สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 39
เห็นใจจริง ๆ เลยครับ ผมเองก็กำลังมีลูกอ่อน แต่ยิ่งมี ยิ่งรักแฟนมากขึ้น และเข้าใจถึงความเหนื่อยยากของคนที่ต้องเลี้ยงลูกครับ ทั้งที่ต้องดูแลลูกก็เหนื่อยแล้ว ตัวแม่เองยังจำเป็นต้องอยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมและโดนสั่งให้ทำโดยห้ามขัดขืนหลาย ๆ อย่างจากผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านที่มีหลากหลายสูตรสำเร็จเหลือเกิน จนเธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแล้วยังทำท่าทีไม่สนใจได้ลงคอ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันใหญ่โต ผมคิดว่าแย่มากครับ ผมเห็นคนเป็นแม่แล้วเห็นใจอย่างจับจิต ไม่ต้องมีคนมาบอกก็เห็นอย่างชัดเจน
ผมขอแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปัญหามีไว้ให้แก้นะครับ การมีปัญหาแล้วคอยให้มันเป็นไปหรืออยู่เฉย ๆ หันหลังให้กัน สำหรับผมวิธีการนี้คือสิ่งที่แย่ที่สุด เพราะแต่ละวันจะมีแต่ความระแวง ความไม่สบายใจ และรอสะสม รอวันที่มันจะระเบิดออกมา ดังนั้นหากคิดได้ คุณต้องจับเข่าคุยกัน พูดจากภาษาดอกไม้ ใช้เหตุผลไม่ใช่อารมณ์ หากคุณสามารถพูดดี ๆ ได้ แต่อีกฝ่ายไม่พูดดี ๆ ด้วย ก็ให้ทักไปเลยครับว่าแล้วเดี๋ยวนี้ไม่แคร์กันแล้วเหรอ เราจะเป็นยังไงก็ช่างอย่างนั้นเหรอ เราทำอะไรไม่ดี... ถามไปเลยครับ ให้มันจบ ๆ เคลียร์ ๆ ถ้าคุยเสร็จแล้วร้องไห้ทั้งวันก็ขอให้จบในวันเดียว ก็ยังดีกว่าต้องอยู่แบบไม่พูดกันเป็นปี ๆ
อย่าให้ผู้ชายที่หาเงินเข้าบ้านมันมาเหิมเกริมครับ ถ้าเค้าเอาเรื่องนี้มาอ้าง คุณบอกให้เค้าออกจากงานมาเลี้ยงลูกซะ แล้วคุณจะไปหางานทำเอง ผมคิดเสมอว่าชายกับหญิงนั้นมีสิทธิ์เท่ากัน ผู้ชายยิ่งต้องดูแลฝ่ายหญิงด้วยซ้ำเพราะเค้าอ่อนแอกว่าโดยพื้นฐาน
อย่าเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นนะครับ ยิ่งน่าปวดหัวมากเท่าไหร่ วันนึงที่คุณแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ สิ่งนั้นจะมีค่ามากครับทั้งกับตัวคุณและลูกน้อยครับ ขอให้มีกำลังใจต่อสู้ปัญหานะครับ อย่าปล่อยมันไว้เฉยๆ
ดีครับที่คุณรักและเคารพสามีอยู่เสมอ แต่ผมจะบอกว่าไม่ไม่ถูกต้องทั้งหมด คำว่าครอบครัวมันต้อง เคารพซึ่งกันและกันและกัน ครอบครัวถึงจะเป็นสุข
ผมขอแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปัญหามีไว้ให้แก้นะครับ การมีปัญหาแล้วคอยให้มันเป็นไปหรืออยู่เฉย ๆ หันหลังให้กัน สำหรับผมวิธีการนี้คือสิ่งที่แย่ที่สุด เพราะแต่ละวันจะมีแต่ความระแวง ความไม่สบายใจ และรอสะสม รอวันที่มันจะระเบิดออกมา ดังนั้นหากคิดได้ คุณต้องจับเข่าคุยกัน พูดจากภาษาดอกไม้ ใช้เหตุผลไม่ใช่อารมณ์ หากคุณสามารถพูดดี ๆ ได้ แต่อีกฝ่ายไม่พูดดี ๆ ด้วย ก็ให้ทักไปเลยครับว่าแล้วเดี๋ยวนี้ไม่แคร์กันแล้วเหรอ เราจะเป็นยังไงก็ช่างอย่างนั้นเหรอ เราทำอะไรไม่ดี... ถามไปเลยครับ ให้มันจบ ๆ เคลียร์ ๆ ถ้าคุยเสร็จแล้วร้องไห้ทั้งวันก็ขอให้จบในวันเดียว ก็ยังดีกว่าต้องอยู่แบบไม่พูดกันเป็นปี ๆ
