คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เพราะเป็นค่าที่ ใช้ในการแก้ pf ได้กำลังดี และพบมากในทางปฏิบัติครับ
หรือให้พูดก็คือ ในทางปฏิบัติ
ส่วนใหญ่แล้ว ค่า pfจะอยู่ประมาณ 0.7-0.8 นี่แหละ
การใช้ Cap ที่ 30% ของหม้อแปลง จะช่วยแก้ให้ 0.7-0.8 ขึ้นไปอยู่ราวๆ 0.9+ ได้
พูดภาษาชาวบ้านๆืคือ เป็นค่าที่เจอบ่อยครับ...
ถ้าไม่คิดอะไรมาก ไม่ได้คำนวนตรวจวัดวุ่นวาย ก็ใส่ค่านี้ไปเลย
มันไม่เป๊ะหรอก แต่มันก็ใช้ได้...
หรือให้พูดก็คือ ในทางปฏิบัติ
ส่วนใหญ่แล้ว ค่า pfจะอยู่ประมาณ 0.7-0.8 นี่แหละ
การใช้ Cap ที่ 30% ของหม้อแปลง จะช่วยแก้ให้ 0.7-0.8 ขึ้นไปอยู่ราวๆ 0.9+ ได้
พูดภาษาชาวบ้านๆืคือ เป็นค่าที่เจอบ่อยครับ...
ถ้าไม่คิดอะไรมาก ไม่ได้คำนวนตรวจวัดวุ่นวาย ก็ใส่ค่านี้ไปเลย
มันไม่เป๊ะหรอก แต่มันก็ใช้ได้...
แสดงความคิดเห็น
เพราะเหตุใด การคำนวณค่า CAP จึงนิยมใช้ค่า 30% ของหม้อแปลง
http://pantip.com/topic/30370867
ผมลองคิดดู ว่าตัวเลข 30 % มาจากตรงนี้ใช่หรือไม่ครับ พอดีหาข้อมูลจาก อินเตอร์เน็ต แล้วลองมาคิดดู
กำหนด P.F.1(ก่อน)=0.80
ต้องการปรับเป็น P.F.2(หลัง)=0.95
หม้อแปลง 2500 k VA
CAPACITOR = KW (tan 1 – tan 2 )
KW = Kva x pf
KW = 2500 x 0.80 = 2000 KW
COS -1 0.80 = 36.86
COS -1 0.95 = 18.19
tan 36.86 = 0.74
tan 18.19 = 0.32
CAPACITOR = 2000 ( 0.74 – 0.32 )
= 840 Kvar
% จากหม้อแปลง = (840 / 2500) x 100 = 33.6 % หรือ ใช้ค่าประมาณ 30 % ต่อพิกัดหม้อแปลงเพื่อให้ง่ายต่อการคำนวน
ใช้ค่า 30% จากพิกัดหม้อแปลง ได้
2500 x 0.3 = 750 Kvar โดยประมาณ
อย่างนี้ถูกหรือเปล่าวครับ