ช่วงนี้ อาจจะมีหนังไทยหลายเรื่องให้ได้พูดถึง.. ซึ่งผมก็ดูมาครบ หมดทุกเรื่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พี่มากขาาา.. พี่โกขาาา และ พี่ตูน(บอดี้สแลม)ขาาา แต่สดๆร้อนๆ ที่อยากจะพูด และคงต้องพูดมันผ่านที่แห่งนี้ ก็คือ น้องเกรียนจ๋าาา
แต่ผมคงจะขอพูดมันเป็นข้อๆดีกว่า เพื่อจะได้สะดวกกับการแบ่งว่า ตรงไหน จะพูดน้อย พูดมาก หรือพูดลึก(แปลว่า Spoil)
1) เป็นอีกครั้งที่
"สหมงคล" โปรโมตหนังแบบ หลอกกันเล่นหรือเปล่า? ..และที่เป็นปัญหาหนักๆ ก็มักจะมาลงกัีบหนังของพี่มะเดี่ยวอยู่เสมอๆ
หากใครยังจำได้ กรณีของ
"รักแห่งสยาม" ก็คือ ครั้งหนึ่งที่หลอกคนดูจนหัวหกก้นขวิด แต่ครั้งนั้น ต้องยอมรับว่า บางทีถ้าบอกออกไปเลย ถึงความลับ ก็อาจจะทำให้หนังถูกลดความมีพลังลงไปมากโข (แต่ก็สงสารคนที่เข้ามาดูเพราะคาดว่าจะเป็นหนังรักใสๆหัวใจวัยสะออน โดยไม่รู้ว่าจะเข้ามาเจออะไรที่ม้าหินตัวนั้น!!)
ขณะที่หนังเรื่องที่แล้วอย่าง
"Home" ก็เป็นการโปรโมตที่นับว่ามาถูกทาง เพราะแสดงตั้งแต่ตัวอย่างโต้งๆ ว่านี่คือหนัง ดรามา ขายความประทับใจ แต่ขณะเดียวกัน ตัวอย่างนั้น ก็ไม่เผยส่วนสำคััญของหนัง จนยอมรับเลยว่า การเดินเกมครั้งนั้น อาจจะทำให้หนังมีเปอร์เซ็นต์จะทำเงินค่อนข้างน้อย แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำให้คนจะเข้ามาดูรู้พื้นฐานของหนังว่า เราจะได้เจออะไร ซึ่งถือว่าเป็นความฉลาดของคนตัดต่อตัวอย่างของสหมงคล ที่จะมีน้อยเคสหลุดออกมาให้เห็นกันบ้าง
แต่ครั้งล่าสุด เกรียน ฟิคชั่น ก็มีผลงานออกมาข้างเดียวกันกับ รักแห่งสยาม คือ บอกเฉพาะความเกรียน(เท่าที่หนังมี) แต่เก็บซ่อนส่วนที่เป็นอารมณ์หลักๆของหนังเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อคนเข้ามาดู ก็กลายเป็นการเข้ามาพบความผิดหวัง และดรามาที่ไม่ทันเตรียมตัว.. ซึ่งถ้าใครบางคน พอรู้จักหนังของมะเดี่ยวมาแล้ว อาจจะเป็นกรณียกเว้น แต่ถ้าเขาไม่เคยรู้จัก และเข้ามาดูเพราะคิดว่าจะฮาๆประสาวัยรุ่น มันก็กลายเป็นส่วนที่ทำให้หนังได้รับคะแนนในแง่ไม่สวยงาม จนทำให้ใครที่ยังไม่ได้ดู เผลอเข้าใจว่า ถ้างั้นรอแผ่นละกัน ..โดยหารู้ไม่ว่า บางคนที่จะรอแผ่นนั้น เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ แบบไม่ถือคติอะไรแล้ว จะพบว่ามันเป็นอีกครั้งที่น่าเสียดายที่ไม่เชื่อตัวเอง ไปดูในโรง
และผลที่ได้ตอนนี้ คือ เกรียน ฟิคชั่น เป็นหนังไทยที่ดี แต่ไม่ทำเงิน และซ้ำร้าย เงินที่จะได้กลับมานั้น มันก็ไม่คุ้มค่ากับที่คนทำหนังอย่างตั้งใจ จะนำเสนอในสิ่งที่ดีให้คนไทยได้ดู นั่นเอง
จึงอยากจะฝากเรื่องนี้ ใ้ห้กลับ สหมงคล ว่า..