อย่าให้ผู้ชายที่หาเงินเข้าบ้านมันมาเหิมเกริมครับ ถ้าเค้าเอาเรื่องนี้มาอ้าง คุณบอกให้เค้าออกจากงานมาเลี้ยงลูกซะ แล้วคุณจะไปหางานทำเอง ผมคิดเสมอว่าชายกับหญิงนั้นมีสิทธิ์เท่ากัน ผู้ชายยิ่งต้องดูแลฝ่ายหญิงด้วยซ้ำเพราะเค้าอ่อนแอกว่าโดยพื้นฐาน
อย่าเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นนะครับ ยิ่งน่าปวดหัวมากเท่าไหร่ วันนึงที่คุณแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ สิ่งนั้นจะมีค่ามากครับทั้งกับตัวคุณและลูกน้อยครับ ขอให้มีกำลังใจต่อสู้ปัญหานะครับ อย่าปล่อยมันไว้เฉยๆ
ดีครับที่คุณรักและเคารพสามีอยู่เสมอ แต่ผมจะบอกว่าไม่ไม่ถูกต้องทั้งหมด คำว่าครอบครัวมันต้อง เคารพซึ่งกันและกันและกัน ครอบครัวถึงจะเป็นสุข
ความคิดเห็นที่ 28
อ่านแล้วก็รู้สึกหวาเสียวแทน จขกท จริงๆ เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะพลาดพลั้งถลำไปในทางที่ผิด
ผมชื่นชมนะที่คุณเลือกที่จะยุติความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่เข้ามายุ่งเกี่ยวทำความสนิทสนมกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ทำเหมือนจีบ ทำเป็นทีเล่นทีจริง
ยิ่งถ้าผู้ชายรู้ว่าความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนนั้นกับสามีไม่ค่อยดี ไอ้ผู้ชายแบบนี้หวังฟันของฟรีทั้งนั้น ไม่มีใครคิดดีหรอก เชื่อผมเถอะ
ถ้าเป็นผู้ชายที่ดี เป็นสุภาพบุุรุษจริง เค้าจะต้องรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์ไว้เสมอ
อาการของสามีคุณ ตามความเห็นของผม ถ้าเค้าไม่ได้มีคนอื่นก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาการประเภทมีชีวิตที่จำเจเคยชิน เดิมๆ เบื่อหน่าย จนที่สุดก็เห็นคุณเป็นของตาย เลยไม่ได้แคร์นัก
จะบอกว่าเป็นอาการหมดรักก็อาจจะไม่เหมาะ เอาเป็นว่าความท้าทาย ความหน้าหลงไหลที่เคยมี มันไม่ดึงดูดเค้าอีกแล้ว
อาการนี้จะหายไปได้เมื่อผู้ชายรู้สึกได้ว่ากำลังจะสูญเสียคุณไป ถึงจะทำให้เค้าเห็นค่าคุณขึ้นมา แต่ถ้าเค้ารู้ว่ายังไงคุณก็ยังอยู่กับเค้า เค้าก็จะยิ่งไม่จำเป็นต้องแคร์หรือใส่ใจ
ต้องถามว่าคุณมั่นใจด้วยไหมว่าเค้าไม่มีคนอื่น และถ้าไม่มีเค้า คุณสามารถเลี้ยงตัวเองแหละลูกได้หรือเปล่า ต้องตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ด้วย
ถ้าเค้าไม่มีใครอื่น คุณเลี้ยงตัวเองได้ ตอนนี้ก็ต้องควบคุมอารมณ์ อย่าโกรธ อย่าเกรี้ยวกราด อาจต้องคิดแล้วว่าชีวิตคู่อาจจบไม่สวยงามแบบในนิยาย แต่ก็มีความสุขได้ ดีกว่ามีชีวิตเป็นเบี้ยล่าง
การพูดคุยซักถามกันตรงๆ ต่อหน้านั้น ผมไม่คิดว่าเป็นวิธีที่ถูก เพราะการคุยกันต่อหน้ามันพูดกันไม่ออกหรอกครับ อีกฝ่ายก็จะแก้ตัวต่างๆ นาๆ หาว่าเราคิดมากบ้างอะไรบ้าง อาจจะมีแต่จะกลายเป็นชวนทะเลาะกันไป
การเขียนบรรยายบอกเล่าความรู้สึกคุณผ่าน email หรือจดหมายแบบที่เพื่อนสมาชิกหลายคนแนะนำไว้ เป็นทางออกที่ดี เพราะเรื่องแบบนี้ต้องให้เค้าคิด ให้เวลาเค้าตรึกตรองย้อนมองตัวเองด้วย
เขียนแล้วหาทางส่งให้เค้าอ่าน อาจเขียนเป็นจดหมาย วางไว้หัวนอน แต่ระหว่างนั้นให้คุณพาลูกหลบไปอยู่ที่อื่นซักพักก่อน
