นางฟ้า
ปฏิเสธยากจริง ๆ ว่าอาชีพแอร์โฮสเตส ยังคงเป็นอาชีพในฝันอันดับต้น ๆ ของเด็กสาวทั่วโลก แม้ในปัจจุบันมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่ออาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะเปลี่ยนไปจากอดีตแล้วก็ตาม ในสมัยก่อน การเดินทางโดยเครื่องบินเหมือนจะถูกผูกขาดโดยคนในสังคมชั้นสูง ที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจ่าย เพื่อซื้อเวลา และความสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะค่าตอบแทนที่จะต้องจ่ายให้ไป มากโขอยู่ทีเดียว ประชาชนคนทั่วไปมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ใช้บริการ ได้สัมผัสกับเครื่องบิน และคนการบินจริง ๆ
ภาพที่คนทั่วไปเห็น แอร์ สจ๊วต จะเป็นกลุ่มคนที่มี รูปลักษณ์และบุคลิกภาพค่อนข้างดี ใส่เครื่องแบบ แต่งหน้า ทำผมงดงาม สวยกริ๊บตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก มีเงินใช้สอยสบายมือ ใช้ชีวิตอยู่บนฟ้า บินไป แล้วก็บินมา จนนั่นอาจจะเป็นที่มาของคำเรียกขานที่สวยหรู ว่า "นางฟ้า"
ในสมัยก่อน การเดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้แพร่หลาย และมีทางเลือกมากมายเช่นในทุกวันนี้ สายการบินที่ให้บริการในแต่ละประเทศก็มีน้อย จำนวนนางฟ้า นางสวรรค์ก็เลยมีจำนวนน้อยตามไปด้วย ทำให้อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก เป็นอาชีพที่ดูเหมือนจะเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป
แอร์โฮสเตส ไม่ใช่อาชีพในฝันของฉัน เพราะฉันเป็นคนหนึ่งที่มองว่าการสมัครสอบแอร์ยากพอ ๆ กับการประกวดนางงามเลยทีเดียว นั่นเกิดจากภาพที่ฉันเห็น จากสิ่งที่ฉันได้ยินจากคำบอกเล่าของคนที่เคยมีประสบการณ์ และเคยผิดหวัง ซำ้แล้วซ้ำเล่า และอีกอย่าง ฉันไม่ได้เสียเวลาสี่ปีเรียนมาเพื่อจะเป็นแอร์
ฉันเป็นสาวนักบัญชี ลูกแม่โดม ที่ชื่นชอบภาษาอังกฤษ ที่ตัดสินใจเรียนบัญชี เพราะพ่อแม่ที่เคารพอยากให้เรียน และมองว่า วิชาการบัญชีเป็นวิชาชีพที่หางานได้ง่าย องค์กรไหน ๆ ก็ต้องจ้างนักบัญชี ยังไงชาตินี้ฉันไม่ตกงานแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น ยังไม่ทันพ้นรั้วมหาลัย ฉันก็ได้รับการตอบรับจากบริษัทรับตรวจสอบบัญชีชื่อดังหนึ่งในห้าของโลก ฟังดูยิ่งใหญ่ และก็แสนจะน่าภาคภูมิใจ
งานแรกในชีวิตของฉันในฐานะผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี ก็เหมือนกับนักบัญชีทั่ว ๆ ไป ที่ส่วนใหญ่ต้องมุดหัวอยู่ในเอกสารกองโตตั้งแต่เช้าจรดเย็น นาน ๆ ครั้งก็ไปพูดคุยกับลูกค้า ถามหาที่มาที่ไปของตัวเลขที่ปรากฎอยู่ในงบการเงิน เป็นอย่างนี้ตลอดทุกวัน ทั้งสัปดาห์ แต่ผู้ตรวจสอบบัญชีดีกว่านักบัญชีหน่อย ตรงที่ เราสวมหมวกผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่ผู้ถูกตรวจสอบ ความกดดันจากการถูกตั้งคำถามก็จะไม่มี แต่ความกดดันจากการเป็นเหตุให้ลูกค้าเสียอารมณ์จากการถูกตั้งคำถามนี่สิ รับไปเต็ม ๆ
เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ อาจไม่รู้สึกกดดันเหมือนกับฉัน บางคนอาจจะชอบความรู้สึกของการเป็นผู้ตั้งคำถาม สอบ เค้น ให้ผู้อื่นรู้สึกจนมุม รู้สึกถึงความมีอำนาจในการชี้ผิดชี้ถูกผู้อื่น (ความจริงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่อคติทำให้ฉันคิดอย่างนั้น) แต่ไม่ใช่ฉัน ฉันจะอึดอัดทุกครั้งที่ต้องไปตั้งคำถามทำนองจับผิด เพื่อหาที่มาที่ไปของตัวเลขบางตัวกับลูกค้า ถึงลูกค้าบางคนจะเข้าใจ แต่ฉันก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี (เว่อร์เนอะ)
นานวันเข้า ความรู้สึกเหล่านี้มันสะสม บวกกับการที่จะต้องผจญสภาพการจราจรที่แสนจะวิปริตของกรุงเทพ ยิ่งในช่วงหน้างบ(ช่วงปิดบัญชี) ต้องทำงานถึงดึกดื่น ค่อนคืน พูดจากับเพื่อนร่วมงานแทบจะนับคำได้ เพราะทุกคนต่างก็ต้องก้มหน้างุด ๆ ตรวจสอบเอกสารกองโตให้เสร็จทันเวลา จนฉันรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ทำไมฉันหาความสุขจากการทำงานนี้ได้น้อยเหลือเกิน เชื่อมั้ยว่า ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ผ่านบ้านเรือนสองข้างทาง เห็นครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า บ้างจูงลูกเดินเล่น บ้าง ตั้งโต๊ะกินข้าวกันหน้าบ้านให้คนสัญจรไปมาอิจฉาเล่น ฉันถึงกับน้ำตาซึม ป่านนี้แล้วฉันยังต้องนั่งรถติด สูดควันพิษอยู่บนรถเมล์อยู่เลย ใจฉันมันหดหู่มาก ไร้สุขสิ้นดี ฉันจึงตัดสินใจลาออก ยอมทิ้งเงินเดือนที่ค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับคนทำงานออฟฟิศทั่วไป ทิ้งเพื่อนร่วมงานน่ารัก ๆ ทิ้งบริษัทระดับโลก มารับจ๊อบก๊อกแก๊ก เป็นนายตัวเอง รับทำบัญชี จดทะเบียน จ่ายภาษีไปตามเรื่อง
เพราะฉันเป็นนักบัญชี ผีงานบัญชีก็เลยตามมาหลอกหลอนฉันไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับสรรพากร คุณเชื่อมั้ย สรรพากรสามารถเรียกตรวจสอบงานของคุณย้อนหลังได้ถึงห้าปี พระเจ้า แค่ต้นปีปลายปีฉันยังจำไม่ค่อยจะได้ พี่แกถามเกี่ยวกับตัวเลขเมื่อสามปีก่อน ใครจะไปจำได้ เป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ จากลูกค้ารายนั้นเป็นรายนี้ และทุกครั้งที่มีปัญหา ฉันก็จะเครียด และไม่ชอบอาชีพนี้เข้าไปทุกที ทั้ง ๆ ที่รายได้ที่ได้จากงานบัญชีค่อนข้างสูงมากทีเดียวถ้าเทียบกับ input ที่ฉันใส่ลงไป
ในที่สุด ความอดทนของชั้นก็สิ้นสุดอีกครั้ง (หรือฉันจะเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ) ฉันค้นพบว่า ฉันไม่เหมาะกับการเป็นนักบัญชีเลย อาชีพนักบัญชี เป็นอาชีพที่ดี ให้ผลตอบแทนสูงมาก เป็นที่นับหน้าถือตา ลูกค้าให้ความเชื่อถือ แต่ฉันไม่มีความสุข เงินและเกียรติที่ได้รับเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขกับการทำงาน จนฉันต้องหันกลับมามองตัวเองใหม่ว่าฉันต้องการอะไร
สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจมาก ๆ คือ ฉันชอบภาษา ฉันมีความสุขกับการเรียนภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ชอบพูด ชอบฟัง ฉันรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ไพเราะ ดังนั้น ฉันจึงเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแผนการศึกษา เพื่อสร้าง profile ใหม่ให้กับตัวเอง ถ้าฉันยังถือปริญญาบัญชีบัณฑิต งานต่อ ๆ ไปของฉันก็คงไม่พ้นงานบัญชี ฉันจึงต้องคว้าปริญญาสาขาอื่นมาใช้เป็นใบเบิกทางสู้โลกใหม่ ฉันเลือกเรียนปริญญาโทสาขาภาษาอังกฤษเฉพาะทางที่มหาวิทยาลัยของรัฐย่านบางเขน เพราะฉันจะผันตัวไปเป็นนักแปลอาชีพ หลังจากที่เคยรับงาน freelance จากหน่วยงานในกระทรวงศึกษา ฯ มาบ้าง ที่นี่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้ฉันมองเห็นเส้นทางสู่โลกใบใหม่
เพื่อนร่วมรุ่นที่มหาลัยแห่งนี้ มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ และหนึ่งในนั้นเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง พี่เค้าทำให้ฉันมองเห็นว่าอาชีพแอร์โฮสเตสเป็นอาชีพที่จับต้องได้ บวกกับฉันได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน และได้รู้ว่าเธอคนนั้นก็เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินต่างชาติแห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน นั่นทำให้ฉันเริ่มหันมามองอาชีพแอร์โฮสเตสอย่างจริงจัง
ฉันเริ่มมองหาข้อมูลในอินเตอร์เนต ศึกษาเกี่ยวกับการเปิดรับสมัครของสายการบินต่าง ๆ การเตรียมพร้อมก่อนการสมัคร และประสบการณ์ของรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ ได้เป็นนางฟ้าสมใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ซ้อมว่ายน้ำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบคัดเลือก และ ในที่สุด วันที่รอคอยก็มาถึง สายการบินชื่อดังได้เปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหลังจากที่ไม่ได้เปิดรับสมัครมากว่า 2 ปี
ในครั้งนั้น บริษัทเปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหรือลูกเรือ จำนวน 500 กว่าคน การรับสมัครเป็นที่สนใจของสาว ๆ หนุ่ม ๆ จำนวนมากผู้สมัครหลายพันคนมาจากทั่วประเทศ บางคนเปิดห้องในโรงแรมที่เปิดรับสมัครเพื่อลงมาต่อคิวยื่นใบสมัครตั้งแต่ตีสี่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฉันเป็นอีกคนที่ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อแต่งหน้าทำผมให้เข้าตากรรมการ และมายืนต่อคิวกับเพื่อนสนิทที่ฉันลากมาสมัครเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เช้า ขนาดตื่นตั้งแต่ตีห้า กว่าฉันจะได้ยื่นใบสมัคร เข้าไปยืนหมุนซ้ายหมุนขวา โชว์ตัวกับท่านกรรมการทั้งหลาย ก็ปาเข้าไป สี่โมงเย็น
ประสบการณ์การสมัครงานครั้งนั้นเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริง ๆ สาว ๆ ทั้งงามน้อย งามมาก จากทั่วประเทศแต่งตัวมาประชันกัน บ้างก็มีผู้ปกครองที่แต่งตัวมาเป็นเพื่อนคุณลูก มาเป็นกำลังใจให้ เพื่อนสาวรวมกลุ่มกันมาสมัครคุยกันอย่างออกรส ในห้องน้ำหญิงเต็มไปด้วยนกหงส์หยก ยืนเรียงกันเต็มพื้นที่ส่องกระจกแต่งหน้าทำผม ด้านนอกก็มีโมเดลลิ่งหัวใส มาตามขอถ่ายรูปสาว ๆ สวย ๆ แจกนามบัตร นัดเทสหน้ากล้องแบบไม่ต้องลงทุนไปเดินตามหาให้เมื่อย สาว ๆ หลายคนเดินร้องไห้ไม่อายใครออกมาจากห้องรับสมัคร เพราะเอกสารไม่ครบถ้วน เป็นมหกรรมการสมัครงานที่อลม่านใช้ได้ทีเดียว
