กฟผ.ลุ้นระทึกโรงไฟฟ้ากระบี่........................ เห็นด้วยไหมกับการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่? แหล่งเศรษฐกิจภาคใต้


กฟผ.ลุ้นระทึกโรงไฟฟ้ากระบี่




ร่ายมนตร์ปลุกเชื้อเพลิงถ่านหิน-ลดพึ่งพาก๊าซ

กฟผ.ดันเต็มสูบ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ ผลิตไฟฟ้าป้อนคนภาคใต้ มั่นใจทุกขั้นตอนโปร่งใส เปิดให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม ย้ำถึงเวลาที่ประเทศไทย ต้องกระจายการใช้เชื้อเพลิง ลดใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลค่าไฟให้ใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านรับมือเออีซี

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยความคืบหน้า การดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน

กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดกระบี่ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นแห่งแรก จากที่ ครม.อนุมัติให้ กฟผ.ก่อสร้างรวม 4 แห่ง  แห่งละ 800 เมกะวัตต์ ขณะนี้ กฟผ.ได้จัดทำการประชาพิจารณ์ (EHIA) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในขั้นตอนที่ 1 และ 2 หรือ ค.1 และ ค.2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ขั้นตอนของ ค.1 คือการส่งเจ้าหน้าที่ กฟผ. และผู้ที่มีวิชาชีพทางด้านสุขภาพ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กำหนดออกไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่จะมีการก่อสร้าง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเสนอแนวทางการศึกษาการก่อสร้างเพิ่มเติม เพื่อลดความกังวล ของคนในพื้นที่ ขณะที่ ค.2 ได้เน้นการมีส่วนร่วมในการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการร่วมเสนอมาตรการป้องกัน และแก้ไข ติดตามตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ขณะนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างการสรุปข้อมูลทั้งหมด

สำหรับขั้นตอนสุดท้าย คือ ค.3 เป็นการรับฟังความคิดเห็น เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการทบทวนร่างรายงาน ค.1 และ ค.2 โดยประชาชนสามารถเสนอให้มีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ก่อนจะมีการปรับปรุง เป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการ ค.3 ได้ในปีนี้

จากนั้น ก็จะเสนอข้อมูลต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งเป็นฝ่ายคณะกรรมการ ผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ก่อนนำเสนอรายงานดังกล่าวไปยังคณะกรรมการองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) เพื่อพิจารณา

ให้ความเห็นชอบ จากนั้นสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อส่งต่อให้ สผ.เป็นผู้รวบรวมความคิดเห็นทั้งหมด เพื่อจัดทำงานรายการทำประชาพิจารณ์ เสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์ด) จึงจะสามารถนำรายงานดังกล่าว เสนอให้ ครม. พิจารณาอนุมัติ ให้มีการก่อสร้างอย่างเป็นทางการ

นายสุทัศน์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้ กฟผ.เป็นแกนนำในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้ เพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่การก่อสร้างแห่งอื่นๆ ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า 2010 หรือพีดีพีปี 2553-2573 ซึ่งสาเหตุที่รัฐบาลต้องการให้ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ผลิตไฟฟ้าในอนาคต ก็เพราะต้องการเฉลี่ยความเสี่ยงด้านพลังงาน และให้เกิดความหลากหลายของเชื้อเพลิง จากขณะนี้ประเทศไทยใช้ก๊าซฯ ผลิตไฟฟ้าสูงถึง 70% ถ่านหิน 20% ที่เหลืออีก 10% มาจากการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ, พลังงานน้ำ และพลังงานทดแทน

ดังนั้น หากยังปล่อยให้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ในอนาคตปริมาณสำรองก๊าซฯในอ่าวไทยก็จะทยอยหมดลงใน 10-20 ปีข้างหน้า แม้ว่าประเทศไทยสามารถนำเข้าก๊าซฯจากประเทศพม่า และยังไม่รวมปริมาณก๊าซฯจากแหล่งใหม่ๆในพม่า ที่กำลังขุดเจาะได้  แต่หากเกิดเหตุขัดข้องกะทันหันกับท่อส่งก๊าซฯ ไม่สามารถส่งก๊าซฯมาให้ไทยได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับการผลิตไฟฟ้าของไทย หรือแม้ว่าในการปิดซ่อมแท่นขุดเจาะก๊าซฯของพม่า เมื่อวันที่ 5-14 เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน จะบริหารจัดการหาไฟฟ้าสำรอง มารับมือปัญหาไฟตกไฟดับได้  แต่หากในอนาคตปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็อาจแก้ไขได้ไม่ทันสถานการณ์