เช่นบอกเค้าว่าจะพาลูกไปเที่ยวทะเลกัน 2 คนซัก 3 วัน 5 วัน แล้วค่อยทิ้งจดหมายไว้ให้เค้าอ่าน ให้โอกาสเค้าอยู่คนเดียวตอนที่เค้าอ่าน ให้เค้าได้ทบทวนการกระทำที่ผ่านๆ มา 5 ปี
ให้เค้าเห็นชีวิตที่มีแต่ตัวเค้า กับงานของเค้า ไม่มีคุณไม่มีลูกดูซักพัก ถ้าเค้า Happy กับมัน ก็อาจจะถึงเวลาที่คุณต้องพึ่งตัวเอง ยืนหยัดเอง และเลือกจากกันไปด้วยดี
ถ้าเค้ายังกลับมาตาสว่าง เห็นคุณค่าของคุณ ชีวิตคู่อาจจะปรับดีขึ้นได้ แต่ของแบบนี้ อาจปรับปรุงตัวดีได้พักเดียวแล้วก็เป็นแบบเดิม
ดังนั้น ลูก 5 ขวบแล้ว เข้าโรงเรียนแล้ว คุณจะมีเวลามากขึ้นแล้ว คุณอาจต้องมองการออกมาทำงานเอง ไม่หยุดแค่การเป็นแม่บ้านแล้ว เพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง เผื่อใครบางคนไม่เห็นค่า
ถ้าสามีไม่เห็นด้วย คุณบอกไปตรงๆ ก็ได้ ว่าคุณไม่แน่ใจในอนาคต ไม่มั่นใจชีวิตคู่ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง เผื่อวันนั้นมาถึง คุณต้องพึ่งตัวเอง เลยต้องเตรียมพร้อมไว้
แต่สิ่งหนึ่งที่ย้ำว่าต้องทำคือคุณต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ อย่าโวยวาย อย่าเกรี้ยวกราด อย่าชวนทะเลาะ ใช้ความเย็นบวกเหตุและผลเข้าไว้
ผมชื่นชมนะที่คุณเลือกที่จะยุติความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่เข้ามายุ่งเกี่ยวทำความสนิทสนมกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ทำเหมือนจีบ ทำเป็นทีเล่นทีจริง
ยิ่งถ้าผู้ชายรู้ว่าความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนนั้นกับสามีไม่ค่อยดี ไอ้ผู้ชายแบบนี้หวังฟันของฟรีทั้งนั้น ไม่มีใครคิดดีหรอก เชื่อผมเถอะ
ถ้าเป็นผู้ชายที่ดี เป็นสุภาพบุุรุษจริง เค้าจะต้องรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์ไว้เสมอ
อาการของสามีคุณ ตามความเห็นของผม ถ้าเค้าไม่ได้มีคนอื่นก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาการประเภทมีชีวิตที่จำเจเคยชิน เดิมๆ เบื่อหน่าย จนที่สุดก็เห็นคุณเป็นของตาย เลยไม่ได้แคร์นัก
จะบอกว่าเป็นอาการหมดรักก็อาจจะไม่เหมาะ เอาเป็นว่าความท้าทาย ความหน้าหลงไหลที่เคยมี มันไม่ดึงดูดเค้าอีกแล้ว
อาการนี้จะหายไปได้เมื่อผู้ชายรู้สึกได้ว่ากำลังจะสูญเสียคุณไป ถึงจะทำให้เค้าเห็นค่าคุณขึ้นมา แต่ถ้าเค้ารู้ว่ายังไงคุณก็ยังอยู่กับเค้า เค้าก็จะยิ่งไม่จำเป็นต้องแคร์หรือใส่ใจ
ต้องถามว่าคุณมั่นใจด้วยไหมว่าเค้าไม่มีคนอื่น และถ้าไม่มีเค้า คุณสามารถเลี้ยงตัวเองแหละลูกได้หรือเปล่า ต้องตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ด้วย
ถ้าเค้าไม่มีใครอื่น คุณเลี้ยงตัวเองได้ ตอนนี้ก็ต้องควบคุมอารมณ์ อย่าโกรธ อย่าเกรี้ยวกราด อาจต้องคิดแล้วว่าชีวิตคู่อาจจบไม่สวยงามแบบในนิยาย แต่ก็มีความสุขได้ ดีกว่ามีชีวิตเป็นเบี้ยล่าง
การพูดคุยซักถามกันตรงๆ ต่อหน้านั้น ผมไม่คิดว่าเป็นวิธีที่ถูก เพราะการคุยกันต่อหน้ามันพูดกันไม่ออกหรอกครับ อีกฝ่ายก็จะแก้ตัวต่างๆ นาๆ หาว่าเราคิดมากบ้างอะไรบ้าง อาจจะมีแต่จะกลายเป็นชวนทะเลาะกันไป