หลังจากไปรอหลังขดหลังแข็งอยู่ทั้งวันเพื่อยื่นใบสมัคร ก็ต้องกลับมาลุ้นต่อที่บ้านว่า ผ่านการคัดเลือกหรือไม่ ตอนลุ้นผลทางอินเตอร์เนต ก็ทั้งตื่นเต้นทั้งระทึก ประหนึ่งว่าสอบเอนทรานซ์อีกรอบ พอผ่านรอบแรก ก็มาถึงรอบสองที่เป็นการสอบแข่งขัน โดยแบ่งเป็น การสอบ attitude, aptitude, ความรู้ทั่วไป และ ภาษาอังกฤษ วันสอบก็มีประสบการณ์ขำ ๆ ที่ลืมไม่ลงอีกเหมือนกัน คือ หลังสอบภาษาอังกฤษ ระหว่างรอสอบวิชาต่อไปฉันและเพื่อนนั่งพักอยู่ข้าง ๆ คุณแม่ท่านหนึ่ง ท่านหันมาถามพวกเราว่าสอบภาษาอังกฤษเป็นยังไงบ้าง ก็ตอบท่านไปว่าฟังยากค่ะ ท่านก็ถามว่าจบจากที่ไหน ก็ตอบไป ท่านก็พยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วบอกว่า อย่างนี้แหละจ้ะมหาวิทยาลัยของรัฐ ภาษาจะแข็งแรงสู้เอกชนไม่ได้ ลูกสาวแม่จบ ... เราสองคนก็มองหน้ากัน แล้ว...(เอิ่ม... ฟังยากเพราะระบบเสียงไม่ดีค่ะ แต่พวกหนูฟังรู้เรื่องนะคะ) เรื่องนี้เก็บมาเม้าท์กับเพื่อนทีไร ขำทุกที อย่างนี้ก็มีด้วย
ผ่านรอบสองเข้ามาถึงรอบสัมภาษณ์ ซึ่งถือเป็นรอบชี้ชะตา ฉันว่ารอบนี้ผู้สมัครต้องบนทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคนศักดิ์สิทธิ์กันเป็นการใหญ่ ส่วนฉันน่ะนะ สวดคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกวันเช้าเย็น ตั้งแต่ประกาศเปิดรับสมัครแล้ว เขาเรียกว่า เอาคุณพระเข้าข่ม ในห้องสัมภาษณ์จะมีกรรมการประมาณ 4-5 ท่านผลัดกันตั้งคำถาม ทั้งไทยทั้งอังกฤษสลับกันไป ใครเขียนอะไรไว้ในใบสมัคร จะต้องมาพิสูจน์ตัวเองกันตอนนี้แหละ ฉันต้องร้องเพลงที่เคยประกวดตอนเด็ก ๆ ให้กรรมการทั้งห้าท่านฟัง พร้อมทั้งต้องบอกสูตรและขั้นตอนการทำขนมเป็นภาษาอังกฤษ ฉันว่าต้องมีใครสักคนรำมโนราห์โชว์กรรมการแหง๋ ๆ เพราะฉะนั้นขอเตือนไว้ก่อนว่าจะเขียนอะไรลงไป ต้องมั่นใจว่าเราพร้อมให้เค้าพิสูจน์นะจ๊ะ เกิดโม้เกินจริงมากไปเดี๋ยวจะเสียคะแนน พอผ่านรอบสัมภาษณ์ฉันกับเพื่อนก็เตรียมฉลองใหญ่ละ เพราะขั้นตอนต่อ ๆ ไป เป็นเรื่องของความพร้อมของร่างกาย ซึ่งผ่านกันแทบทุกคน ซึ่งในที่สุด หนอนน้อยก็ได้กลายเป็นผีเสื้อสมใจ
พวกเราต้องเข้ารับการอบรมประมาณ 10 สัปดาห์ เรียนรู้ทั้งเรื่องการบริการบนเครื่องบิน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน การรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินรูปแบบต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่องบุคลิกภาพ การแต่งหน้า ทำผม เพื่อสร้างภาพลักษ์ที่ดีให้กับอาชีพ และองค์กร
ฉันก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ค่อยได้เดินทางโดยเครื่องบิน ภาพของแอร์โฮสเตสในสายตาของฉันคือ สาว ๆ น่าตาดี ใจดี ยิ้มเก่ง คอยแนะนำและให้บริการ ช่วยเหลือเวลาที่เราอยู่ในเครื่องบิน ตามคอนเซปของนางฟ้า เป็นอาชีพที่มีเกียรติ น่าอิจฉา และเมื่อฉันได้เข้ามาสัมผัส ได้สวมหมวกใบใหม่ จากผู้โดยสาร มาเป็นแอร์โฮสเตส ความรู้สึกของฉันก็ยังคล้าย ๆ เดิมนะ
บินไป...บ่นไป...
