ประสบการณ์แย่ๆในลอนดอน เคราะห์ร้ายเจอคนไทยเอาเปรียบ คนไทยด้วยกันเอง!

ขอระบายหน่อยค่ะ ละทิ้งจากงานประจำเพื่อบินมาลอนดอน ประเทศอังกฤษ หวังจะมาเรียนภาษา เที่ยว และเรียนรู้วัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ แต่...... กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำเอาซะเลยในต่างแดน เมื่อไปเจอคนไทย..(คนไทยแท้ๆ) ที่กลับทำร้ายคนไทยด้วยกันซะเอง

วันแรก... ณ สนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย ขึ้นเครื่องเวลา 13.10 น. ได้เจอป้าคนหนึ่งชื่อ "ป้าจิ๋ม" ได้เจอกับป้าจิ๋มที่สนามบินระหว่างรอขึ้นเครื่อง EVA Airline ได้พูดคุยกับป้าจิ๋มจนถูกปากถูกคอ ป๋าจิ๋มเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง ป๋าจิ๋มรับอาสาจะไปส่งยังบ้านพักที่ลอนดอน เมื่อได้เวลาขึ้นเครื่อง เวลาผ่านไปประมาณ 12 ชม. ก็ถึงจุดหมาย นั่นคือ สนามบินฮีทโทรว์  กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ครั้งแรกที่เท้าก้าวลงสู่พื้น ความรู้สึกตื่นเต้นก็บังเกิดขึ้น ป้าจิ๋มเดินไม่ไหวต้องใช้รถเข็น พนักงานต้อนรับจึงเข็นรถป้าจิ๋มไปยังลิฟต์ ส่วนเราเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป เมื่อเดินเข้าสู่ ตม. ตรวจเช็คก่อนเข้าเมืองก็ต้องหยุดชะงัก เนื่องจากทาง ตม.ยังไม่ให้ผ่านเข้าเมือง เพราะติดเรื่องเอกสารจากทางโรงเรียน เค้าว่าสถานที่เรียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลที่เค้ามีอยู่ นั่งอยู่นานกว่า 30 นาที!!  ในใจคิดหวั่น ฤกษ์ไม่ค่อยดีตั้งแต่แรกเข้าเลย แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าผ่านก็เข้าไปเที่ยวอังกฤษ แต่ถ้าไม่ผ่านก็บินกลับบ้านอีก 12 ชม. แค่นั้น!! นั่งรอด้วยความกระวนกระวายใจ แต่สรุปแล้วว่า "ผ่าน"  เป็นอะไรที่โล่งและดีใจมาก คิดอันดับแรก คิดหาป้าจิ๋ม  เพราะเค้าคงจะช่วยเราได้ แต่เมื่อออกไปรับกระเป๋า ปรากฏว่า หากระเป๋าไม่เจอ แล้วกระเป๋าเราอยู่ไหน!! มองไปรอบๆ "อ่าวเวง กระเป๋าวางอยู่ข้างเสา  เหลืออยู่ใบสุดท้าย และใบเดียว"  คือสรุปว่าเค้าผ่านเข้าเมืองไปกันหมดแล้ว และแล้วก็คลาดกันกับป้าจิ๋ม เบอร์ติดต่อเค้าก็ไม่มี เฮ้อ..เศร้า

