สมาคมธนาคารไทย แสดงความเห็นต่อข้อเสนอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของภาคเอกชน โดยระบุว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม และเห็นว่า อัตราในปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75 มีความเหมาะสมแล้ว
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และประธานสมาคมธนาคารไทย มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ร้อยละ 2.75 เป็นอัตราที่เหมาะสม แต่ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มาจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียมากขึ้น จึงมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และเห็นว่า เงินบาทของไทยยังเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธนาคารสมาชิกทุกแห่ง มีการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินและสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะลูกค้าเอสเอ็มอี ที่มีลูกค้าเข้าทำประกันความเสี่ยงมากพอสมควร ส่วนการลดค่าธรรมเนียมสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ มีการดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงให้กับลูกค้า
สำหรับยอดสินเชื่อธนาคารกรุงเทพปีนี้ นายชาติศิริ มองว่าจะเติบโตตามเป้าหมายที่ร้อยละ 6-8 แต่จะเติบโตมากกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดในขณะนั้นด้วย
ด้านนายปกรณ์ พรรธนแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอีมากนัก เพราะยังมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าน้อยกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิด จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศได้ อีกทั้ง ยังมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ย่อมส่งผลดีและผลเสียต่อภาคธุรกิจ ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการ ต้องปรับตัวในเรื่องนี้ด้วย
ส่วนข้อเสนอของส.อ.ท.ที่ต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เพื่อแก้เงินบาทแข็งค่านั้น เห็นว่า อัตราดอกเบี้ย ถือเป็นต้นทุนต่อการผลิตในสัดส่วนที่น้อย คือ ไม่ถึงร้อยละ 10 แต่ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าแรงและการผลิต จึงเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน เอกชนสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เนื่องจากดอกเบี้ยไม่สูงเกินไป แต่หากลดดอกเบี้ยแรงถึงร้อยละ 1 จะเกิดผลบกระทบกับผู้ออมเงิน ที่จะโยกเงินฝากไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งอาจเกิดปัญหาฟองสบู่ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยวิตก
http://news.voicetv.co.th/business/68337.html 
สมาคมธนาคารไทย ค้านลดดอกเบี้่ยนโยบายแก้บาทแข็ง
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และประธานสมาคมธนาคารไทย มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ร้อยละ 2.75 เป็นอัตราที่เหมาะสม แต่ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มาจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียมากขึ้น จึงมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และเห็นว่า เงินบาทของไทยยังเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธนาคารสมาชิกทุกแห่ง มีการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินและสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะลูกค้าเอสเอ็มอี ที่มีลูกค้าเข้าทำประกันความเสี่ยงมากพอสมควร ส่วนการลดค่าธรรมเนียมสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ มีการดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงให้กับลูกค้า
สำหรับยอดสินเชื่อธนาคารกรุงเทพปีนี้ นายชาติศิริ มองว่าจะเติบโตตามเป้าหมายที่ร้อยละ 6-8 แต่จะเติบโตมากกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดในขณะนั้นด้วย
ด้านนายปกรณ์ พรรธนแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอีมากนัก เพราะยังมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าน้อยกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิด จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศได้ อีกทั้ง ยังมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ย่อมส่งผลดีและผลเสียต่อภาคธุรกิจ ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการ ต้องปรับตัวในเรื่องนี้ด้วย
ส่วนข้อเสนอของส.อ.ท.ที่ต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เพื่อแก้เงินบาทแข็งค่านั้น เห็นว่า อัตราดอกเบี้ย ถือเป็นต้นทุนต่อการผลิตในสัดส่วนที่น้อย คือ ไม่ถึงร้อยละ 10 แต่ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าแรงและการผลิต จึงเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน เอกชนสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เนื่องจากดอกเบี้ยไม่สูงเกินไป แต่หากลดดอกเบี้ยแรงถึงร้อยละ 1 จะเกิดผลบกระทบกับผู้ออมเงิน ที่จะโยกเงินฝากไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งอาจเกิดปัญหาฟองสบู่ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยวิตก
http://news.voicetv.co.th/business/68337.html