โปรโมตหนังเรื่องใด ขอให้แสดงอารมณ์ที่เป็นหลักของหนังเรื่องนั้นออกมาด้วย ไม่ใช่แปะแค่ฉากบางฉากที่จะเรียกคนดูได้เพราะมันดูสนุกเข้าว่า แต่ลืมไปถึงอรรถรสที่แท้จริงที่คนดูจะได้รับหลังออกจากโรง
แม้จะเข้าใจว่า การตลาด ต้องเรียกคนดูให้มากเข้าไว้.. แต่ตอนนี้ ผมเชื่อว่า คนไทย เริ่ีมรู้แล้วว่า การจะเลือกดูหนังเรื่องหนึ่ง
"เสียงบอกต่อ" มันเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ มากไปกว่า การได้เห็นหนังเรื่องนั้นเปิดตัวนับหลายสิบล้าน ใน 4 วันแรก ..ถ้าไม่เชื่อ ลองดูตัวอย่าง จากหนัง 400 จะ 500 ล้านเรื่องนั้นดู เพราะถ้าเสียงบอกต่อ ไม่มา ก็ไม่มีทางจะเกิดเรื่องที่เป็นปรากฎการณ์แบบนี้ ขึ้นได้หรอก
2) ผลงานที่ผมชอบมากที่สุดของ พี่มะเีดี่ยว ในตอนนี้ ก็ยังคงเป็น "รักแห่งสยาม" อยู่ี.. แต่ เกรียน ฟิคชั่น ก็ถือว่าเป็นอีกครั้งที่เราจะได้เห็นหนังของพี่มะเดี่ยว พูดถึง เรื่องของวัยรุ่น ในแง่ปมที่ลึกซึ้ง แบบรักแห่งสยาม และมันก็เป็น รักแห่งสยาม ขั้นอัพเกรด เพิ่ม RAM ที่ยังได้สะท้อนสังคมยุค Social Network อยู่ในที
ถ้ามองว่าเป็นหนังรักแบบแฟนมั้ย ผมบอกเลยว่า ไม่.. แต่ถ้าจะนิยามว่ามันเป็นหนังรักแบบเพื่อนฝูง ก็ถือว่า ตีโจทย์ได้แตก
ขณะเดียวกัน มันก็ยังคงเป็น Coming-of-Age ที่เราจะได้เห็นบทบาทของวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ได้พบโลกแบบหนึ่ง กับอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เห็นการเผชิญโลกของวัยรุ่นในวันนี้ ที่สังคมมีส่วนเป็นเบ้าหลอมของการเติบโต
มีคำกล่าวไว้ ว่่า "เราจะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับเพื่อนที่เราคบ สังคมที่เราอยู่ หรือหนังสือที่เราเลือกอ่าน" ..ในมุมมองของ เกรียน ฟิคชั่น จะทำให้เราได้เห็นภาพของสองอย่างแรกว่า คนๆหนึ่งที่กำลังเรียนรู้การเติบโตเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่ เมื่อต้่องมาเผชิญกับโลกคนละมุม ผู้คนคนละแบบ ที่สุดแล้ว เขาจะเลือกว่าโลกใบไหน คือ โลกที่เขาจะอยู่ และเพื่อนแบบไหน ที่เขาจะมองว่าเป็นเพื่อนตาย
