ไม่ทราบว่าสื่อเข้าใจหรือเปล่าว่า ชนะ คืออะไร
เท่าที่ผมเข้าใจคร่าวๆ คือกัมพูชาจะให้ศาลโลกรับตีความเขตแดนรอบปราสาทให้ชัดเจน ส่วนไทยเราพยายามจะให้ศาลไม่รับคำร้องเพราะศาลไม่มีอำนาจตีความ
ดังนั้น การที่ไทยจะชนะก็คือศาลไม่รับตีความ ไม่ใช่เรื่องที่ว่า ไทยชนะเพราะพิสูจน์ได้ว่าแผนที่ไม่ยุติธรรม แล้วจะได้ปราสาทคืนมา
แต่ที่ฟังๆ มาทางกัมพูชาเขาหยิบยกว่าที่ศาลต้องตีความก็เพราะคำตัดสินเมื่อปี 2505 มีบทปฏิบัติไม่ชัดเจน จนในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมามีปัญหาข้อพิพาทขึ้น จึงต้องนำเรื่องขึ้นศาล
แต่ประเด็นที่ไทยนำเสนอทำไมถึงมาเน้นเรื่องแผนที่ (เหมือนเล่นประเด็นเดิมกับปี 2505 ที่เราแพ้เขาเลยอ่ะครับ) โดยย้ำว่าแผนที่ในผนวก 1 นั้นไม่ยุติธรรม ซึ่งผมว่าเรื่องแผนที่ไม่ยุติธรรมอันนี้ มันเป็นที่ทราบกันดีมาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว คราวนั้นฝ่ายไทยก็อ้างเรื่องสันปันน้ำของจริง แต่ศาลโลกมองว่าไทยยอมรับแผนที่ฉบับนี้มาโดยไม่เคยโต้แย้งเลยทั้งที่มีโอกาสหลายครั้งแล้ว
ซึ่งผมว่าคราวนี้มันก็จะมาอีหรอบเดียวกับคราวปี 2505 คือ รู้ทั้งรู้ว่าแผนที่นี้ผิด แต่ก็ยังยอมรับในการนำเอามาใช้เป็นหลักฐานในการทำ MOU ต่างๆ เช่น MOU43 เมื่อปี 2543 ดังนั้น แผนที่ใหม่ของมิรองจึงเป็นแผนที่ทีทำขึ้นหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ยอมรับเขตแดนอธิปไตยของกันและกันแล้วน่ะสิครับ
งานหินจริงๆ ครับ ที่ศาลจะไม่รับตีความ เพราะถ้าคำตัดสินปี 2505 มันชัดเจนอยู่แล้ว ทำไมผู้พิพากษายูซูฟถึงต้องขอข้อมูลเรื่อง vicinity มาเพิ่มอีก
จริงๆ ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นก็คือไม่ขึ้นศาลเลยตั้งแต่แรก
ทีนี้ก็เหลือให้ลุ้นกันว่า ถ้าศาลจะตีความจะตีความเรื่องเขตแดนแค่ไหน จะเอาแค่ที่ไทยล้อมรั้ว หรือเอา 4.6 ตร.กม.