การเขียนบรรยายบอกเล่าความรู้สึกคุณผ่าน email หรือจดหมายแบบที่เพื่อนสมาชิกหลายคนแนะนำไว้ เป็นทางออกที่ดี เพราะเรื่องแบบนี้ต้องให้เค้าคิด ให้เวลาเค้าตรึกตรองย้อนมองตัวเองด้วย
เขียนแล้วหาทางส่งให้เค้าอ่าน อาจเขียนเป็นจดหมาย วางไว้หัวนอน แต่ระหว่างนั้นให้คุณพาลูกหลบไปอยู่ที่อื่นซักพักก่อน
เช่นบอกเค้าว่าจะพาลูกไปเที่ยวทะเลกัน 2 คนซัก 3 วัน 5 วัน แล้วค่อยทิ้งจดหมายไว้ให้เค้าอ่าน ให้โอกาสเค้าอยู่คนเดียวตอนที่เค้าอ่าน ให้เค้าได้ทบทวนการกระทำที่ผ่านๆ มา 5 ปี
ให้เค้าเห็นชีวิตที่มีแต่ตัวเค้า กับงานของเค้า ไม่มีคุณไม่มีลูกดูซักพัก ถ้าเค้า Happy กับมัน ก็อาจจะถึงเวลาที่คุณต้องพึ่งตัวเอง ยืนหยัดเอง และเลือกจากกันไปด้วยดี
ถ้าเค้ายังกลับมาตาสว่าง เห็นคุณค่าของคุณ ชีวิตคู่อาจจะปรับดีขึ้นได้ แต่ของแบบนี้ อาจปรับปรุงตัวดีได้พักเดียวแล้วก็เป็นแบบเดิม
ดังนั้น ลูก 5 ขวบแล้ว เข้าโรงเรียนแล้ว คุณจะมีเวลามากขึ้นแล้ว คุณอาจต้องมองการออกมาทำงานเอง ไม่หยุดแค่การเป็นแม่บ้านแล้ว เพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง เผื่อใครบางคนไม่เห็นค่า
ถ้าสามีไม่เห็นด้วย คุณบอกไปตรงๆ ก็ได้ ว่าคุณไม่แน่ใจในอนาคต ไม่มั่นใจชีวิตคู่ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง เผื่อวันนั้นมาถึง คุณต้องพึ่งตัวเอง เลยต้องเตรียมพร้อมไว้
แต่สิ่งหนึ่งที่ย้ำว่าต้องทำคือคุณต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ อย่าโวยวาย อย่าเกรี้ยวกราด อย่าชวนทะเลาะ ใช้ความเย็นบวกเหตุและผลเข้าไว้
ความคิดเห็นที่ 70
ขอแสดงความเห็นด้วยคนนะคะ แต่เรายังโสด อาจจะไม่ละเอียดอ่อนเรื่องครอบครัวเท่าพี่ๆห้องชานเรือนนัก
แต่อดไม่ได้ที่จะเข้ามาแสดงความเห็น เอาแค่ในส่วนของ จขกท. ละกันนะคะ ว่าอยากให้ลองปรับทัศนคติที่มีต่อตัวเองใหม่ ดีมั้ยคะ?
เท่าท่ี่อ่านดู เราพอมองออกว่า จขกท น่าจะ เป็นผู้หญิง สวย น่ารัก นิสัยดี รวมๆแล้วเพอร์เฟคเลยล่ะ พอแต่งงานยอมสละหน้าที่การงาน มาเป็นแม่ที่ดี ขนาดมีคนช่วยเลี้ยงดู คุณยังพยายามเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ซึ่งเราว่าคุณ น่าชื่นชมมากๆเลยนะคะ
ทีนี้เราก็พอจะมองออกอีกว่า เนื่องจากคุณเป็นคนที่นิสัยดีมาก ซึ่งก็หมายถึงคุณเป็นคนจิตใจดี คุณเลยมองโลกในแง่ดีมาตลอด คุณเลยพยายามเข้าใจสามีทุกอย่างๆ มองสามีด้านบวกเสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะเข้าใจว่าสามีใคร ใครก็รัก แต่มันกลับทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นทุกวันๆ
เพราะคุณทำดีกับเขาเท่าไหร่ เขากลับเหินห่างคุณกับลูกออกไปทุกทีๆ ดูจากที่คุณคอยเฝ้าถามตัวเองสิคะ ว่าคุณผิดอะไร คุณไม่ดีตรงไหน มีแต่คำถามว่า ทำไม? ทำไม? และ ทำไม? ใช่รึเปล่าคะ?
คุณกำลังมัทัศนคติด้านลบต่อตัวเองแบบไม่รู้ตัวนะคะ ยิ่งนานวันคุณยิ่งรู้สึกแย่ ทั้งๆที่คุณนั้นทำดี ดูแลลูกและสามีเป็นอย่างดีมาตลอด แต่ถ้าสามีทำไม่ดีกับคุณ ทั้งที่คุณดีกับเขามาก เป็นเมียและแม่ที่ดีเสมอ คุณเลยต้องกลับมาตำหนิตัวเอง อย่างนั้นหรือคะ???