แต่ขณะเดียวกัน หนังก็ยังจะพูดถลำลึกกว่านั้น ไปถึงขั้นจิต และใจ ผ่านการที่หนังสร้างปมขึ้นมา ปมแห่งความสำนึกผิด รู้สึกไม่ดี และทำให้ใจของเราเสียทรงไปด้วยทุกครั้งที่นึกถึงมัน.. ตรงนี้ ค่อนข้างจะโดนผมมากเป็นพิเศษ และทำให้ผมลุ้นทุกครั้งที่เมื่อตัวละครนั้่น ถึงเวลา มีโอกาสจะได้แก้ปมนี้ให้หลุดออกไปจากใจสักที
แต่(อีกแล้ว..)มันก็มีอีกปม ที่ลึกลับ ซับซ้อน ยิ่งไปกว่า เรื่องของหนุ่มสาว.. มันคือ เรื่องของคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ ถือว่าเป็น เซอร์ไำำพรส์สำคัญของหนัง เ็ป็นความเหนือคาด ที่ทำให้ผมแอบรู้สึกว่า.. หรือว่า การทำหนังวัยรุ่นวัยเกรียน จะเป็นแค่เปลือกนอก แต่สิ่งที่อยากจะพูดจริงๆ มันคือ สิ่งนี้กันแน่!!
ในแง่ของบท ถือว่า แทบจะอยู่บนเส้นที่ลึกระดับเดียวกันกับ รักแห่งสยาม เลย เพียงแต่ไม่ได้ทำให้เป็นสัญลักษณ์แอบแฝงมากมายเท่ากับ หนังรักวัยรุ่นเรื่องนั้น.. ซึ่งจุดนี้ ทำให้จะมองว่าเป็นงานชิ้นที่ละเอียดละออมาก แต่เข้าถึงง่ายได้ที่สุด ของ พี่มะเดี่ยว ก็คงไม่ผิด
หากจะบอกว่าเป็น มาสเตอร์พีซ ก็เกือบจะใช่แล้ว.. ถ้าไม่ติดว่า หนังมีวิีธีการหาทางออกให้กับบางสถานการณ์ที่ดูจะง่ายเกินไปนิด
3) ข้อนี้ขอได้
SPOILER (ยังไม่ไ้ด้ดู โปรดอย่าอ่าน)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จุดที่ว่า มันออกจะง่ายไปนั้น มันเป็นการสร้าง Happy Ending ให้กับหนึ่งตัวละคร ที่ำไม่จำเป็นต้องงดงามถึงขั้นนั้นเลย.. เพราะถ้าว่ากันตามตรง บท "ทิพย์" นั้น เป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดี(มากกกก) จะมีรักกับคนที่ดีกว่านี้ ก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
แต่หนังกลับเลือกจะหาทางออกให้เธอ ได้รับความรักจากคนที่ดูเหมือนจะมีเคมีที่ยังไม่เข้าท่่า และหนังก็บอกความจำเป็นต้องมีอยู่ของตัวละคร "เขตต์" น้อยเกินไป เราไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่าหนุ่มที่เหมือนชาติตระกูลดี มีรถสปอร์ตเปิดประทุน ท่าทางแบดบอยนิดๆอย่างนี้ จะมีระดับความผิดชอบที่สูงมากพอจะจริงจัง ดูแล ทิพย์ ไปได้ทั้งชีวิต (หนำซ้ำ ผมว่า รักนี้ จะไปไม่รอด หลังหนังจบ ไม่นานเท่าไหร่หรอก)