จากสนามบินฮีทโทรว์...สู่บ้านพักย่าน Putney  ก่อนมาทางเอเจนซี่ได้สอบถามว่า จะให้คนมารับ หรือจะไปเอง เราเลยสอบถามราคาถ้าให้คนมารับราคาเท่าไหร่ คำตอบคือ 80ปอนด์ O_O โอ้วแม่เจ้า เลยตัดสินใจให้คำตอบกับเอเจนซี่ว่าจะไปเอง (ไหนๆก็มาผจญภัยแล้ว หลงก็หลง!!) ทางเอเจนซี่จึงให้แผนที่มา จากนั้นก็เดินทางมาตามแผนที่ โดยการนั่งรถ Underground จาก Heathrow Airport สู่ Hammersmith  แล้วก็นั่งรถบัสสาย 33 อีกที แต่เมื่อตอนอยู่บนรถบัส กระเป๋าแหก!! โอ้ยยย เซ็ง แต่ก็มีสาวฝรั่ง 4 คน มาช่วยกันปล้ำกระเป๋า ทุบๆ กดๆ จนมันปิดได้สนิทดังเดิม (ฝรั่งก็มีน้ำใจไม่แพ้ชาติใดในโลกนะจ๊ะ) นั่งรถบัสผ่านไปประมาณ 30 นาทีก็ถึง  บ้านที่พักเป็นตึก Council เป็นแฟลตของรัฐบาล  ห้องที่เช่าตอนนั้นวีคละ 80ปอนด์  แต่ห้องเล็กมาก  มีแค่เตียงนอน 3 ฟุต โต๊ะ ตู้เสื้อผ้า เล็กจริงๆ มีไว้แค่นอนจริงๆ แคบมากๆๆๆๆๆๆ บ้านแรกที่เข้าพัก มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำแยกจากกัน กลางคืนเวลานอน จะนอนไม่ค่อยหลับ เนื่องจากมีเสียงเคาะ ก้อก ๆ ๆ ๆ ๆ จากทางด้านบนตลอดทั้งคืน ในเวลาตี 2 ตี 3 (ไม่รุ้อะไรมันดัง อีกใจก็กลัวผี! แต่ก็พยายามทำใจไม่กลัว) เจ้าของบ้านที่อยู่เป็นผู้หญิงคนไทย ทำงานร้านอาหารไทย มีแฟนเป็นต่างชาติ และมีลูกชาย 1 คน  บ้านที่อยู่ในตอนนั้น เรามีความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน รู้สึกอึกอัดเอามากๆ เราพยายามเข้ากับลูกชายเค้า (อายุ 11 ขวบ) แต่ดูเหมือนลูกชายเค้าไม่รับเราเลย เวลาน้องเค้าเทนมกินนมตอนเช้า เราเข้าไปช่วย เค้าก็ปัดมือออก พยายามคุยด้วยเค้าก็ไม่คุย (เฮ้อ..) ตอนหลังเราก็เลยไม่เคยคุยด้วยเลย  ..มีอยู่ครั้งนึง ลูกชายเค้าลื่นล้ม นั่งร้องไห้ แม่เค้าปรี่เข้ามาเลย "ถามลูกเป็นอะไร นั่งร้องไห้ทำไม ล้มหรอ ไหนใครทิ้งเศษอะไรไว้แล้วไม่เก็บ มีตาก็ไม่ช่วยกันดู แม่ก็ตาไม่ดี"  (ตอนแรกพี่เค้าเก็บเศษถุงทิ้งไปแล้ว แล้วก็คุ้ยมันออกจากถังขยะเพื่อเอามาดูว่าใครทิ้ง) ความรู้สึกที่อยู่ที่บ้านนี้มันอึดอัดมาก เหมือนเป็นส่วนเกินของครอบครัวเค้าจริงๆ (แล้วจะปล่อยให้เช่าทำไมวะ) เหมือนทำอะไรก็ไม่ถูกใจไปหมด พี่เค้ากลัวว่าเราจะไปใช้เครื่องอาบน้ำของเค้า เค้าเก็บของเค้าเรียบ ก่อนเก็บมีการมาถามว่า "น้องไม่มีที่อุปกรณ์อาบน้ำมาหรอ" (มีเว้ยแต่ไม่เอาออกมาปน!) และเราต้องมาล้างห้องน้ำ ล้างกระจกกั้นอาบน้ำทุกวันๆ น่ารำคาญ เลยตัดสินใจย้ายออก พอออกก็บอกกับเค้าว่าจะย้ายบ้าน โดยขอค่ามัดจำคืน (ตอนนั้นมัดจำไป 160ปอนด์) แต่พี่ ญ ไทย เค้าจะคืนแค่ 80ปอนด์ เนื่องจากเค้าให้เหตุผลว่า "เค้าต้องการคนมาอยู่นานๆ ถ้าเราออกไปเค้าก็จะหาคนมาเช่าห้องใหม่ไม่ได้" (ความผิดตูสิ ว่างั้น) แต่ด้วยความที่อยากจะได้เงินมัดจำเราคืน จึงพูดขอร้อง อ้อนวอน ในที่สุดก็ได้คืน ..เหนื่อยเลย แต่ต้องยอม เพราะนั่นมันเงินเรา!!