ขอให้คุณหยุดคิดลบต่อตัวเองได้แล้วค่ะ แล้วเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองกลับคืนมา ลองคิดย้อนไปก่อนแต่งสิคะ ว่าคุณเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เมื่อก่อนคุณมีงานทำ คุณสวย คุณเก่ง แค่ไหน คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากใช่ไหมคะ?ตอนนี้ถึงคุณไม่ได้ทำงาน หาเงินด้วยตัวเอง แต่คุณมีงานที่ยิ่งใหญ่ มีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นั้นคือการเป็นแม่คน แถมคุณยังยับยั้งชั่งใจ ไม่เดินหลงผิดไปกับอะไรที่ไม่ดีงาม เราว่าคุณน่ะมีคุณค่ามากๆ และเป็นคนดีมากนะคะ ขอให้คุณ จขกท มองข้อดีของตัวเองตรงนี้ไว้ดีกว่าค่ะ
เราเข้าใจนะคะว่าคุณคาดหวังว่าชีวิตคู่จะมีความสุข แต่เมื่อไม่เป็นแบบนั้น คุณอย่าตำหนิตัวเองเลยค่ะ แม้ว่าเราจะว่าตรงๆนะคะว่าสามีคุณใช้ไม่ได้ ที่คิดว่ามีอำนาจเหนือคุณ เลยไม่ใส่ใจให้ความรัก ความเอาใจใส่คุณแบบนี้ แต่เราจะตัดประเด็นนนี้ออกไป เพราะหลายๆความเห็นด้านบนแนะนำเรื่องการประคับประคองชีวิตคู่ไปแล้ว
เราอยากให้ผู้หญิงแบบเจ้าของกระทู้ หันกลับมารักตัวเองให้มากๆ คุณจะได้มีพลังในการใช้ชีวิต มีพลัังในการเลี้ยงลูกต่อไป พูดง่ายๆนะคะ คือคุณต้องมีความศรัทธาในตัวเองให้มากๆ เพราะ คุณมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในตัวเอง และนี่มันเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจอย่างนึงของผู้หญิง โดยที่คุณอาจจะไม่ต้องฝืนทำอย่างอื่นเพื่อพยายามให้สามีกลับมาเหมือนเดิมเลยก็ได้
เมื่อคุณเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองกลับมาได้แล้ว เราอยากให้คุณรู้ว่า ทั้งหมดนี้เพื่อตัวคุณเองนะคะ บางครั้งเมื่อเรารู้จักปล่อยวาง และลดความคาดหวังลง คุณอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้ค่ะ แล้วคุณจะได้มีความสุขมากขึ้น
บางครั้งการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คืออย่าให้เขารู้ว่าคุณกำลังแก้ปัญหาอยู่ เพราะมันจะแสดงออกทางสีหน้าว่าคุณกำลังเศร้่าใจ ทุกข์ใจ แต่เมื่อคุณไม่ทำอะไรเดิมๆที่เขาอาจจะคาดเดาได้ หรือทำตัวเปลี่ยนไปจากเดิม บ้าง เช่นกลับมาบ้านทีไรก็เห็นแต่คุณกับลูกทุกวัน ทำเหมือนเดิมทุกวัน ลองเปลี่ยนเป็นพาลูกไปนอนบ้านคุณตา คุณยาย ซัก 2-3 วัน โดยแค่ทิ้งโน้ตเอาไว้ที่บ้าน อาจจะทำให้เขาแปลกใจ และอาจจะกลับมาสนใจคุณอีกครั้งก็ได้นะคะ ลองหาอะไรใหม่ๆทำแต่ต้องแน่ใจนะคะว่าจะไม่ฝืนใจตัวเองเกินไป
เราไม่แน่ใจว่าคุณ จขกท จะกลับมาอ่านความเห็นนี้ไหม แต่เราก็อยากจะพิมพ์ให้หลายๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน ลองพิจารณาดูนะคะ ว่าจริงไหม แล้วอาจจะได้ผลดีกับตัวคุณก็ได้ เราขอเป็นกำลังใจให้ผู้หญิงทุกคนที่กำลังเจอปัญหานะคะ
แต่อดไม่ได้ที่จะเข้ามาแสดงความเห็น เอาแค่ในส่วนของ จขกท. ละกันนะคะ ว่าอยากให้ลองปรับทัศนคติที่มีต่อตัวเองใหม่ ดีมั้ยคะ?
เท่าท่ี่อ่านดู เราพอมองออกว่า จขกท น่าจะ เป็นผู้หญิง สวย น่ารัก นิสัยดี รวมๆแล้วเพอร์เฟคเลยล่ะ พอแต่งงานยอมสละหน้าที่การงาน มาเป็นแม่ที่ดี ขนาดมีคนช่วยเลี้ยงดู คุณยังพยายามเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ซึ่งเราว่าคุณ น่าชื่นชมมากๆเลยนะคะ
ทีนี้เราก็พอจะมองออกอีกว่า เนื่องจากคุณเป็นคนที่นิสัยดีมาก ซึ่งก็หมายถึงคุณเป็นคนจิตใจดี คุณเลยมองโลกในแง่ดีมาตลอด คุณเลยพยายามเข้าใจสามีทุกอย่างๆ มองสามีด้านบวกเสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะเข้าใจว่าสามีใคร ใครก็รัก แต่มันกลับทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นทุกวันๆ
เพราะคุณทำดีกับเขาเท่าไหร่ เขากลับเหินห่างคุณกับลูกออกไปทุกทีๆ ดูจากที่คุณคอยเฝ้าถามตัวเองสิคะ ว่าคุณผิดอะไร คุณไม่ดีตรงไหน มีแต่คำถามว่า ทำไม? ทำไม? และ ทำไม? ใช่รึเปล่าคะ?