นี่ยังไม่รวมกับ ตัวคนที่เล่นเป็น เขตต์ นั้น ค่อนข้างจะเหมือนอากาศธาตุ ที่มีอยู่แล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก การแสดงก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็นตัวละครนั้นได้อย่างสมบูรณ์ (มีคาแรกเตอร์ที่ดูจะเป็นตัวของตัวเองในโลกความจริงเอามาใช้มากเกิน และมันเป็นที่ไม่เหมาะกับการแสดงในหนัง).. บอกตามตรงว่า "โบ๊ท The Yers" ผู้นี้ อาจจะเหมาะกับการเล่น(แค่)บทสมทบ แต่สองครั้งสองคราแล้วที่บทสมทบที่เป็นจุดเปลี่ยนของหนัง ทั้งใน เกรียนฯ และ "คู่กรรม" ไม่ได้สร้างแรงกระเทือนที่รุนแรงพอจะทำให้เรารู้สึกว่า เขาคือคนที่จะมีอิทธิพล เบี่ยงเบนทิศทาง เส้นทางชีวิตของคน ด้วยการแสดงออก ถึงบางอย่างออกมา ผ่านคำพูด หรือการตัดสินใจ
ถ้าหนังจะให้ ตัวละครของ กิฟซี่ อกหักอีกสักครั้ง และให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กับการจะมีรักครั้งใหม่กับใครสักคนที่น่าจะมีเคมีที่ตรงกัน.. มันน่าจะใจดี และ Happy ซะกว่า แค่การให้ชีตอบรับทางโทรศัพท์ว่า ได้สิ และน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะลงรถไฟไปเจอกับคนรักของเธอ ที่(ผมเชื่อว่า)ก็รู้อยู่แล้วว่า มันไม่น่าจะไปได้ดีนะ!!
อยากจะฝากถึงคุณโบ๊ท ณ ที่นี้ แบบตรงไปตรงมาว่า.. "คุณคือจุดอ่อน เชิญครับ"
4) ขอ
SPOILER อีกสักข้อ.. (ข้อนี้ ห้ามเปิดดูจริงจัง ถ้าคุณอยากจะดูหนัง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมชอบ การที่พี่มะเี่ดี่ยว ตัดสินใจจะให้ "โมน" มีสองคน และคนเล่นก็เป็นคนเดียวกัน แต่นำเสนอต่างทางคาแรกเตอร์ เป็นตัวละครที่ให้โอกาสอยู่บนโลกทั้งสองโลกของ "ตี๋" ซึ่งสร้างแรงเหวี่ยงต่อการตัดสินใจจะเลือกคบคนแบบไหนเป็นเพื่อนตาย
ขณะที่ โมน 1 ในโลกแก๊งค์เกรียน ก็ดูจะเป็นตัวละครจืดๆ ที่ไม่ค่อยมีสีสัน (คิดดู รายละเอียดเล็กๆน้อยๆขนาดเรื่องเสื้อผ้า นอกเวลาเรียน ยังต้องดูดี ใส่กางเกงทับเสื้อเชิ้ตตลอดๆ) และไม่น่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกับ ตี๋ ได้ดีเท่าไหร่นัก ..แต่ โมน 2 ในโลกลุยเดี่ยว คือ เด็กที่ไม่ต้องบอกก็รู้ เห็นแค่เปลือกของเขาก็เข้าใจว่า เจนจัด เรื่องความสกปรกมามากแค่ไหน ยิ่งพอได้คลุกคลีก็ยิ่งรู้ว่า ไอ้เด็กนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ
หนังอาจจะไม่ได้ให้ ก. ข. ชัดเจน ว่าตี๋ ต้องเผชิญหน้ากับ โมนทั้งสอง แล้วคิดดูว่า ต้องการเพื่อนแบบไหน (เพราะถ้าหนัีงเลือกจะให้สองโมนมาเผชิญหน้ากันจริงๆ บอกตามตรงว่า คงจะไม่ฉลาดนัก) แต่หนังก็ให้ช่วงเวลาหนึ่งกับ ตี๋ ที่จะได้เรียนรู้ว่า มิตรภาพแบบไหน ที่มันจะยั่งยืนมากกว่ากัน
แม้ โมน 2 จะมีฉากที่น่าิคิด ถึงเรื่องของความเป็นเด็กบ้าน(น่าจะ)แตก ที่อยู่ดีๆ ก็พูดว่า คิดถึงบ้าน และฉากนั้นก็สร้างแรงเหวี่ยงให้รู้สึกว่า หรือบางที โมนนี้ อาจจะเป็นเด็กที่ก็รู้จักเรื่องดีๆ และคิดดีก็เป็นอยู่ ..แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่โมน 2 จะจากไป พร้อมเืลือกหนทางที่จะหักหลังเพื่อนกัน(แบบแอบๆ) ก็ทำให้เรารู้เลยว่า คำพูดที่ว่า คิดถึงบ้าน ที่จริงแล้ว ก็อาจแค่เป็นคำพูดลอยๆ แต่ไม่ได้ตระหนักจริงจังว่า เราเลือกจะจากบ้านมา เพื่อไม่เป็นภาระของที่บ้าน ..อาจจะเป็นเด็กอีกคนหนึ่ง ที่ไม่อยากอยู่บ้าน แล้วก็ออกมาสำมะเลเทเมา ใช้ชีวิตแบบสุดๆ แต่ก็ให้ผ่านๆวันหนึ่งไป จนลืมไปว่า ตัวเองอาจจะสร้างภาระให้ที่บ้าน ในทางอ้อมอยู่
หนังสะท้อนสังคมได้เจ็บๆ จิกๆ ผ่านมุมมองของ โมน 2 ที่กลายเป็นกลุ่มคนนอกแก๊งค์เกรียน แต่มีความหมายนัยสำคัญกับหนัง ..และบท โมน 2 นี้ ก็แสดงให้เห็นว่า คนเล่นมีของ และส่วนตัวก็ชอบการแสดงของ น้อง "กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา" และน่าลุ้นกับการได้ชิงรางวัลสาขาสมทบชายในปีหน้า
อ่านต่อ ในความคิดเห็นที่ 3 ครับ
[CR] มีบางสิ่งที่ผมอยากจะพูดกับ "เกรียน ฟิคชั่น" และคนที่กำลังตัดสินใจจะดูหนัง
แต่ผมคงจะขอพูดมันเป็นข้อๆดีกว่า เพื่อจะได้สะดวกกับการแบ่งว่า ตรงไหน จะพูดน้อย พูดมาก หรือพูดลึก(แปลว่า Spoil)
1) เป็นอีกครั้งที่ "สหมงคล" โปรโมตหนังแบบ หลอกกันเล่นหรือเปล่า? ..และที่เป็นปัญหาหนักๆ ก็มักจะมาลงกัีบหนังของพี่มะเดี่ยวอยู่เสมอๆ
หากใครยังจำได้ กรณีของ "รักแห่งสยาม" ก็คือ ครั้งหนึ่งที่หลอกคนดูจนหัวหกก้นขวิด แต่ครั้งนั้น ต้องยอมรับว่า บางทีถ้าบอกออกไปเลย ถึงความลับ ก็อาจจะทำให้หนังถูกลดความมีพลังลงไปมากโข (แต่ก็สงสารคนที่เข้ามาดูเพราะคาดว่าจะเป็นหนังรักใสๆหัวใจวัยสะออน โดยไม่รู้ว่าจะเข้ามาเจออะไรที่ม้าหินตัวนั้น!!)
