ดร. วิรไท สันติประภพ
หนังสือพิมพ์ โพสท์ทูเดย์ 14 กุมภาพันธ์ 2556
ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาเงินทุนไหลเข้าดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังกับผู้ใหญ่ในธนาคารแห่งประเทศไทย จนนำไปสู่การเรียกร้องของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังให้คณะกรรมการนโยบายการเงินลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง รวมทั้งให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรับผิดชอบต่อผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการดูดซับสภาพคล่องที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป รวมทั้งจะต้องรับผิดชอบถ้าการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยผิดพลาดนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ
วิวาทะที่เกิดขึ้นทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นผู้ร้ายตัวหลักที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าจนสร้างความปั่นป่วนให้แก่ค่าเงินบาท และผู้ส่งออก รวมทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะสามารถแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้าได้อย่างอยู่หมัด
นอกจากนี้ ยังทำให้คนเข้าใจธนาคารแห่งประเทศไทยผิดว่าดำเนินนโยบายแบบขาดความรับผิดชอบ อ้างแต่ความเป็นอิสระ รวมทั้งจะทำให้เกิดผลขาดทุนหลายแสนล้านบาท จนทำให้ส่วนทุนติดลบ เป็นภาระที่ผู้เสียภาษีต้องรับผิดชอบ ผมคิดว่าวิวาทะที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะท่าทีของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลัง ได้ทำให้เกิดความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย
ทำไมผมถึงคิดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้เป็นผู้ร้ายตัวหลักที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าจนเกิดความปั่นป่วนขึ้น
งานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเงินทุนไหลเข้าในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging markets) ได้ข้อสรุปคล้ายกันว่าปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดเงินทุนไหลเข้าคือศักยภาพและโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักยังทรงๆ ทรุดๆ และมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ล้นโลก เงินทุนย่อมไหลไปสู่ประเทศที่มีแนวโน้มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดีกว่า ซึ่งในขณะนี้หนีไม่พ้นว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทย ที่รัฐบาลทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทุ่มสุดตัว และให้ความสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าการรักษาวินัยการเงินการคลัง
ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดเงินทุนไหลเข้าแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้า
ถ้าดูตัวเลขเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2555 พบว่าเรามีเงินทุนไหลเข้าสุทธิเพียง 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ 21.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินของคนไทยไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ 19.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในส่วนของเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศนั้น แบ่งได้เป็นเงินลงทุนโดยตรง (foreign direct investment) ประมาณร้อยละ 40 เงินลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 15 และเงินลงทุนในตราสารหนี้อีกร้อยละ 45 การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะทำให้เงินที่ไหลมาลงทุนในตราสารหนี้ลดลง แต่จะทำให้เงินลงทุนทางตรงและเงินลงทุนในหุ้นเพิ่มสูงขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนทางตรงและการลงทุนในหุ้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในสภาวะที่เศรษฐกิจมีสัญญาณของความร้อนแรง เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อีกมาก
อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศในหลายมิติ (มากกว่าเพียงเรื่องเงินทุนไหลเข้าและค่าเงินบาท) ในวันนี้การบริหารเศรษฐกิจไทยต้องให้ความสำคัญเรื่องเสถียรภาพเพิ่มขึ้น เพราะมีสัญญาณทั้งเรื่องความเปราะบาง และความร้อนแรงในหลายด้าน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงติดลบต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้วส่งผลให้คนไทยให้ความสำคัญต่อการออมลดลง ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และอัตราการผิดนัดชำระหนี้ก็เพิ่มขึ้นด้วย
อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันไม่ได้เป็นอุปสรรคทำให้คนไทยไม่สามารถกู้ยืมเงินได้ สินเชื่อสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มขยายตัวเกินร้อยละ 10 ต่อปี ในขณะที่สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20 ต่อปี ราคาสินทรัพย์ทุกประเภทโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นรวดเร็ว คนที่จ่ายตลาดรู้ดีว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวเลขเงินเฟ้อร้อยละ 3 ต่อปีของทางการมาก
นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของคนไทยอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ซึ่งต่ำที่สุดในโลก หลายอุตสาหกรรมหาแรงงานไม่ได้ และเราต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวอีกหลายล้านคน
ถ้ามองไปในระยะข้างหน้า เราจะยังเห็นความร้อนแรงของเศรษฐกิจไทยในอีกหลายด้าน ในด้านการลงทุน โครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในปี 2555 สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 984,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยลงทุนจริงตามลำดับ รัฐบาลมีโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำอีก 300,000 ล้านบาทที่จะต้องรีบกู้เงินก่อนที่จะหมดเวลาการกู้เงินที่พระราชกำหนดอนุญาตในช่วงกลางปี 2556
ทั้งนี้ ยังไม่รวมแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลอีก 2,000,000 ล้านบาท
นอกจากภาครัฐมีแผนจะลงทุนจำนวนมากแล้ว เศรษฐกิจไทยยังได้รับอานิสงค์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (แบบทุ่มสุดตัว) ของรัฐบาลอีกหลายโครงการ
ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำสินค้าเกษตรในราคาที่สูงเกินควร ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจในต่างจังหวัดคึกคักเป็นพิเศษ
โครงการรถคันแรกที่ยังส่งมอบไม่หมดอีกประมาณ 600,000 คัน
ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นในสภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของเรามีแนวโน้มดีขึ้น (ยกเว้นการส่งออกข้าวและอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง เพราะได้รับผลกระทบจากนโยบายรับจำนำข้าวและการขึ้นค่าแรง 300 บาท) และจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ร้อนแรงและรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบทุ่มสุดตัว ไม่ประหลาดใจที่เงินทุนจะไหลเข้ามาในประเทศไทยโดยต่อเนื่อง
ถ้าพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันนี้ จะพบว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูง (นักเศรษฐศาสตร์บางคนอาจจะคิดว่าต่ำเกินควรด้วยซ้ำไป)
ถ้าเทียบกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่ประสบปัญหาเงินทุนไหลเข้าคล้ายกัน จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ร้อยละ 2.75 นั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เกือบต่ำสุดในภูมิภาค มีเพียงไต้หวันเท่านั้นที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าไทย และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเราต่ำมากเมื่อเทียบกับอินเดีย (ร้อยละ 8.0) จีน (ร้อยละ 6.0) และอินโดนีเซีย (ร้อยละ5.75)
และที่น่าสนใจคืออัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยที่อาจจะถูกมองว่าสูงจนดึงดูดให้เกิดเงินทุนไหลเข้ามาสงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวมากกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (repurchase rate 1 วัน) เมื่อมองย้อนกลับไปช่วงก่อนเดือนตุลาคม 2555 ซึ่งเป็นเดือนที่คณะกรรมการนโยบายการเงินลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 2.75 พบว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (อายุ 10 ปี) ในช่วงนั้นต่ำกว่าในเดือนมกราคม 2556 ก
ารที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับสูงขึ้นในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นปรับลดลง (หรือ yield curve ชันขึ้น) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความต้องการกู้เงินของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นมาก ไม่ใช่ความผิดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือคณะกรรมการนโยบายการเงินแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมจึงไม่คิดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นผู้ร้ายตัวหลักที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้า และผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังไม่ควรทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินและธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินนโยบายการเงินด้วยความเป็นอิสระแบบดื้อดึง ขาดความรับผิดชอบ
ในทางตรงกันข้าม ผมเห็นว่าผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต้องมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้า เพื่อให้เงินทุนไหลเข้าเหล่านั้นเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว โดยไม่ทำให้เกิดความเปราะบาง และกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในอนาคต บทบาทที่ควรเป็นของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังมีอย่างน้อย 4 ประการ
ประการแรก
---------------
จะต้องปรับนโยบายการคลัง(และนโยบายการก่อหนี้สาธารณะ)ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ
ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต้องไม่ติดกับความคิดว่าเศรษฐกิจต้องขยายตัวสูงๆ และต้องเข้าใจว่าเงินทุนไหลเข้ามีแรงจูงใจจากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ร้อนแรง ซึ่งได้รับอานิสงค์ไม่น้อยจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังจะต้องให้ความสำคัญต่อการประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลังและหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทุ่มสุดตัว