คุณกำลังมัทัศนคติด้านลบต่อตัวเองแบบไม่รู้ตัวนะคะ ยิ่งนานวันคุณยิ่งรู้สึกแย่ ทั้งๆที่คุณนั้นทำดี ดูแลลูกและสามีเป็นอย่างดีมาตลอด แต่ถ้าสามีทำไม่ดีกับคุณ ทั้งที่คุณดีกับเขามาก เป็นเมียและแม่ที่ดีเสมอ คุณเลยต้องกลับมาตำหนิตัวเอง อย่างนั้นหรือคะ???
ขอให้คุณหยุดคิดลบต่อตัวเองได้แล้วค่ะ แล้วเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองกลับคืนมา ลองคิดย้อนไปก่อนแต่งสิคะ ว่าคุณเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เมื่อก่อนคุณมีงานทำ คุณสวย คุณเก่ง แค่ไหน คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากใช่ไหมคะ?ตอนนี้ถึงคุณไม่ได้ทำงาน หาเงินด้วยตัวเอง แต่คุณมีงานที่ยิ่งใหญ่ มีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นั้นคือการเป็นแม่คน แถมคุณยังยับยั้งชั่งใจ ไม่เดินหลงผิดไปกับอะไรที่ไม่ดีงาม เราว่าคุณน่ะมีคุณค่ามากๆ และเป็นคนดีมากนะคะ ขอให้คุณ จขกท มองข้อดีของตัวเองตรงนี้ไว้ดีกว่าค่ะ
เราเข้าใจนะคะว่าคุณคาดหวังว่าชีวิตคู่จะมีความสุข แต่เมื่อไม่เป็นแบบนั้น คุณอย่าตำหนิตัวเองเลยค่ะ แม้ว่าเราจะว่าตรงๆนะคะว่าสามีคุณใช้ไม่ได้ ที่คิดว่ามีอำนาจเหนือคุณ เลยไม่ใส่ใจให้ความรัก ความเอาใจใส่คุณแบบนี้ แต่เราจะตัดประเด็นนนี้ออกไป เพราะหลายๆความเห็นด้านบนแนะนำเรื่องการประคับประคองชีวิตคู่ไปแล้ว
เราอยากให้ผู้หญิงแบบเจ้าของกระทู้ หันกลับมารักตัวเองให้มากๆ คุณจะได้มีพลังในการใช้ชีวิต มีพลัังในการเลี้ยงลูกต่อไป พูดง่ายๆนะคะ คือคุณต้องมีความศรัทธาในตัวเองให้มากๆ เพราะ คุณมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในตัวเอง และนี่มันเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจอย่างนึงของผู้หญิง โดยที่คุณอาจจะไม่ต้องฝืนทำอย่างอื่นเพื่อพยายามให้สามีกลับมาเหมือนเดิมเลยก็ได้
เมื่อคุณเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองกลับมาได้แล้ว เราอยากให้คุณรู้ว่า ทั้งหมดนี้เพื่อตัวคุณเองนะคะ บางครั้งเมื่อเรารู้จักปล่อยวาง และลดความคาดหวังลง คุณอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้ค่ะ แล้วคุณจะได้มีความสุขมากขึ้น
บางครั้งการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คืออย่าให้เขารู้ว่าคุณกำลังแก้ปัญหาอยู่ เพราะมันจะแสดงออกทางสีหน้าว่าคุณกำลังเศร้่าใจ ทุกข์ใจ แต่เมื่อคุณไม่ทำอะไรเดิมๆที่เขาอาจจะคาดเดาได้ หรือทำตัวเปลี่ยนไปจากเดิม บ้าง เช่นกลับมาบ้านทีไรก็เห็นแต่คุณกับลูกทุกวัน ทำเหมือนเดิมทุกวัน ลองเปลี่ยนเป็นพาลูกไปนอนบ้านคุณตา คุณยาย ซัก 2-3 วัน โดยแค่ทิ้งโน้ตเอาไว้ที่บ้าน อาจจะทำให้เขาแปลกใจ และอาจจะกลับมาสนใจคุณอีกครั้งก็ได้นะคะ ลองหาอะไรใหม่ๆทำแต่ต้องแน่ใจนะคะว่าจะไม่ฝืนใจตัวเองเกินไป
เราไม่แน่ใจว่าคุณ จขกท จะกลับมาอ่านความเห็นนี้ไหม แต่เราก็อยากจะพิมพ์ให้หลายๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน ลองพิจารณาดูนะคะ ว่าจริงไหม แล้วอาจจะได้ผลดีกับตัวคุณก็ได้ เราขอเป็นกำลังใจให้ผู้หญิงทุกคนที่กำลังเจอปัญหานะคะ
ความคิดเห็นที่ 3
เคยลองเปิดใจคุยกันดูมั๊ยคะ
ถ้าเราเป็นคุณ เราจะไม่อยู่ไปวันๆ แบบนี้อะค่ะ เราจะจับเข่าคุยกับสามีจริงๆ จังๆ ไปเลยว่า..
