตร ผมก็นำเงินไปชำระที่ 7-11 แถวบ้าน (ตจว) ยอดเงินจำไม่ได้ คงสักประมาณสามหมื่นบาท แบ่งเป็น 2 ยอด 2 สาขา (จำนวนเงินเกินลิมิตชำระ) และคลับคล้ายคลับคราว่าโทรไปถาม cc ว่าเรียบร้อยไหม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีปัญหา ต่อมามีใบแจ้งหนี้เดือน มค มาถึง แต่ไม่มียอดชำระ ก็คิดว่าจบไป 1 เรื่องแล้ว
มาเดือน มีค มีใบแจ้งหนี้มา ก็ตกใจโทรไปถาม ได้รับคำตอบว่าเป็นเงินชำระเกินประมาณ หกพันกว่าบาท โดยพนักงาน cc คนแรก บอกให้รอจะต่อโทรให้คุยกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง ก็คุยกันพนักงานก็แนะนำว่าต้องใช้ หลักฐานคำสั่งศาล สำเนาบัตร ปชช หน้าบุ๊กแบ๊ง ผมก็จัดการส่งเอกสารทาง fax
ผ่านมา 1 เดือน เอาบุ๊คไปอัพ ไม่มียอดเข้า มีใบแจ้งยอดมาเหมือนเดิม ก็เลยติดต่อไปใหม่ ติดต่อยากมาก ทั้งที่โทรตั้งแต่ยังไม่ 10.00 ทางโทรและส่งข้อความในนี้ด้วย ก็มีพนักงาน (เรียกว่าคนที่สองแล้วกัน) โทรมาหาช่วงบ่ายๆ เหมือนเริ่มต้นใหม่ครับ ขอเอกสารคล้ายๆ ของเดิม (ใครก็ได้) ให้ระบว่าเป็นใคร บรา บรา ...และให้ระบุด้วยว่าต้องการเงินคืน ท้ายสุดให้ระบุว่า หากพิสูจน์ได้ว่ามีคนอื่นที่มีสิทธิ์ ในเงินจำนวนนี้มากกว่า จะต้องคืนเงินมาให้ ต้องสำเนาใบเสร็จที่ชำระเงินไปให้ ถ้าเอกสารถูกต้องจะจ่ายเป็นเช็คมาหให้ (คนแรกบอกโอนเข้า บช) ผมก็เลยถามไปว่า แล้วพนักงานคนก่อน เรื่องที่คุยกันไว้เมื่อเดือนก่อน ทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมไม่ติดตามเรื่องให้ ทำไมปล่อยไว้ ให้ผมตามเอง เขาก็ว่าไม่รู้จักเป็นคนละแผนก เขาก็โน้มน้าวให้ผมไปทำเอกสารส่งมาใหม่ ผมก็พยายามถามถึงวิธีการ ทำไมบอกคนละอย่าง พนักงานคนที่สอง บอกทำนองว่าพนักงานคนนั้นไม่รู้เรื่อง และพยายามช่วยเหลือผมเบื้องต้นด้วยซ้ำไป ผมก็ได้แย้งไปว่าคงไม่น่าใช่แบบนั้นมังครับ และเรื่องใบเสร็จที่ได้มาจาก 7-11 ก็เป็นใบเสร็จชั่วคราว ทิ้งไว้นานๆ ตัวหนังสือก็จางไป เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งผมก็คิดว่าเรื่องจบ จึงทิ้งไว้ไหนไม่รู้ เขาก็บอกให้ไปแจ้งความ ตรงนี้เพื่อให้ยืนยันว่าผมเป็นผู้ชำระเงินจริงๆ หาว่าผมชำระช้าด้วยนะ (แล้วผมจะแจ้งว่ายังไงละครับนี่ จะแจ้งยอดไหน ยอดที่ขอคืน?)
