เพราะทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม จนนักธุรกิจเขาทนไม่ไหว/พยุงศักดิ์รุกผู้ว่าแบงก์ชาติ นัดถก 30 เมษาฯ บี้ลดดอกเบี้ย1%

กระทู้สนทนา
ต้องรอให้เสียหายมากกว่านี้ใช่ไหมถึงจะกระเตื้อง ไอ้การทำงานแบบอืดอาดยืดยาดเช้าชามเย็นชาม วิสัยทัศน์สั้นจนมองไม่ออกแล้วชะล่าใจ สุดท้ายผลกระทบก็บังเกิดและทีท่ามากขึ้น..

คือคนมีวิสัยทัศน์มันต้องอ่านขาดตั้งแต่เห็นเมฆเค้ามาแต่ไกลแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น...แต่นี่เอ้อละเหยลอยชายทำทองไม่รู้ร้อน  จนตอนนี้นักธุรกิจเขาต้องออกมาเองแล้วยังไง หึ ....ใครเลือกมาเป็น ผู้ว่า ธปท.วะ ไม่ได้เรื่อง


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1367207914&grpid=00&catid=&subcatid=
พยุงศักดิ์รุกผู้ว่าแบงก์ชาติ นัดถก 30 เมษาฯ แก้บาทแข็ง-บี้ลดดอกเบี้ย1%

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 11:12:38 น.

แบงก์ชาติประสาน ธ.พาณิชย์อุ้มเอสเอ็มอี ช่วยรับประกันความเสี่ยงเงื่อนไขผ่อนปรน ′พยุงศักดิ์′ถกผู้ว่าการ ธปท. 30 เม.ย.

@ จี้แบงก์พาณิชย์ดูแลเอสเอ็มอี

เมื่อวันที่ 28 เมษายน รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท ธปท.ได้ประสานไปยังธนาคารพาณิชย์ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (เฮดจิ้ง) ที่มีความเหมาะสมและขนาดเล็กลงเพื่อรองรับกลุ่มเอสเอ็มอี และอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่ได้เงินตราต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องแลกเป็นเงินบาทโดยทันที สามารถฝากไว้บัญชีเงินตราต่างประเทศ (เอฟซีดี) และขอให้ผ่อนผันการคิดค่าธรรมเนียมลงในช่วงนี้ ซึ่งทางธนาคารพาณิชย์หลายแห่งก็ได้นำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณา

@ "พาณิชย์"เน้นช่วยลดต้นทุน

นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะเน้นในเรื่องการลดอุปสรรคขั้นตอนการนำเข้าวัตถุดิบและส่งออกสินค้า การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเปิดตลาดต่างประเทศ และเพิ่มมูลค่าการค้า ซึ่งไม่ใช่แค่ผลกระทบจากค่าบาทแข็ง แต่เป็นผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยง อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้ายังไม่ฟื้นตัว จะหารือกันว่าทำอย่างไรที่เพื่อเจาะตลาดและผลักดันสินค้าแต่ละอุตสาหกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคเอกชนแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหายอดส่งออกลดลงในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ โดยเฉพาะในกลุ่ม 20 อันดับแรก ได้ทยอยรวบรวมปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขที่ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลือ มีอาทิ 1.สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เสนอให้ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับโลก และสนับสนุนทั้งการสร้างแรงงาน หาวัตถุดิบราคาถูก 2.สินค้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เสนอให้มุ่งเน้นลดปัญหาสุขอนามัยเลี้ยงกุ้ง ยกระดับเป็นฟาร์มมาตรฐาน ขยายตลาดเพิ่มในจีน ยุโรปตะวันออก และรัสเซีย จากตลาดเดิมสหรัฐ ญี่ปุ่น อังกฤษ

@ อุตฯชิ้นส่วนรถถูกตีตลาด

3.สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ต้องการให้หาตลาดใหม่ในอินเดีย ตะวันออกลาง อาเซียน และรัสเซีย จากเดิมตลาดส่งออกไปสหรัฐ ฮ่องกง จีน และมาเลเซีย ตั้งองค์กรดูแลด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริหารโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่ม 4.ผลิตภัณฑ์ยาง เสนอให้ส่งเสริมการเป็นผู้นำผลิตยางรถยนต์ของโลก และสนับสนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อโลกสีเขียว โดยตลาดหลักนำเข้าคือ จีน สหรัฐ และญี่ปุ่น 5.สินค้าเครื่องนุ่งห่ม ขอสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ต้นทุนผลิตสูงกว่าคู่แข่งมาก โดยเฉพาะจีน เวียดนาม อินเดีย และบังกลาเทศ ขาดแคลนเงินทุนเพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรลดปัญหาค่าแรงแพงและขาดแคลนแรงงาน