ขณะที่หนังเรื่องที่แล้วอย่าง "Home" ก็เป็นการโปรโมตที่นับว่ามาถูกทาง เพราะแสดงตั้งแต่ตัวอย่างโต้งๆ ว่านี่คือหนัง ดรามา ขายความประทับใจ แต่ขณะเดียวกัน ตัวอย่างนั้น ก็ไม่เผยส่วนสำคััญของหนัง จนยอมรับเลยว่า การเดินเกมครั้งนั้น อาจจะทำให้หนังมีเปอร์เซ็นต์จะทำเงินค่อนข้างน้อย แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำให้คนจะเข้ามาดูรู้พื้นฐานของหนังว่า เราจะได้เจออะไร ซึ่งถือว่าเป็นความฉลาดของคนตัดต่อตัวอย่างของสหมงคล ที่จะมีน้อยเคสหลุดออกมาให้เห็นกันบ้าง
แต่ครั้งล่าสุด เกรียน ฟิคชั่น ก็มีผลงานออกมาข้างเดียวกันกับ รักแห่งสยาม คือ บอกเฉพาะความเกรียน(เท่าที่หนังมี) แต่เก็บซ่อนส่วนที่เป็นอารมณ์หลักๆของหนังเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อคนเข้ามาดู ก็กลายเป็นการเข้ามาพบความผิดหวัง และดรามาที่ไม่ทันเตรียมตัว.. ซึ่งถ้าใครบางคน พอรู้จักหนังของมะเดี่ยวมาแล้ว อาจจะเป็นกรณียกเว้น แต่ถ้าเขาไม่เคยรู้จัก และเข้ามาดูเพราะคิดว่าจะฮาๆประสาวัยรุ่น มันก็กลายเป็นส่วนที่ทำให้หนังได้รับคะแนนในแง่ไม่สวยงาม จนทำให้ใครที่ยังไม่ได้ดู เผลอเข้าใจว่า ถ้างั้นรอแผ่นละกัน ..โดยหารู้ไม่ว่า บางคนที่จะรอแผ่นนั้น เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ แบบไม่ถือคติอะไรแล้ว จะพบว่ามันเป็นอีกครั้งที่น่าเสียดายที่ไม่เชื่อตัวเอง ไปดูในโรง
และผลที่ได้ตอนนี้ คือ เกรียน ฟิคชั่น เป็นหนังไทยที่ดี แต่ไม่ทำเงิน และซ้ำร้าย เงินที่จะได้กลับมานั้น มันก็ไม่คุ้มค่ากับที่คนทำหนังอย่างตั้งใจ จะนำเสนอในสิ่งที่ดีให้คนไทยได้ดู นั่นเอง
จึงอยากจะฝากเรื่องนี้ ใ้ห้กลับ สหมงคล ว่า.. โปรโมตหนังเรื่องใด ขอให้แสดงอารมณ์ที่เป็นหลักของหนังเรื่องนั้นออกมาด้วย ไม่ใช่แปะแค่ฉากบางฉากที่จะเรียกคนดูได้เพราะมันดูสนุกเข้าว่า แต่ลืมไปถึงอรรถรสที่แท้จริงที่คนดูจะได้รับหลังออกจากโรง
แม้จะเข้าใจว่า การตลาด ต้องเรียกคนดูให้มากเข้าไว้.. แต่ตอนนี้ ผมเชื่อว่า คนไทย เริ่ีมรู้แล้วว่า การจะเลือกดูหนังเรื่องหนึ่ง "เสียงบอกต่อ" มันเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ มากไปกว่า การได้เห็นหนังเรื่องนั้นเปิดตัวนับหลายสิบล้าน ใน 4 วันแรก ..ถ้าไม่เชื่อ ลองดูตัวอย่าง จากหนัง 400 จะ 500 ล้านเรื่องนั้นดู เพราะถ้าเสียงบอกต่อ ไม่มา ก็ไม่มีทางจะเกิดเรื่องที่เป็นปรากฎการณ์แบบนี้ ขึ้นได้หรอก
2) ผลงานที่ผมชอบมากที่สุดของ พี่มะเีดี่ยว ในตอนนี้ ก็ยังคงเป็น "รักแห่งสยาม" อยู่ี.. แต่ เกรียน ฟิคชั่น ก็ถือว่าเป็นอีกครั้งที่เราจะได้เห็นหนังของพี่มะเดี่ยว พูดถึง เรื่องของวัยรุ่น ในแง่ปมที่ลึกซึ้ง แบบรักแห่งสยาม และมันก็เป็น รักแห่งสยาม ขั้นอัพเกรด เพิ่ม RAM ที่ยังได้สะท้อนสังคมยุค Social Network อยู่ในที