ชีวิตคู่เรา ๒ คน ณ ตอนนี้ มันเป็นยังไง อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี มันจะไม่ยิ่งแย่ลงไปกว่านี้เหรอ
คิดจะอยู่ด้วยกันจนถึงปลายทางมั๊ย ถ้าไม่.. แล้วจะเอายังไงกันต่อไป
แต่ถ้าอยากอยู่ด้วยกัน เพื่อลูก เพื่อตัวเราเองทั้ง ๒ คน สถานการณ์ตอนนี้ มันบั่นทอนความรู้สึกเกินไปมั๊ย
เราต่างคน ต่างมีจุดด้อยตรงไหน เปิดหู เปิดใจ เปิดปาก พูด และ รับฟัง ซึ่งกันและกันมั๊ย
ค่อยๆ คุยไปทีละประเด็นอะค่ะ แต่ถ้าเค้าบอกมาว่า "เค้าหมดรัก" เราแล้ว.. เป็นเรา... เรายอมค่ะ
เราจะไม่ทนอยู่กับคนที่เค้าไม่รักเลยจริงๆ ค่ะ สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ก่อนคุย เตรียมหาทางออกไว้ด้วยก็ดีนะคะ ว่าถ้าเลือกที่จะอยู่ต่อ เราจะทำอะไร ยังไงต่อไป
และถ้าเค้าเลือกที่จะจบ เราจะทำอะไร ยังไงต่อไป
ขอให้โชคดีค่ะ สู้ๆ นะคะ
ถ้าเราเป็นคุณ เราจะไม่อยู่ไปวันๆ แบบนี้อะค่ะ เราจะจับเข่าคุยกับสามีจริงๆ จังๆ ไปเลยว่า..
ชีวิตคู่เรา ๒ คน ณ ตอนนี้ มันเป็นยังไง อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี มันจะไม่ยิ่งแย่ลงไปกว่านี้เหรอ
คิดจะอยู่ด้วยกันจนถึงปลายทางมั๊ย ถ้าไม่.. แล้วจะเอายังไงกันต่อไป
แต่ถ้าอยากอยู่ด้วยกัน เพื่อลูก เพื่อตัวเราเองทั้ง ๒ คน สถานการณ์ตอนนี้ มันบั่นทอนความรู้สึกเกินไปมั๊ย
เราต่างคน ต่างมีจุดด้อยตรงไหน เปิดหู เปิดใจ เปิดปาก พูด และ รับฟัง ซึ่งกันและกันมั๊ย
ค่อยๆ คุยไปทีละประเด็นอะค่ะ แต่ถ้าเค้าบอกมาว่า "เค้าหมดรัก" เราแล้ว.. เป็นเรา... เรายอมค่ะ
เราจะไม่ทนอยู่กับคนที่เค้าไม่รักเลยจริงๆ ค่ะ สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ก่อนคุย เตรียมหาทางออกไว้ด้วยก็ดีนะคะ ว่าถ้าเลือกที่จะอยู่ต่อ เราจะทำอะไร ยังไงต่อไป
และถ้าเค้าเลือกที่จะจบ เราจะทำอะไร ยังไงต่อไป
ขอให้โชคดีค่ะ สู้ๆ นะคะ
แสดงความคิดเห็น
ทำอย่างไรดีกับคุณสามีที่ห่างเหิน ตอนนี้เริ่มจะกลัวใจตัวเองเสียแล้วค่ะ
ขอเท้าความซักนิดนะคะ เราเองแต่งงานได้ไม่กี่เดือนก็ตั้งครรภ์ จากนั้นจึงตัดสินใจลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวจนถึงปัจจุบันค่ะ ถึงที่บ้านจะมีคนรับใช้อยู่จำนวนหนึ่ง แต่เราก็อยากเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยตัวเอง แม้จะเป็นคุณแม่มือใหม่ที่ทำอะไรติดขัดไปบ้าง แต่เราก็มีความสุขใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณลูก ได้สื่อสารและเห็นพัฒนาการของเค้าตั้งแต่แรกเกิดเรื่อยมาไม่เว้นวัน ในช่วงแรกคุณสามียังให้ความรักกับครอบครัวอย่างปกติ แต่ระยะหลังมานี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มเหินห่างกันไป ไม่แน่ใจว่าหมดรักเราแล้วหรือเปล่า เพราะเมื่อก่อนแม้จะงานยุ่งขนาดไหนเค้าก็ยังพูดคุยกับเราและแบ่งเวลาให้ครอบครัวบ้าง แต่พอผ่านนานไปเราสองคนกลับไม่ค่อยจะได้พูดกัน เนื่องจากคุณสามีมักจะกลับบ้านดึกอยู่บ่อยๆ ซึ่งหลายครั้งเรารอไม่ไหวต้องเข้านอนไปก่อน และในตอนเช้าเค้าก็รีบไปทำงานเสียจนแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะคุยแค่สั้นๆ นอกจากนั้นบางช่วงคุณสามีก็ติดภารกิจจนไม่ได้กลับบ้านนานหลายวัน ซึ่งเราก็เข้าใจค่ะ เพราะเค้ามีตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทใหญ่ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้บอร์ดพอใจ เผชิญหน้ากับสารพันปัญหาอยู่ไม่เว้น เราเองก็ไม่อยากทำให้เค้าหนักใจ ตอนที่อยู่บ้านคนเดียวเราจะตั้งใจเลี้ยงดูลูกน้อยและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด บางครั้งที่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน เราก็พยายามเอาใจเค้า พูดคุยด้วยดีๆ แต่คุณสามีมักจะเมินเฉยหรือไม่ก็ทำเหมือนจะรำคาญ เคยตวาดและต่อว่าจนเราร้องไห้เลยก็มี ทั้งที่เรารู้ตัวว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่ก็ต้องยอมรับเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องยาวค่ะ