ท้ายสุด ติดใจข้อความที่จะต้องเขียนคำร้องลงไป ผมก็สงสัยว่า ตรวจสอบไม่ได้หรือครับ ว่าเป็นเงินที่ต้องคืนผมจริงๆ (ชำระไว้เกิน-ผมเองไม่ทราบ เนื่องจากเป็นบัตรของพี่ชายและเสียชีวิตไปแล้ว) หรือเป็นเงินที่โอนผิดพลาด หรือคีย์ผิด (ตามที่พนักงานกล่าวอ้างมา ว่าเคยเกิดขึ้นแล้ว) หากเป็นจริงในกรณีหลัง จะพิสูจน์ยังไง เป็นภาระของใคร ใครรู้ช่วยแนะนำผมหน่อยเถอะ ผมเองไม่อยากยุ่งยากในอนาคต
ktc ไม่สามารถตรวจสอบหนี้ที่แท้จริงของลูกค้าหรือครับ
มาเดือน มีค มีใบแจ้งหนี้มา ก็ตกใจโทรไปถาม ได้รับคำตอบว่าเป็นเงินชำระเกินประมาณ หกพันกว่าบาท โดยพนักงาน cc คนแรก บอกให้รอจะต่อโทรให้คุยกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง ก็คุยกันพนักงานก็แนะนำว่าต้องใช้ หลักฐานคำสั่งศาล สำเนาบัตร ปชช หน้าบุ๊กแบ๊ง ผมก็จัดการส่งเอกสารทาง fax
ผ่านมา 1 เดือน เอาบุ๊คไปอัพ ไม่มียอดเข้า มีใบแจ้งยอดมาเหมือนเดิม ก็เลยติดต่อไปใหม่ ติดต่อยากมาก ทั้งที่โทรตั้งแต่ยังไม่ 10.00 ทางโทรและส่งข้อความในนี้ด้วย ก็มีพนักงาน (เรียกว่าคนที่สองแล้วกัน) โทรมาหาช่วงบ่ายๆ เหมือนเริ่มต้นใหม่ครับ ขอเอกสารคล้ายๆ ของเดิม (ใครก็ได้) ให้ระบว่าเป็นใคร บรา บรา ...และให้ระบุด้วยว่าต้องการเงินคืน ท้ายสุดให้ระบุว่า หากพิสูจน์ได้ว่ามีคนอื่นที่มีสิทธิ์ ในเงินจำนวนนี้มากกว่า จะต้องคืนเงินมาให้ ต้องสำเนาใบเสร็จที่ชำระเงินไปให้ ถ้าเอกสารถูกต้องจะจ่ายเป็นเช็คมาหให้ (คนแรกบอกโอนเข้า บช) ผมก็เลยถามไปว่า แล้วพนักงานคนก่อน เรื่องที่คุยกันไว้เมื่อเดือนก่อน ทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมไม่ติดตามเรื่องให้ ทำไมปล่อยไว้ ให้ผมตามเอง เขาก็ว่าไม่รู้จักเป็นคนละแผนก เขาก็โน้มน้าวให้ผมไปทำเอกสารส่งมาใหม่ ผมก็พยายามถามถึงวิธีการ ทำไมบอกคนละอย่าง พนักงานคนที่สอง บอกทำนองว่าพนักงานคนนั้นไม่รู้เรื่อง และพยายามช่วยเหลือผมเบื้องต้นด้วยซ้ำไป ผมก็ได้แย้งไปว่าคงไม่น่าใช่แบบนั้นมังครับ และเรื่องใบเสร็จที่ได้มาจาก 7-11 ก็เป็นใบเสร็จชั่วคราว ทิ้งไว้นานๆ ตัวหนังสือก็จางไป เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งผมก็คิดว่าเรื่องจบ จึงทิ้งไว้ไหนไม่รู้ เขาก็บอกให้ไปแจ้งความ ตรงนี้เพื่อให้ยืนยันว่าผมเป็นผู้ชำระเงินจริงๆ หาว่าผมชำระช้าด้วยนะ (แล้วผมจะแจ้งว่ายังไงละครับนี่ จะแจ้งยอดไหน ยอดที่ขอคืน?)
ท้ายสุด ติดใจข้อความที่จะต้องเขียนคำร้องลงไป ผมก็สงสัยว่า ตรวจสอบไม่ได้หรือครับ ว่าเป็นเงินที่ต้องคืนผมจริงๆ (ชำระไว้เกิน-ผมเองไม่ทราบ เนื่องจากเป็นบัตรของพี่ชายและเสียชีวิตไปแล้ว) หรือเป็นเงินที่โอนผิดพลาด หรือคีย์ผิด (ตามที่พนักงานกล่าวอ้างมา ว่าเคยเกิดขึ้นแล้ว) หากเป็นจริงในกรณีหลัง จะพิสูจน์ยังไง เป็นภาระของใคร ใครรู้ช่วยแนะนำผมหน่อยเถอะ ผมเองไม่อยากยุ่งยากในอนาคต