ซึ่งเขมรเขาก็อ้างว่าที่ไทยล้อมรั้ว เขามีหลักฐานว่าเขาได้ยื่นประท้วงไปแล้วหลายครั้ง มีเอกสารแนบด้วย
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือศาลน่าจะตัดสินให้ใช้พื้นที่ร่วมกันเพื่อให้เกิดความสันติ โดยกำหนดบทปฏิบัติ "ให้ชัดเจน" มากที่สุด เพื่อป้องกันข้อพิพาท
แต่ในเรื่องข้อพิพาท ผมว่าถ้าศาลโลกตัดสินให้เราแพ้เสียดินแดน 4.6 ตร.กม. โอกาสเกิดสงครามกลางเมืองในบ้านเรา มันจะมากกว่าสงครามกับเขมรเสียอีก ผมว่านะ
ทำไมสื่อไทยถึงมั่นใจนักว่าเราจะชนะคดีปราสาทเขาพระวิหารแน่นอนล่ะครับ
เท่าที่ผมเข้าใจคร่าวๆ คือกัมพูชาจะให้ศาลโลกรับตีความเขตแดนรอบปราสาทให้ชัดเจน ส่วนไทยเราพยายามจะให้ศาลไม่รับคำร้องเพราะศาลไม่มีอำนาจตีความ
ดังนั้น การที่ไทยจะชนะก็คือศาลไม่รับตีความ ไม่ใช่เรื่องที่ว่า ไทยชนะเพราะพิสูจน์ได้ว่าแผนที่ไม่ยุติธรรม แล้วจะได้ปราสาทคืนมา
แต่ที่ฟังๆ มาทางกัมพูชาเขาหยิบยกว่าที่ศาลต้องตีความก็เพราะคำตัดสินเมื่อปี 2505 มีบทปฏิบัติไม่ชัดเจน จนในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมามีปัญหาข้อพิพาทขึ้น จึงต้องนำเรื่องขึ้นศาล
แต่ประเด็นที่ไทยนำเสนอทำไมถึงมาเน้นเรื่องแผนที่ (เหมือนเล่นประเด็นเดิมกับปี 2505 ที่เราแพ้เขาเลยอ่ะครับ) โดยย้ำว่าแผนที่ในผนวก 1 นั้นไม่ยุติธรรม ซึ่งผมว่าเรื่องแผนที่ไม่ยุติธรรมอันนี้ มันเป็นที่ทราบกันดีมาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว คราวนั้นฝ่ายไทยก็อ้างเรื่องสันปันน้ำของจริง แต่ศาลโลกมองว่าไทยยอมรับแผนที่ฉบับนี้มาโดยไม่เคยโต้แย้งเลยทั้งที่มีโอกาสหลายครั้งแล้ว
ซึ่งผมว่าคราวนี้มันก็จะมาอีหรอบเดียวกับคราวปี 2505 คือ รู้ทั้งรู้ว่าแผนที่นี้ผิด แต่ก็ยังยอมรับในการนำเอามาใช้เป็นหลักฐานในการทำ MOU ต่างๆ เช่น MOU43 เมื่อปี 2543 ดังนั้น แผนที่ใหม่ของมิรองจึงเป็นแผนที่ทีทำขึ้นหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ยอมรับเขตแดนอธิปไตยของกันและกันแล้วน่ะสิครับ
งานหินจริงๆ ครับ ที่ศาลจะไม่รับตีความ เพราะถ้าคำตัดสินปี 2505 มันชัดเจนอยู่แล้ว ทำไมผู้พิพากษายูซูฟถึงต้องขอข้อมูลเรื่อง vicinity มาเพิ่มอีก
จริงๆ ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นก็คือไม่ขึ้นศาลเลยตั้งแต่แรก
ทีนี้ก็เหลือให้ลุ้นกันว่า ถ้าศาลจะตีความจะตีความเรื่องเขตแดนแค่ไหน จะเอาแค่ที่ไทยล้อมรั้ว หรือเอา 4.6 ตร.กม.
ซึ่งเขมรเขาก็อ้างว่าที่ไทยล้อมรั้ว เขามีหลักฐานว่าเขาได้ยื่นประท้วงไปแล้วหลายครั้ง มีเอกสารแนบด้วย
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือศาลน่าจะตัดสินให้ใช้พื้นที่ร่วมกันเพื่อให้เกิดความสันติ โดยกำหนดบทปฏิบัติ "ให้ชัดเจน" มากที่สุด เพื่อป้องกันข้อพิพาท
แต่ในเรื่องข้อพิพาท ผมว่าถ้าศาลโลกตัดสินให้เราแพ้เสียดินแดน 4.6 ตร.กม. โอกาสเกิดสงครามกลางเมืองในบ้านเรา มันจะมากกว่าสงครามกับเขมรเสียอีก ผมว่านะ