รัฐบาลของหลายประเทศที่เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลเข้าได้ปรับลดการขาดดุลของภาครัฐลง ในกรณีของประเทศไทยที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องลดรายจ่ายประจำที่คิดเป็นถึงร้อยละ 80 ของงบประมาณประจำปี และมีแนวโน้มจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ รายจ่ายประจำที่ควรปรับลดลงครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น ค่าเช่าป้ายโฆษณารูปรัฐมนตรีที่ติดอยู่ทั่วประเทศ หรือ งบประมาณจ้าง organizer เพื่อจัดงานเปิดตัวรายวัน ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด หรือ การปฏิรูประบบราชการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อไม่ให้งบเงินเดือนข้าราชการบานปลายในอนาคต
การปรับนโยบายการคลังให้สมดุลกับสภาวะเศรษฐกิจนี้ นอกจากจะลดความร้อนแรงของสภาวะเศรษฐกิจและลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ (ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้ฝากเงินและคณะกรรมการนโยบายการเงิน) แล้ว ยังจะช่วยลดความจำเป็นในการกู้เงินของรัฐบาล ไม่ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นเช่นในช่วงที่ผ่านมา
ประการที่สอง
---------------
ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังควรเร่งให้เกิดสมดุลมากขึ้นระหว่างเงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออก เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศในระยะยาว โดยผ่านกลไกของภาครัฐทั้งรัฐวิสาหกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องนำเข้าสินค้าทุน
เงินทุนไหลเข้าได้ส่งผลให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นสูงมาก แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มี (และอาจจะยังไม่ควรมี) กองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth fund) แต่รัฐวิสาหกิจของไทยหลายแห่งต้องลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน
ถ้ารัฐวิสาหกิจเหล่านี้สามารถเร่งขยายการลงทุนในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยความเป็นมืออาชีพ (และไม่ถูกการเมืองหรือผลประโยชน์อื่นแทรกแซง) จะเป็นช่องทางสำคัญในการใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็เช่นกัน หลายโครงการต้องนำเข้าสินค้าทุนในสัดส่วนที่สูง ถ้ารัฐบาลสามารถดำเนินการได้รวดเร็ว และโครงการเหล่านี้ไม่ถูกการเมืองหรือผลประโยชน์อื่นแทรกแซงแล้ว จะทำให้เงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออกสมดุลมากขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทเหมือนที่กังวลกัน
บทบาทของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต่อการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้า
หนังสือพิมพ์ โพสท์ทูเดย์ 14 กุมภาพันธ์ 2556
ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาเงินทุนไหลเข้าดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังกับผู้ใหญ่ในธนาคารแห่งประเทศไทย จนนำไปสู่การเรียกร้องของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังให้คณะกรรมการนโยบายการเงินลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง รวมทั้งให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรับผิดชอบต่อผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการดูดซับสภาพคล่องที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป รวมทั้งจะต้องรับผิดชอบถ้าการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยผิดพลาดนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ
วิวาทะที่เกิดขึ้นทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นผู้ร้ายตัวหลักที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าจนสร้างความปั่นป่วนให้แก่ค่าเงินบาท และผู้ส่งออก รวมทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะสามารถแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้าได้อย่างอยู่หมัด
นอกจากนี้ ยังทำให้คนเข้าใจธนาคารแห่งประเทศไทยผิดว่าดำเนินนโยบายแบบขาดความรับผิดชอบ อ้างแต่ความเป็นอิสระ รวมทั้งจะทำให้เกิดผลขาดทุนหลายแสนล้านบาท จนทำให้ส่วนทุนติดลบ เป็นภาระที่ผู้เสียภาษีต้องรับผิดชอบ ผมคิดว่าวิวาทะที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะท่าทีของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลัง ได้ทำให้เกิดความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย
ทำไมผมถึงคิดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้เป็นผู้ร้ายตัวหลักที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าจนเกิดความปั่นป่วนขึ้น
งานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเงินทุนไหลเข้าในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging markets) ได้ข้อสรุปคล้ายกันว่าปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดเงินทุนไหลเข้าคือศักยภาพและโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักยังทรงๆ ทรุดๆ และมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ล้นโลก เงินทุนย่อมไหลไปสู่ประเทศที่มีแนวโน้มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดีกว่า ซึ่งในขณะนี้หนีไม่พ้นว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทย ที่รัฐบาลทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทุ่มสุดตัว และให้ความสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าการรักษาวินัยการเงินการคลัง
ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดเงินทุนไหลเข้าแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้า
ถ้าดูตัวเลขเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2555 พบว่าเรามีเงินทุนไหลเข้าสุทธิเพียง 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ 21.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินของคนไทยไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ 19.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในส่วนของเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศนั้น แบ่งได้เป็นเงินลงทุนโดยตรง (foreign direct investment) ประมาณร้อยละ 40 เงินลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 15 และเงินลงทุนในตราสารหนี้อีกร้อยละ 45 การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะทำให้เงินที่ไหลมาลงทุนในตราสารหนี้ลดลง แต่จะทำให้เงินลงทุนทางตรงและเงินลงทุนในหุ้นเพิ่มสูงขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนทางตรงและการลงทุนในหุ้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในสภาวะที่เศรษฐกิจมีสัญญาณของความร้อนแรง เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อีกมาก
อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศในหลายมิติ (มากกว่าเพียงเรื่องเงินทุนไหลเข้าและค่าเงินบาท) ในวันนี้การบริหารเศรษฐกิจไทยต้องให้ความสำคัญเรื่องเสถียรภาพเพิ่มขึ้น เพราะมีสัญญาณทั้งเรื่องความเปราะบาง และความร้อนแรงในหลายด้าน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงติดลบต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้วส่งผลให้คนไทยให้ความสำคัญต่อการออมลดลง ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และอัตราการผิดนัดชำระหนี้ก็เพิ่มขึ้นด้วย
อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันไม่ได้เป็นอุปสรรคทำให้คนไทยไม่สามารถกู้ยืมเงินได้ สินเชื่อสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มขยายตัวเกินร้อยละ 10 ต่อปี ในขณะที่สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20 ต่อปี ราคาสินทรัพย์ทุกประเภทโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นรวดเร็ว คนที่จ่ายตลาดรู้ดีว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวเลขเงินเฟ้อร้อยละ 3 ต่อปีของทางการมาก
นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของคนไทยอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ซึ่งต่ำที่สุดในโลก หลายอุตสาหกรรมหาแรงงานไม่ได้ และเราต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวอีกหลายล้านคน
ถ้ามองไปในระยะข้างหน้า เราจะยังเห็นความร้อนแรงของเศรษฐกิจไทยในอีกหลายด้าน ในด้านการลงทุน โครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในปี 2555 สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 984,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยลงทุนจริงตามลำดับ รัฐบาลมีโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำอีก 300,000 ล้านบาทที่จะต้องรีบกู้เงินก่อนที่จะหมดเวลาการกู้เงินที่พระราชกำหนดอนุญาตในช่วงกลางปี 2556
ทั้งนี้ ยังไม่รวมแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลอีก 2,000,000 ล้านบาท
นอกจากภาครัฐมีแผนจะลงทุนจำนวนมากแล้ว เศรษฐกิจไทยยังได้รับอานิสงค์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (แบบทุ่มสุดตัว) ของรัฐบาลอีกหลายโครงการ
ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำสินค้าเกษตรในราคาที่สูงเกินควร ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจในต่างจังหวัดคึกคักเป็นพิเศษ
โครงการรถคันแรกที่ยังส่งมอบไม่หมดอีกประมาณ 600,000 คัน
ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นในสภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของเรามีแนวโน้มดีขึ้น (ยกเว้นการส่งออกข้าวและอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง เพราะได้รับผลกระทบจากนโยบายรับจำนำข้าวและการขึ้นค่าแรง 300 บาท) และจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ร้อนแรงและรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบทุ่มสุดตัว ไม่ประหลาดใจที่เงินทุนจะไหลเข้ามาในประเทศไทยโดยต่อเนื่อง
ถ้าพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันนี้ จะพบว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูง (นักเศรษฐศาสตร์บางคนอาจจะคิดว่าต่ำเกินควรด้วยซ้ำไป)
ถ้าเทียบกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่ประสบปัญหาเงินทุนไหลเข้าคล้ายกัน จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ร้อยละ 2.75 นั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เกือบต่ำสุดในภูมิภาค มีเพียงไต้หวันเท่านั้นที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าไทย และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเราต่ำมากเมื่อเทียบกับอินเดีย (ร้อยละ 8.0) จีน (ร้อยละ 6.0) และอินโดนีเซีย (ร้อยละ5.75)