ปฏิเสธยากจริง ๆ ว่าอาชีพแอร์โฮสเตส ยังคงเป็นอาชีพในฝันอันดับต้น ๆ ของเด็กสาวทั่วโลก แม้ในปัจจุบันมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่ออาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะเปลี่ยนไปจากอดีตแล้วก็ตาม ในสมัยก่อน การเดินทางโดยเครื่องบินเหมือนจะถูกผูกขาดโดยคนในสังคมชั้นสูง ที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจ่าย เพื่อซื้อเวลา และความสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะค่าตอบแทนที่จะต้องจ่ายให้ไป มากโขอยู่ทีเดียว ประชาชนคนทั่วไปมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ใช้บริการ ได้สัมผัสกับเครื่องบิน และคนการบินจริง ๆ
ภาพที่คนทั่วไปเห็น แอร์ สจ๊วต จะเป็นกลุ่มคนที่มี รูปลักษณ์และบุคลิกภาพค่อนข้างดี ใส่เครื่องแบบ แต่งหน้า ทำผมงดงาม สวยกริ๊บตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก มีเงินใช้สอยสบายมือ ใช้ชีวิตอยู่บนฟ้า บินไป แล้วก็บินมา จนนั่นอาจจะเป็นที่มาของคำเรียกขานที่สวยหรู ว่า "นางฟ้า"
ในสมัยก่อน การเดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้แพร่หลาย และมีทางเลือกมากมายเช่นในทุกวันนี้ สายการบินที่ให้บริการในแต่ละประเทศก็มีน้อย จำนวนนางฟ้า นางสวรรค์ก็เลยมีจำนวนน้อยตามไปด้วย ทำให้อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก เป็นอาชีพที่ดูเหมือนจะเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป
แอร์โฮสเตส ไม่ใช่อาชีพในฝันของฉัน เพราะฉันเป็นคนหนึ่งที่มองว่าการสมัครสอบแอร์ยากพอ ๆ กับการประกวดนางงามเลยทีเดียว นั่นเกิดจากภาพที่ฉันเห็น จากสิ่งที่ฉันได้ยินจากคำบอกเล่าของคนที่เคยมีประสบการณ์ และเคยผิดหวัง ซำ้แล้วซ้ำเล่า และอีกอย่าง ฉันไม่ได้เสียเวลาสี่ปีเรียนมาเพื่อจะเป็นแอร์
ฉันเป็นสาวนักบัญชี ลูกแม่โดม ที่ชื่นชอบภาษาอังกฤษ ที่ตัดสินใจเรียนบัญชี เพราะพ่อแม่ที่เคารพอยากให้เรียน และมองว่า วิชาการบัญชีเป็นวิชาชีพที่หางานได้ง่าย องค์กรไหน ๆ ก็ต้องจ้างนักบัญชี ยังไงชาตินี้ฉันไม่ตกงานแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น ยังไม่ทันพ้นรั้วมหาลัย ฉันก็ได้รับการตอบรับจากบริษัทรับตรวจสอบบัญชีชื่อดังหนึ่งในห้าของโลก ฟังดูยิ่งใหญ่ และก็แสนจะน่าภาคภูมิใจ
งานแรกในชีวิตของฉันในฐานะผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี ก็เหมือนกับนักบัญชีทั่ว ๆ ไป ที่ส่วนใหญ่ต้องมุดหัวอยู่ในเอกสารกองโตตั้งแต่เช้าจรดเย็น นาน ๆ ครั้งก็ไปพูดคุยกับลูกค้า ถามหาที่มาที่ไปของตัวเลขที่ปรากฎอยู่ในงบการเงิน เป็นอย่างนี้ตลอดทุกวัน ทั้งสัปดาห์ แต่ผู้ตรวจสอบบัญชีดีกว่านักบัญชีหน่อย ตรงที่ เราสวมหมวกผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่ผู้ถูกตรวจสอบ ความกดดันจากการถูกตั้งคำถามก็จะไม่มี แต่ความกดดันจากการเป็นเหตุให้ลูกค้าเสียอารมณ์จากการถูกตั้งคำถามนี่สิ รับไปเต็ม ๆ
เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ อาจไม่รู้สึกกดดันเหมือนกับฉัน บางคนอาจจะชอบความรู้สึกของการเป็นผู้ตั้งคำถาม สอบ เค้น ให้ผู้อื่นรู้สึกจนมุม รู้สึกถึงความมีอำนาจในการชี้ผิดชี้ถูกผู้อื่น (ความจริงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่อคติทำให้ฉันคิดอย่างนั้น) แต่ไม่ใช่ฉัน ฉันจะอึดอัดทุกครั้งที่ต้องไปตั้งคำถามทำนองจับผิด เพื่อหาที่มาที่ไปของตัวเลขบางตัวกับลูกค้า ถึงลูกค้าบางคนจะเข้าใจ แต่ฉันก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี (เว่อร์เนอะ)
นานวันเข้า ความรู้สึกเหล่านี้มันสะสม บวกกับการที่จะต้องผจญสภาพการจราจรที่แสนจะวิปริตของกรุงเทพ ยิ่งในช่วงหน้างบ(ช่วงปิดบัญชี) ต้องทำงานถึงดึกดื่น ค่อนคืน พูดจากับเพื่อนร่วมงานแทบจะนับคำได้ เพราะทุกคนต่างก็ต้องก้มหน้างุด ๆ ตรวจสอบเอกสารกองโตให้เสร็จทันเวลา จนฉันรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ทำไมฉันหาความสุขจากการทำงานนี้ได้น้อยเหลือเกิน เชื่อมั้ยว่า ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ผ่านบ้านเรือนสองข้างทาง เห็นครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า บ้างจูงลูกเดินเล่น บ้าง ตั้งโต๊ะกินข้าวกันหน้าบ้านให้คนสัญจรไปมาอิจฉาเล่น ฉันถึงกับน้ำตาซึม ป่านนี้แล้วฉันยังต้องนั่งรถติด สูดควันพิษอยู่บนรถเมล์อยู่เลย ใจฉันมันหดหู่มาก ไร้สุขสิ้นดี ฉันจึงตัดสินใจลาออก ยอมทิ้งเงินเดือนที่ค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับคนทำงานออฟฟิศทั่วไป ทิ้งเพื่อนร่วมงานน่ารัก ๆ ทิ้งบริษัทระดับโลก มารับจ๊อบก๊อกแก๊ก เป็นนายตัวเอง รับทำบัญชี จดทะเบียน จ่ายภาษีไปตามเรื่อง
เพราะฉันเป็นนักบัญชี ผีงานบัญชีก็เลยตามมาหลอกหลอนฉันไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับสรรพากร คุณเชื่อมั้ย สรรพากรสามารถเรียกตรวจสอบงานของคุณย้อนหลังได้ถึงห้าปี พระเจ้า แค่ต้นปีปลายปีฉันยังจำไม่ค่อยจะได้ พี่แกถามเกี่ยวกับตัวเลขเมื่อสามปีก่อน ใครจะไปจำได้ เป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ จากลูกค้ารายนั้นเป็นรายนี้ และทุกครั้งที่มีปัญหา ฉันก็จะเครียด และไม่ชอบอาชีพนี้เข้าไปทุกที ทั้ง ๆ ที่รายได้ที่ได้จากงานบัญชีค่อนข้างสูงมากทีเดียวถ้าเทียบกับ input ที่ฉันใส่ลงไป
ในที่สุด ความอดทนของชั้นก็สิ้นสุดอีกครั้ง (หรือฉันจะเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ) ฉันค้นพบว่า ฉันไม่เหมาะกับการเป็นนักบัญชีเลย อาชีพนักบัญชี เป็นอาชีพที่ดี ให้ผลตอบแทนสูงมาก เป็นที่นับหน้าถือตา ลูกค้าให้ความเชื่อถือ แต่ฉันไม่มีความสุข เงินและเกียรติที่ได้รับเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขกับการทำงาน จนฉันต้องหันกลับมามองตัวเองใหม่ว่าฉันต้องการอะไร
สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจมาก ๆ คือ ฉันชอบภาษา ฉันมีความสุขกับการเรียนภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ชอบพูด ชอบฟัง ฉันรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ไพเราะ ดังนั้น ฉันจึงเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแผนการศึกษา เพื่อสร้าง profile ใหม่ให้กับตัวเอง ถ้าฉันยังถือปริญญาบัญชีบัณฑิต งานต่อ ๆ ไปของฉันก็คงไม่พ้นงานบัญชี ฉันจึงต้องคว้าปริญญาสาขาอื่นมาใช้เป็นใบเบิกทางสู้โลกใหม่ ฉันเลือกเรียนปริญญาโทสาขาภาษาอังกฤษเฉพาะทางที่มหาวิทยาลัยของรัฐย่านบางเขน เพราะฉันจะผันตัวไปเป็นนักแปลอาชีพ หลังจากที่เคยรับงาน freelance จากหน่วยงานในกระทรวงศึกษา ฯ มาบ้าง ที่นี่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้ฉันมองเห็นเส้นทางสู่โลกใบใหม่
เพื่อนร่วมรุ่นที่มหาลัยแห่งนี้ มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ และหนึ่งในนั้นเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง พี่เค้าทำให้ฉันมองเห็นว่าอาชีพแอร์โฮสเตสเป็นอาชีพที่จับต้องได้ บวกกับฉันได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน และได้รู้ว่าเธอคนนั้นก็เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินต่างชาติแห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน นั่นทำให้ฉันเริ่มหันมามองอาชีพแอร์โฮสเตสอย่างจริงจัง
ฉันเริ่มมองหาข้อมูลในอินเตอร์เนต ศึกษาเกี่ยวกับการเปิดรับสมัครของสายการบินต่าง ๆ การเตรียมพร้อมก่อนการสมัคร และประสบการณ์ของรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ ได้เป็นนางฟ้าสมใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ซ้อมว่ายน้ำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบคัดเลือก และ ในที่สุด วันที่รอคอยก็มาถึง สายการบินชื่อดังได้เปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหลังจากที่ไม่ได้เปิดรับสมัครมากว่า 2 ปี
ในครั้งนั้น บริษัทเปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหรือลูกเรือ จำนวน 500 กว่าคน การรับสมัครเป็นที่สนใจของสาว ๆ หนุ่ม ๆ จำนวนมากผู้สมัครหลายพันคนมาจากทั่วประเทศ บางคนเปิดห้องในโรงแรมที่เปิดรับสมัครเพื่อลงมาต่อคิวยื่นใบสมัครตั้งแต่ตีสี่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฉันเป็นอีกคนที่ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อแต่งหน้าทำผมให้เข้าตากรรมการ และมายืนต่อคิวกับเพื่อนสนิทที่ฉันลากมาสมัครเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เช้า ขนาดตื่นตั้งแต่ตีห้า กว่าฉันจะได้ยื่นใบสมัคร เข้าไปยืนหมุนซ้ายหมุนขวา โชว์ตัวกับท่านกรรมการทั้งหลาย ก็ปาเข้าไป สี่โมงเย็น
ประสบการณ์การสมัครงานครั้งนั้นเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริง ๆ สาว ๆ ทั้งงามน้อย งามมาก จากทั่วประเทศแต่งตัวมาประชันกัน บ้างก็มีผู้ปกครองที่แต่งตัวมาเป็นเพื่อนคุณลูก มาเป็นกำลังใจให้ เพื่อนสาวรวมกลุ่มกันมาสมัครคุยกันอย่างออกรส ในห้องน้ำหญิงเต็มไปด้วยนกหงส์หยก ยืนเรียงกันเต็มพื้นที่ส่องกระจกแต่งหน้าทำผม ด้านนอกก็มีโมเดลลิ่งหัวใส มาตามขอถ่ายรูปสาว ๆ สวย ๆ แจกนามบัตร นัดเทสหน้ากล้องแบบไม่ต้องลงทุนไปเดินตามหาให้เมื่อย สาว ๆ หลายคนเดินร้องไห้ไม่อายใครออกมาจากห้องรับสมัคร เพราะเอกสารไม่ครบถ้วน เป็นมหกรรมการสมัครงานที่อลม่านใช้ได้ทีเดียว