เรียนตอนเช้า 09.00-12.15น. คิดหางานทำช่วงบ่าย และได้งานทำ โดยตัดสินใจระหว่าง Live in ร้านาหาร กับ Live in บ้านลินดา แต่ตัดสินใจพลาด ดันไป Live in บ้านลินดา!!


มาเป็นขี้ข้าบ้านลินดา.. Old Street ก่อนหน้าที่จะรู้จักลินดานั้น มีพี่ที่สนิทกันที่อยู่ที่ลอนดอนเค้าแนะนำให้รู้จัก พี่เค้าก็บอกสรรพคุณของลินดาให้ฟังในระดับนึงแล้ว แต่เราคิดว่าไม่เป็นไร คงอยู่ได้ ลินดาทำงานร้านนวดจีน มีลูกชายคนหนึ่งอายุ 5 ขวบ เป็นซิงเกิลมอม วันที่นัดเจอกัน เค้าให้ไปรอที่ร้านนวดย่าน Old Street จากนั้นก็พาเข้าไปดูบ้านและตกลงราคาจ้าง โดยมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเลี้ยงลูกของชี (ใช้แทนว่าชีละกัน) ตกลงกันว่าชีจะต้องให้ค่าจ้างจำนวน 160ปอนด์ต่อวีค ค่ารีดผ้าอีกวีคละ 20ปอนด์ กินอยู่พร้อม เค้าให้เราทำ จันทร์-พฤหัส ถ้าวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ลินดาจะให้พิเศษ เราก็เลยตัดสินใจที่จะทำ เพราะไม่อยากจะอยู่บ้านหลังเดิม  เลยย้ายมาอยู่บ้านลินดา
..แว่บแรกที่คิด คิดว่าลี้ยงเด็ก 5 ขวบน่าจะสบายดี ไม่น่าจะยุ่งอะไรมากมาย แต่เปล่าเลย การเลี้ยงเด็กเป็นงานที่ขยับไปไหนไม่ได้เลย  เราต้องเลี้ยงน้องตลอด ยิ่ง Live in งานยิ่งหนัก น้องก็ดื้อ พูดไม่ค่อยฟัง พูดจาไม่ค่อยดีใส่อีก ใช้คำอิเดียด อารมณ์รุนแรง อะไรไม่พอใจก็เขวี้ยง ผลสุดท้าย พัง!! (เด็กคงติดมาจากเพื่อน แม่ไม่ค่อยดูแล ก็เข้าใจ เราก็ต้องสอนกันไป) และเราต้องคอยรับน้องตอนกลับจากโรงเรียนเวลา 15.10 ของทุกวัน ตอนเย็นต้องทำอาหารให้กิน พาน้องอาบน้ำ เก็บของที่น้องเล่นกระจายไว้ทั่วบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ดูดฝุ่น และพาน้องเข้านอน!  