ถ้ามองว่าเป็นหนังรักแบบแฟนมั้ย ผมบอกเลยว่า ไม่.. แต่ถ้าจะนิยามว่ามันเป็นหนังรักแบบเพื่อนฝูง ก็ถือว่า ตีโจทย์ได้แตก
ขณะเดียวกัน มันก็ยังคงเป็น Coming-of-Age ที่เราจะได้เห็นบทบาทของวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ได้พบโลกแบบหนึ่ง กับอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เห็นการเผชิญโลกของวัยรุ่นในวันนี้ ที่สังคมมีส่วนเป็นเบ้าหลอมของการเติบโต
มีคำกล่าวไว้ ว่่า "เราจะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับเพื่อนที่เราคบ สังคมที่เราอยู่ หรือหนังสือที่เราเลือกอ่าน" ..ในมุมมองของ เกรียน ฟิคชั่น จะทำให้เราได้เห็นภาพของสองอย่างแรกว่า คนๆหนึ่งที่กำลังเรียนรู้การเติบโตเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่ เมื่อต้่องมาเผชิญกับโลกคนละมุม ผู้คนคนละแบบ ที่สุดแล้ว เขาจะเลือกว่าโลกใบไหน คือ โลกที่เขาจะอยู่ และเพื่อนแบบไหน ที่เขาจะมองว่าเป็นเพื่อนตาย
แต่ขณะเดียวกัน หนังก็ยังจะพูดถลำลึกกว่านั้น ไปถึงขั้นจิต และใจ ผ่านการที่หนังสร้างปมขึ้นมา ปมแห่งความสำนึกผิด รู้สึกไม่ดี และทำให้ใจของเราเสียทรงไปด้วยทุกครั้งที่นึกถึงมัน.. ตรงนี้ ค่อนข้างจะโดนผมมากเป็นพิเศษ และทำให้ผมลุ้นทุกครั้งที่เมื่อตัวละครนั้่น ถึงเวลา มีโอกาสจะได้แก้ปมนี้ให้หลุดออกไปจากใจสักที
แต่(อีกแล้ว..)มันก็มีอีกปม ที่ลึกลับ ซับซ้อน ยิ่งไปกว่า เรื่องของหนุ่มสาว.. มันคือ เรื่องของคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ ถือว่าเป็น เซอร์ไำำพรส์สำคัญของหนัง เ็ป็นความเหนือคาด ที่ทำให้ผมแอบรู้สึกว่า.. หรือว่า การทำหนังวัยรุ่นวัยเกรียน จะเป็นแค่เปลือกนอก แต่สิ่งที่อยากจะพูดจริงๆ มันคือ สิ่งนี้กันแน่!!
ในแง่ของบท ถือว่า แทบจะอยู่บนเส้นที่ลึกระดับเดียวกันกับ รักแห่งสยาม เลย เพียงแต่ไม่ได้ทำให้เป็นสัญลักษณ์แอบแฝงมากมายเท่ากับ หนังรักวัยรุ่นเรื่องนั้น.. ซึ่งจุดนี้ ทำให้จะมองว่าเป็นงานชิ้นที่ละเอียดละออมาก แต่เข้าถึงง่ายได้ที่สุด ของ พี่มะเดี่ยว ก็คงไม่ผิด
หากจะบอกว่าเป็น มาสเตอร์พีซ ก็เกือบจะใช่แล้ว.. ถ้าไม่ติดว่า หนังมีวิีธีการหาทางออกให้กับบางสถานการณ์ที่ดูจะง่ายเกินไปนิด
3) ข้อนี้ขอได้ SPOILER (ยังไม่ไ้ด้ดู โปรดอย่าอ่าน)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4) ขอ SPOILER อีกสักข้อ.. (ข้อนี้ ห้ามเปิดดูจริงจัง ถ้าคุณอยากจะดูหนัง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านต่อ ในความคิดเห็นที่ 3 ครับ