เราเองอยากได้น้องมาเป็นเพื่อนเล่นกับลูกอีกคนหนึ่ง เคยบอกคุณสามี เค้าตอบว่าจะรับไว้พิจารณา แต่แล้วก็ค่อยๆ ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไป คุณสามีไม่เคยมากุ๊กกิ๊กกับเราด้วยเป็นเวลาสองปีกว่าแล้วค่ะ ทั้งที่เราก็ดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ได้ปล่อยให้ร่างกายโทรมลงแต่อย่างใด ถึงแม้จะมีใครต่อใครมาชมว่าเราสวยดูดีอยู่บ่อยๆ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมานี้เราไม่เคยได้ยินถ้อยคำที่ทำให้ชื่นใจออกมาจากปากคุณสามีเลย เรามักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่าเราทำผิดอะไร ถึงทำให้เค้ามีท่าทีเฉยชา แต่เราก็ไม่เคยพบกับคำตอบที่น่าพอใจ เราอยากจะเปิดปากพูดคุยระบายความข้องขุ่นที่มีกับคุณสามี แต่เราก็ไม่กล้า เรากลัวว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับเค้า และอาจจะทำให้เค้าไม่ชอบเรายิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
จากความว้าวุ่นใจ เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า อารมณ์ภายในเริ่มหมองมัวลงอย่างช้าๆ เราพยายามที่จะหลีกหนีความรู้สึกนี้โดยการออกไปพบปะเพื่อนฝูงและทำกิจกรรมต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเราก็ได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนรู้จักของเพื่อนสนิทค่ะ เค้าได้เบอร์โทรของเราไป แล้วก็เริ่มส่งข้อความเข้ามาทักทาย แรกๆ เราเองก็ตอบกลับไปตามมารยาท แต่เมื่อครั้นนานเข้าเราสองคนก็เริ่มที่จะสนิทกัน เค้าอายุอ่อนกว่าเรานิดหน่อย เป็นคนหน้าตาดี ฉลาด ปากหวาน ชอบพูดเอาอกเอาใจ ที่สำคัญคือคุยสนุก เหมือนจะเข้ากับเราได้ดีเลยค่ะ แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับเค้าไป เพราะเกรงว่าจะมีอะไรที่เกินเลยกว่านี้ เราไม่ได้รับโทรศัพท์จากเค้ามาประมาณเดือนกว่าแล้วค่ะ แต่ในใจกลับยังคิดถึงเค้าอยู่ไม่เว้นวัน อยากจะบอกขอโทษ อยากจะโทรไปหา แต่ถ้าทำอย่างนั้น ต่อไปก็คงตัดขาดจากเค้าไม่ได้อีก และถ้าคุณสามีรู้เข้าก็คงเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่นอน
จริงๆ แล้วเราเองก็ยังรักและเคารพคุณสามีอยู่อย่างแน่วแน่ไม่แปรผัน ยังคงคิดถึงวันเก่าๆ ที่เราเคยมีความสุขร่วมกัน ส่วนลูกน้อยเพียงคนเดียวของเรานั้นก็รักเสียยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ เราอยากรักษาครอบครัวไว้เพื่อให้ลูกของเราได้มีบ้านที่อบอุ่น แต่เวลานี้ชีวิตเรากว่าจะผ่านพ้นไปวันๆ มันช่างเหงาๆ บางครั้งตอนเย็นขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เรานั่งอยู่คนเดียวมองไปเห็นลูกน้อยกำลังนอนหลับอยู่ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่ยอมหยุด อยากจะบอกคุณสามีเหลือเกินว่าความห่างเหินของเค้าทำให้หัวใจของเราอ้างว้างเดียวดายถึงเพียงใด ... (ขอโทษนะคะ พอเขียนถึงตอนนี้เราก็ปล่อยโฮออกมาเลย เขียนอะไรไม่ออกแล้ว ขอฝากกระทู้นี้เอาไว้ด้วยค่ะ)