ได้ทำงานวันแรกคือวันอังคาร (เพราะวันจันทร์มีพี่คนเก่าทำงานอยู่) แค่วันแรกที่เข้ามาทำงาน เพื่อรอรับน้องกลับจากโรงเรียนนั้น พอเปิดประตูบ้านเข้าไป ตกใจ!! มีผู้ชายคนจีนที่ไหนก็ไม่รุ้จักเข้ามานั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน (ลินดาบอกเลิกกับแฟนไปแล้ว แล้วนี่ใครวะ!) รีบคว้าโทรศัพท์บ้านโทรหาลินดา ชีบอกว่าเป็นเพื่อน เค้ามานั่งเล่น แต่ งง เค้ามีกุญแจบ้านด้วยได้ไง แสดงว่าเค้าจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ว่างั้น เมื่อถึงเวลาก็ไปรับน้องกลับจากโรงเรียน คนจีนนี่ก็กลับไปแล้ว พอช่วงเย็นก็มีฝรั่งอีกคน ขึ้นมาที่บ้าน มาพาน้องไปเล่น ก็เลยโทรหาชีอีกรอบว่าใครมา ชีบอกเพื่อนชี ..... วันแรกที่เข้ามาพักที่นีี่ ชีก็ไม่กลับบ้านในคืนนั้น กลับมาในตอนเช้าของอีกวัน และชีก็จะกลับบ้าง ไม่กลับบ้าง อยู่เรื่อยไป เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ
แต่อาทิตย์แรกที่เข้าไปทำงาน ลินดาทำดีกับเรามากๆ จนเรารุ้สึกคิดว่าเลือกถูกแล้วที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ วันเสาร์ก็จะมีลุงฝรั่งอ้วนๆมา ลินดาก็จะทำอาหารให้กิน
ลินดาบอกจะจ่ายเงินให้ในอาทิตย์ถัดไป (หมายถึงว่า เราทำงานอาทิตย์นี้ ไปรับเงินอีกทีอาทิตย์หน้า) แต่เราปรึกษากับพี่สาว  พี่สาวบอกว่า ไม่ได้! ต้องรับเงินต่ออาทิตย์เลย เดี๋ยวมันไม่จ่าย!!  เราเลยต่อรองกับลินดา ว่าขอรับเงินเลยเมื่อทำงานครบวัน  อาทิตย์แรกที่ได้รับเงิน ได้เงิน 135ปอนด์ (มันบอกหักให้คนที่ทำวันจันทร์ไป 35ปอนด์) แต่เราทำอังคารถึงศุกร์ คิดว่ามันก็ 4 วันนี่นาควรจะได้ 160ปอนด์สิ ค่าจ้างรีดผ้า(ผ้าเยอะมากๆ)อีก 20ปอนด์ละ ก็ควรจะได้ 180ปอนด์สิ  แต่ทำไมจ่าย 135ปอนด์  แต่ก็เอ้า ไม่เป็นไร ช่างมัน!

อาทิตย์ที่สอง ได้รับค่าจ้าง 170 ปอนด์   (ลินดาให้ทำงาน จันทร์-ศุกร์ ในวีคนั้น)  แต่ทำไมได้ 170ปอนด์ก็ไม่รุ้ ทั้งๆที่บอกว่าจะให้พิเศษ พอถามก็บอกว่า จะให้ทำรวมวันศุกร์ด้วย (อ้าวแล้วมันเกี่ยวไรแทนที่จะได้เพิ่มกลับลดลง) ชีบอกว่าตอนแรกบอกผิด (มีงี้ด้วย) เราคิดว่าไม่เป็นไรช่างมัน ยังพอรับได้ ก็เลยทนทำไป แต่ก่อนที่จะจ่ายเงิน ทุกวีคๆ จะมีการต่อว่า ว่าๆๆๆๆๆทุกอย่าง ทั้งๆที่เราคิดว่าเราดีที่สุดแล้ว ทำเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่วายโดนด่าโดนว่าสารพัด เซ็งโครตๆ