6.สินค้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ปัญหาคือบาทแข็งขึ้น ทำให้การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ที่มีราคาถูกกว่าเข้ามาแข่งขันกับผลิตอุปกรณ์ในประเทศ ไม่มีศูนย์กระจายสินค้าในต่างประเทศ และราคาแข่งขันไม่ได้จากบาทแข็ง โดยเสนอขยายตลาดไปอาเซียน แอฟริกา ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ผลักดันให้ผู้ผลิตส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ รวมตัวเป็นคลัสเตอร์สร้างอำนาจต่อรองทางการค้าและลดต้นทุนการผลิต

@ กสิกรฯประเมินค่าบาท

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาทต่อการส่งออกข้าว และอาจส่งผลต่อโครงการรับจำนำข้าวเปลือกว่า ยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเงินเพียงพอใช้รับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/56 รอบ 2 และตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อนจนถึงขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวในสต๊อกและมีเงินส่งคืนคลังแล้วเกือบ 80,000 ล้านบาท

โดยไตรมาสแรกปี 2556 ส่งคืนแล้วราว 40,000 ล้านบาท จนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะสามารถส่งเงินคืนคลังได้ใกล้เคียงกับแผนที่วางไว้ แม้เงินบาทที่แข็งค่าอาจทำให้รายได้จากการขายของไทยลดลงไปบ้าง แต่หากมีการแก้ปัญหาได้เร็วแผนการคืนเงินให้กระทรวงการคลังก็ไม่น่าจะได้รับกระทบ

ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ระหว่างวันที่ 29 เมษายน-3 พฤษภาคม ว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทน่าจะอยู่ในกรอบ 28.90-29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปลายสัปดาห์ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 29.36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี หลังจากนายกิตติรัตน์

ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาท โดยระบุว่ายังไม่มีมาตรการในขณะนี้ แต่พร้อมจะใช้มาตรการหากจำเป็น ค่าเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 29.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังตลาดการเงินในประเทศปิดทำการแล้ว

@ ส.อ.ท.ถกแบงก์ชาติ30เม.ย.

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในวันที่ 30 เมษายน จะเข้าหารือร่วมกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. เพื่อหารือปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท โดย ส.อ.ท.จะเสนอ 5 มาตรการ ตามที่แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าครอบคลุมแล้วคงไม่เสนอมาตรการใดเพิ่มอีก อาทิ ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1% การควบคุมเงินทุนไหลเข้าออก

"เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกิดปัญหาเงินบาทแข็งค่า ส.อ.ท.เคยเสนอมาตรการไปแล้ว ซึ่งรวม 5 ข้อครั้งนี้ด้วย แต่ ธปท.ไม่ขับเคลื่อนเลย ดังนั้น อยากให้ลองพิจารณาอีกครั้ง" นายพยุงศักดิ์กล่าว

@ จี้ธปท.ศึกษาคู่แข่งคุมค่าเงิน

นายพยุงศักดิ์กล่าวว่า ขณะที่ประเทศคู่แข่งด้านการส่งออกของไทย อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ต่างดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าได้ ดังนั้น ธปท.ต้องศึกษาและดำเนินนโยบายกับประเทศไทยให้ได้ นอกจากนี้ บางประเทศอย่างไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ยังสามารถดำเนินนโยบายให้เงินตราของประเทศมีค่าเงินที่อ่อนค่าลง ธปท.ควรดูเป็นตัวอย่างเช่นกัน

นายพยุงศักดิ์กล่าวด้วยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทกลับไปอ่อนค่าทะลุระดับ 29.00-29.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เป็นผลจากคำเตือนถึงการแข็งค่ามากเกินปัจจัยพื้นฐานของเงินบาทจาก ธปท. ส่งผลกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อคืนเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่กลุ่มผู้นำเข้ามีความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายเดือนด้วยเช่นกัน แต่สัปดาห์นี้ยังคงต้องจับตากระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สัญญาณการดูแลความเคลื่อนไหวของเงินบาทและปัจจัยในต่างประเทศด้วย




(ที่มา:ข่าวหน้า 1 มติชนรายวัน 29 เมษายน 2556)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่