และที่น่าสนใจคืออัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยที่อาจจะถูกมองว่าสูงจนดึงดูดให้เกิดเงินทุนไหลเข้ามาสงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวมากกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (repurchase rate 1 วัน) เมื่อมองย้อนกลับไปช่วงก่อนเดือนตุลาคม 2555 ซึ่งเป็นเดือนที่คณะกรรมการนโยบายการเงินลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 2.75 พบว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (อายุ 10 ปี) ในช่วงนั้นต่ำกว่าในเดือนมกราคม 2556 ก
ารที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับสูงขึ้นในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นปรับลดลง (หรือ yield curve ชันขึ้น) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความต้องการกู้เงินของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นมาก ไม่ใช่ความผิดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือคณะกรรมการนโยบายการเงินแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมจึงไม่คิดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นผู้ร้ายตัวหลักที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้า และผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังไม่ควรทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินและธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินนโยบายการเงินด้วยความเป็นอิสระแบบดื้อดึง ขาดความรับผิดชอบ
ในทางตรงกันข้าม ผมเห็นว่าผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต้องมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้า เพื่อให้เงินทุนไหลเข้าเหล่านั้นเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว โดยไม่ทำให้เกิดความเปราะบาง และกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในอนาคต บทบาทที่ควรเป็นของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังมีอย่างน้อย 4 ประการ
ประการแรก
---------------
จะต้องปรับนโยบายการคลัง(และนโยบายการก่อหนี้สาธารณะ)ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ
ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต้องไม่ติดกับความคิดว่าเศรษฐกิจต้องขยายตัวสูงๆ และต้องเข้าใจว่าเงินทุนไหลเข้ามีแรงจูงใจจากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ร้อนแรง ซึ่งได้รับอานิสงค์ไม่น้อยจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังจะต้องให้ความสำคัญต่อการประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลังและหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทุ่มสุดตัว
รัฐบาลของหลายประเทศที่เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลเข้าได้ปรับลดการขาดดุลของภาครัฐลง ในกรณีของประเทศไทยที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องลดรายจ่ายประจำที่คิดเป็นถึงร้อยละ 80 ของงบประมาณประจำปี และมีแนวโน้มจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ รายจ่ายประจำที่ควรปรับลดลงครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น ค่าเช่าป้ายโฆษณารูปรัฐมนตรีที่ติดอยู่ทั่วประเทศ หรือ งบประมาณจ้าง organizer เพื่อจัดงานเปิดตัวรายวัน ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด หรือ การปฏิรูประบบราชการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อไม่ให้งบเงินเดือนข้าราชการบานปลายในอนาคต
การปรับนโยบายการคลังให้สมดุลกับสภาวะเศรษฐกิจนี้ นอกจากจะลดความร้อนแรงของสภาวะเศรษฐกิจและลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ (ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้ฝากเงินและคณะกรรมการนโยบายการเงิน) แล้ว ยังจะช่วยลดความจำเป็นในการกู้เงินของรัฐบาล ไม่ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นเช่นในช่วงที่ผ่านมา
ประการที่สอง
---------------
ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังควรเร่งให้เกิดสมดุลมากขึ้นระหว่างเงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออก เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศในระยะยาว โดยผ่านกลไกของภาครัฐทั้งรัฐวิสาหกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องนำเข้าสินค้าทุน
เงินทุนไหลเข้าได้ส่งผลให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นสูงมาก แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มี (และอาจจะยังไม่ควรมี) กองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth fund) แต่รัฐวิสาหกิจของไทยหลายแห่งต้องลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน
ถ้ารัฐวิสาหกิจเหล่านี้สามารถเร่งขยายการลงทุนในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยความเป็นมืออาชีพ (และไม่ถูกการเมืองหรือผลประโยชน์อื่นแทรกแซง) จะเป็นช่องทางสำคัญในการใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็เช่นกัน หลายโครงการต้องนำเข้าสินค้าทุนในสัดส่วนที่สูง ถ้ารัฐบาลสามารถดำเนินการได้รวดเร็ว และโครงการเหล่านี้ไม่ถูกการเมืองหรือผลประโยชน์อื่นแทรกแซงแล้ว จะทำให้เงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออกสมดุลมากขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทเหมือนที่กังวลกัน