“ทำให้ถ่านหิน จึงเป็นทางเลือกที่เหลืออยู่อย่างจำกัดของประเทศไทย เพราะว่ามีต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพียงประมาณ 2-2.25 บาทต่อหน่วย ขณะที่ก๊าซฯอยู่ที่ 2.50 บาทต่อหน่วย พลังงานลม 6 บาทต่อหน่วย พลังงานแสงอาทิตย์ 8 บาทต่อหน่วย ส่วนพลังน้ำอยู่ที่ 2 บาทต่อหน่วย ซึ่งแม้ว่าจะถูกกว่าถ่านหิน แต่ก็มีข้อจำกัด เพราะเราต้องไปซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำมาจากประเทศลาว”

ทั้งนี้ หากประเทศไทยไม่เลือกใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ในอนาคตก็อาจต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่มีราคาแพงกว่าก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยหรือจากพม่า โดยปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 600 บาทต่อล้านบีทียู ขณะที่ก๊าซธรรมชาติราคาเพียง 300 บาทต่อล้านบีทียู และเริ่มทยอยหมดลงในหลายๆแหล่งทั่วโลก ทำให้ค่าไฟฟ้าของประเทศไทยพุ่งไปที่ 5-6 บาทต่อหน่วย ใกล้เคียงกับค่าไฟฟ้าของประเทศสิงคโปร์ จากปัจจุบันค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 3 บาทต่อหน่วย

ที่สำคัญ หากค่าไฟฟ้าของประเทศไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน นักลงทุนที่จะเข้ามาในประเทศไทย หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ก็จะไม่เข้ามาลงทุนในไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสในเออีซีอย่างน่าเสียดาย

นายสุทัศน์ กล่าวว่า ยอมรับว่า โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ในช่วงแรกของการก่อสร้าง เมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา มีการใช้ลิกไนต์ในพื้นที่ผลิตไฟฟ้า ทำให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมจริง  แต่ กฟผ.ได้ทำการติดตั้งระบบดักจับสารไนโตรเจน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่ดักจับฝุ่นละอองได้สูงถึง 90% จากปริมาณที่ปล่อยออกมาจากปล่องระบายความร้อน และได้ปลดระวางเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 1-3 ออกจากระบบ เหลือเพียงเครื่องที่ 4-7 ที่ยังคงใช้งาน และนำถ่านหินสะอาดเข้ามาเป็นเชื้อเพลิง ทำให้ปัญหามลพิษลดลง สภาพอากาศของแม่เมาะ สะอาดปลอดมลพิษ สามารถจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวแม่เมาะขึ้นเป็นประจำทุกปี

เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและให้ประชาชนทั่วไป ไปร่วมงาน เพื่อพิสูจน์สภาพอากาศ ในพื้นที่ว่าปลอดมลภาวะจริงๆ และยังได้จัดทำศูนย์การเรียนรู้ และพิพิธภัณฑ์แม่เมาะ เพื่อแสดงข้อมูลเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่ โรงไฟฟ้ากระบี่ กฟผ.ใช้นำเข้าถ่านหินซับบิทูมีนัส จากอินโดนีเซียเข้ามาผลิตไฟฟ้า 25.5 ล้านตันต่อปี ซึ่งถ่านหินชนิดนี้ มีปริมาณการปล่อยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาต่ำกว่า 1% และอุปกรณ์เครื่องจักรรวมทั้งเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในปัจจุบันก็มีมาตรฐานสูงมาก จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดมลภาวะในพื้นที่

“เหตุผลที่ภาคใต้ควรมีโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง เพราะภาคใต้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยโดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภูเก็ต และกระบี่ ที่พื้นที่ดังกล่าวมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี โดยขณะนี้ภาคใต้ทั้งภาคใช้ไฟฟ้ารวมกัน 2,500 เมกะวัตต์ แต่มีกำลังการผลิตได้เพียง 2,000 เมกะวัตต์”

เขาย้ำทิ้งท้ายว่า ขั้นตอนการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานเพราะยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกล ทั้งการให้ประชาชนเสนอพื้นที่ที่จะให้ก่อสร้าง และขั้นตอนการซื้อที่ดิน การทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผลกระทบด้านสุขภาพ การขออนุมัติโครงการและการก่อสร้าง โดยตามแผนที่วางไว้คือ จะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2558 เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2562 ซึ่งคณะทำงานของ กฟผ.ได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อชี้แจงข้อมูลให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม ในการหาข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งไม่ว่าคนในพื้นที่มีความเห็นอย่างไร  กฟผ.ก็พร้อมรับฟัง เพราะคำตอบสุดท้ายว่าจะได้ก่อสร้างหรือไม่ต้องรอให้ ครม.เป็นผู้เฉลยคำตอบนี้.

ไทยรัฐออนไลน์

    โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
    16 เมษายน 2556, 05:30 น.

http://www.thairath.co.th/content/eco/339069
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่