หลังจากไปรอหลังขดหลังแข็งอยู่ทั้งวันเพื่อยื่นใบสมัคร ก็ต้องกลับมาลุ้นต่อที่บ้านว่า ผ่านการคัดเลือกหรือไม่ ตอนลุ้นผลทางอินเตอร์เนต ก็ทั้งตื่นเต้นทั้งระทึก ประหนึ่งว่าสอบเอนทรานซ์อีกรอบ พอผ่านรอบแรก ก็มาถึงรอบสองที่เป็นการสอบแข่งขัน โดยแบ่งเป็น การสอบ attitude, aptitude, ความรู้ทั่วไป และ ภาษาอังกฤษ วันสอบก็มีประสบการณ์ขำ ๆ ที่ลืมไม่ลงอีกเหมือนกัน คือ หลังสอบภาษาอังกฤษ ระหว่างรอสอบวิชาต่อไปฉันและเพื่อนนั่งพักอยู่ข้าง ๆ คุณแม่ท่านหนึ่ง ท่านหันมาถามพวกเราว่าสอบภาษาอังกฤษเป็นยังไงบ้าง ก็ตอบท่านไปว่าฟังยากค่ะ ท่านก็ถามว่าจบจากที่ไหน ก็ตอบไป ท่านก็พยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วบอกว่า อย่างนี้แหละจ้ะมหาวิทยาลัยของรัฐ ภาษาจะแข็งแรงสู้เอกชนไม่ได้ ลูกสาวแม่จบ ... เราสองคนก็มองหน้ากัน แล้ว...(เอิ่ม... ฟังยากเพราะระบบเสียงไม่ดีค่ะ แต่พวกหนูฟังรู้เรื่องนะคะ) เรื่องนี้เก็บมาเม้าท์กับเพื่อนทีไร ขำทุกที อย่างนี้ก็มีด้วย
ผ่านรอบสองเข้ามาถึงรอบสัมภาษณ์ ซึ่งถือเป็นรอบชี้ชะตา ฉันว่ารอบนี้ผู้สมัครต้องบนทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคนศักดิ์สิทธิ์กันเป็นการใหญ่ ส่วนฉันน่ะนะ สวดคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกวันเช้าเย็น ตั้งแต่ประกาศเปิดรับสมัครแล้ว เขาเรียกว่า เอาคุณพระเข้าข่ม ในห้องสัมภาษณ์จะมีกรรมการประมาณ 4-5 ท่านผลัดกันตั้งคำถาม ทั้งไทยทั้งอังกฤษสลับกันไป ใครเขียนอะไรไว้ในใบสมัคร จะต้องมาพิสูจน์ตัวเองกันตอนนี้แหละ ฉันต้องร้องเพลงที่เคยประกวดตอนเด็ก ๆ ให้กรรมการทั้งห้าท่านฟัง พร้อมทั้งต้องบอกสูตรและขั้นตอนการทำขนมเป็นภาษาอังกฤษ ฉันว่าต้องมีใครสักคนรำมโนราห์โชว์กรรมการแหง๋ ๆ เพราะฉะนั้นขอเตือนไว้ก่อนว่าจะเขียนอะไรลงไป ต้องมั่นใจว่าเราพร้อมให้เค้าพิสูจน์นะจ๊ะ เกิดโม้เกินจริงมากไปเดี๋ยวจะเสียคะแนน พอผ่านรอบสัมภาษณ์ฉันกับเพื่อนก็เตรียมฉลองใหญ่ละ เพราะขั้นตอนต่อ ๆ ไป เป็นเรื่องของความพร้อมของร่างกาย ซึ่งผ่านกันแทบทุกคน ซึ่งในที่สุด หนอนน้อยก็ได้กลายเป็นผีเสื้อสมใจ
พวกเราต้องเข้ารับการอบรมประมาณ 10 สัปดาห์ เรียนรู้ทั้งเรื่องการบริการบนเครื่องบิน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน การรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินรูปแบบต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่องบุคลิกภาพ การแต่งหน้า ทำผม เพื่อสร้างภาพลักษ์ที่ดีให้กับอาชีพ และองค์กร
ฉันก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ค่อยได้เดินทางโดยเครื่องบิน ภาพของแอร์โฮสเตสในสายตาของฉันคือ สาว ๆ น่าตาดี ใจดี ยิ้มเก่ง คอยแนะนำและให้บริการ ช่วยเหลือเวลาที่เราอยู่ในเครื่องบิน ตามคอนเซปของนางฟ้า เป็นอาชีพที่มีเกียรติ น่าอิจฉา และเมื่อฉันได้เข้ามาสัมผัส ได้สวมหมวกใบใหม่ จากผู้โดยสาร มาเป็นแอร์โฮสเตส ความรู้สึกของฉันก็ยังคล้าย ๆ เดิมนะ