อาทิตย์ที่สาม ได้เงิน 150ปอนด์ (ลดลงอีกแระ) ลินดาบอกว่าวันศุกร์ไม่ต้องทำงานแล้ว (มาบอกเอาวันพฤหัสตอนเย็น ว่าไม่ต้องทำงานวันพรุ่งนี้ ไปหาจ้อบอื่นทำได้เลย กุคงหาทันหรอกนะห่า) เนื่องจากมีคุณลุงมาอาศัยอยู่กับลูกสาว ซึ่งไปเจอกันที่วัด  ลินดาจึงพามาอยู่ที่บ้าน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยลินดาบอกว่าจะจ้างให้คุณลุงดูน้องแทน โดยลินดาโทรมาเมื่อเย็นวันพฤหัส  พอมืดเราจึงโทรไปถามว่าทำไมต้องจ้างลุงมาแทน แล้วถามลินดาต่อว่า ยังคงจะจ้างอยู่ต่อหรือไม่!! ชีตอบว่าจ้างปกติ จันทร์-พฤหัส แต่วันศุกร์จะให้ลุงดูน้องให้ คิดในใจเออดี จะได้มีเวลาเที่ยว ศ ส อา.. พอถึงเวลารับเงิน กลับได้ 150ปอนด์  จึงถามว่า "อ้าวแล้วทำไมเงินได้แค่นี้ จากที่บอกพร้อมรีดผ้าควรจะ 180ปอนด์  ทำไมได้แค่ 150ปอนด์ ทั้งๆที่ทำ จันทร์-พฤหัส มันตอบว่า  เทอจะมาได้เยอะเหมือนคนอื่นได้ไง เทอมา Live in นะ คนอื่นที่เค้าไปกลับเค้ายังได้แค่วันละ 35ปอนด์เลย มันไม่ได้จ้างลุงเลี้ยงน้องหรอก มันใช้ให้ลุงเลี้ยงน้องแลกกับการอยู่บ้านมั้ง แล้วมันคิดว่ามันอยากจะเอาลูกมันไปปล่อยไว้ที่โรงเรียนประจำในเมืองไทย โดยที่จะให้ลุงเลี้ยง และลุงก็ตกปากรับคำจะเลี้ยงดูให้  (แต่หารุ้ไม่ว่า การเข้ามาอยู่นั้น งานมันเยอะหนักยิ่งกว่าไปกลับอีก กลับกลายเป็นว่าเราต้องมาทำงานบ้านทุกอย่าง จากรีดผ้าน้องอย่างเดียว ก็เอาเสื้อผ้าตัวเองมาให้รีด ต้องคอยดูน้องกลับจากโรงเรียนจนกระทั่งน้องหลับ และงานบ้านอีกทุกอย่าง พอมีคนมาอยู่เยอะขึ้น ภาระเรายิ่งหนักขึ้น คนทำคนเดียว แต่คนใช้หลายคน)

และเงินก็คงได้ ไม่เกิน 150ปอนด์ต่ออาทิตย์อยู่ร่ำไป  ไม่มีเพิ่มขึ้นมีแต่ลดลง เราคิดว่าทำไงได้ เรามาอยู่บ้านเค้า เราก็ต้องอดทน เค้าไม่เคยคิดถึงเราเค้าจะให้เราหรือไม่ให้เรา หรือให้เท่าไหร่ตามที่เค้าต้องการก็ได้ เรามันตัวคนเดียว อยู่ไกลบ้าน เค้าคิดจะข่มเหงหรือเอาเปรียบยังไงก็ได้ เราคงไปไหนไม่รอด!!  มีอยู่วีคนึง ลุงฝรั่งที่ลินดาคบอยู่ จะพาไปเที่ยวบาธ เค้าให้เราไปเพื่อดูแลน้อง เพราะเค้าอยากจะเอาน้องไปด้วย ลุงฝรั่งใจดีมาก ถือว่าก็ดีได้ไปเที่ยว ลุงฝรั่งจ่ายให้ทั้งหมด (ลุงแกเช่ารถขับไป) ก็เหมิอนเดิม แค่เปลี่ยนที่นอนแค่นั้น ยังคงดูแลน้องเหมือนเดิม พอกลับจากบาธ  อาทิตย์นั้นจ่ายเงินเรา 60ปอนด์ แต่เราก็คิดว่า เออ ไม่เป็นไร ช่างมัน คิดซะว่าค่าเที่ยวบาธ

ลินดามักจะบอกให้เรารอในตอนดึก เพราะบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย เราก็แหกขี้ตารอ ชีจะกลับมาประมาณ 5ทุ่มครึ่ง ถึงเที่ยงคืน บางทีพอรอชีกลับมา ชีกลับบอกว่าวันนี้เหนื่อย ยังไม่อยากคุย (แล้วให้รอเพื่อ) บางทีพอรอ ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ให้แหกตารอเพื่อที่จะว่าๆๆๆๆ โอยสารพัด  แล้วหากวันไหนชีอยากจะอยู่บ้าน วันนั้นก็จะโทรมาบอกเราว่าไม่ต้องมาทำงาน (คือจะไม่ให้เงินค่าจ้างนั่นเอง) มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก เค้าคิดอยากจะทำอะไรตอนไหนยังไงก็ทำ โดยไม่นึกถึงเลย ประมาณว่ากุเป็นนายจ้าง กุจะให้เงินเท่าไหร่ยังไงก็ได้ ประมาณนี้แหละ

ยังมีต่อ....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่