เพื่อนๆครับ
มีคำคมว่า "อายครูบ่รู้วิชา อายภรรยาบ่มีบุตร"
คำคมนี้แสดงถึงความไม่ดีของการอายครูบาอาจารย์ อันจะทำให้เราขาดความรู้จริงในการปฏิบัติ
ผมเองก็เจอกับปัญหานี้เต็มๆ เป็นคนขี้อายครับ แต่อายในการแสวงหาความดี ในการทำความชั่วไม่ค่อยอายเท่าไหร่ ๕๕๕
จนช่วงสงกรานต์ 13-15 ปีนี้ที่ผ่านมา ได้โอกาสดีทำให้ได้กราบถามข้อข้องใจในการปฏิบัติธรรมที่ผมติดขัดข้องใจมานาน
กับครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของท่านนะครับ เรื่องที่จะเปิดเผยต่อไปนี้จึงขอเน้นไปที่ข้อธรรมเป็นหลักก็แล้วกัน
ที่มาของการถามก็คือ ผมได้ฟังคำครูมาในสองเรื่อง แต่ขบคิดไม่กระจ่าง จึงไม่สามารถนำคำครูมาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมของตนได้เต็มที่ เรื่องแรกคือครูสอนว่า "จงอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้หมั่นกล่าวโทษโจทย์ความชั่วของตนเองเป็นสำคัญ การปฏิบัติธรรมของเธอจึงจะก้าวหน้า" ส่วนเรื่องต่อมาก็คือครูสอนว่า "อานาปานุสสติเป็นพระกรรมฐานพื้นฐานใหญ่ของการปฏิบัติ แม้พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็เคยตรัสยืนยันว่าพระองค์ท่านเป็นผู้มากไปด้วยอานาปาฯ ดังนั้น ก่อนที่่เธอจะทำพระกรรมฐานกองอื่น จงอย่าข้ามอานาปาฯ....ถ้าทำข้ามไป กรรมฐานกองอื่นที่เธอทำจะไม่ตั้งมั่นทรงตัว"
ต่อไปจึงขอแชร์ใจความของคำถามของผม และคำตอบที่ครูบาอาจารย์ที่ผมกราบถามท่านเมตตาตอบครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับการปฏิบัติธรรมของเพื่อนๆ ท่านอื่นๆไม่มากก็น้อย ผมตีความจากคำตอบของท่านมา ความผิดพลาดใดๆอันพึงมีจึงเกิดจากสัญญาและปัญญาอันทรามของผม ไม่เกี่ยวกับครูบาอาจารย์นะครับ ดังนั้นอ่านแล้วคิดตามนะครับอย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าคิดว่ามีเหตุมีผลก็ลองเอาไปปฏิบัติดู สุดท้ายก็ขออวยพรให้เพื่อนๆทุกคนเจริญในธรรม ถึงมรรคผลพระนิพพานกันชาตินี้ทุกคนทุกท่านนะครับ : )
..................................................................................................................................................................................
ถาม: เรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นว่า "จงอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้หมั่นกล่าวโทษโจทย์ความชั่วของตนเท่านั้นเป็นสำคัญ" มีหลักในการคิดในการปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำได้อย่างถูกต้องครับท่าน?
ตอบ: ฉันจะเล่าที่มาให้เธอฟังนะ เธอต้องมองให้เห็นความจริงสินะว่า ไม่มีใครอยากทำอะไรแล้วให้เป็นที่ถูกประนามตำหนิจากคนอื่นหรอก...ไม่มีใครอยากเป็นคนคิดชั่ว คนพูดชั่ว คนทำชั่วหรอกนะ แต่ทำไมเขาถึงพลาดพลั้งไปได้ แล้วก็คนเดิมนี่หล่ะ ที่บางครั้งก็กลับตัวมาคิดดี พูดดี ทำดี ดังนั้นเธอคิดว่าอะไรเล่าที่เป็นเหตุปัจจัยทำให้คนคนเดิมสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนชั่วก็ได้คนดีก็ได้...แรงอกุศลและแรงกุศลอย่างไรหล่ะ ก็พระท่านสอนไว้แล้วนี่ว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม เรียกว่าเป็นไปตามแรงบุญแรงบาปที่เขาเคยทำมาเองก็แล้วกัน...เมื่อแรงบาปเข้าให้ผลกับใจ คนเราก็ย่อมคิดโง่ๆ พูดโง่ๆ ทำโง่ๆ เพราะแรงบาปมันต้องการให้เขาได้ทุกข์ แต่พอเขาทำลงไปแล้ว พอแรงบาปคลายตัวไป แรงบุญเข้าสิงใจแทน คนๆเดิมก็กลับมาคิดฉลาดได้ ก็คิดได้เองว่าสิ่งที่ได้ทำไป มันเป็นความชั่วที่น่าละอายใจเหลือเกิน แล้วพวกเธอมองเห็นสิ่งที่เกิดในใจของเขาเหลือเปล่าหละ เธอก็มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงว่าเขาได้สำนึกแล้ว เธอก็เลยประมาทไปตำหนิกรรมเขาอีก ด่าว่าประนามเขาอีก การไปสนใจจริยาคนอื่นโดยที่เธอเห็นความจริงไม่ครบ มันจึงสร้างโทษสร้างอกุศลกรรมให้เธอแบบนี้ แล้วมันจะไปปฏิบัติธรรมคืบหน้าได้อย่างไรล่ะ พระท่านสอนให้หยุดกรรมชั่วแต่เธอก็ยังสะสมกรรมชั่วไม่หยุดหย่อนแบบนี้ ความเจริญในธรรมใด มรรคผลใดๆมันจะเกิดกับเธอได้หรือ
เธอจำไว้น่ะ กระทั่งตัวเธอเอง เธอก็เป็นผู้สะสมบาปเก่ามามาก ในวันที่แรงบาปเข้าให้ผลกับใจเธอ เธออาจจะคิด จะพูด จะทำตัว ได้อย่างเลวร้ายชั่วช้ายิ่งกว่าคนที่เธอเคยด่าว่าประนามเขาเสียอีก แต่แรงบาปมันก็บังใจให้เธอไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังเลว มันเป็นแบบนี้นะ พอแรงบุญสลับเข้าให้ผลกับใจ เธอก็จะสำนึกและละอายในความชั่วที่ได้ทำไป แรงบุญมันอย่างนี้นะ มันต้องทำให้เธอได้สุข มันก็เลยเปิดให้เธอเห็นความจริงเพื่อที่เธอจะได้กลับเนื้อกลับตัวได้
พระนักบวชบางท่านก็เหมือนกัน ท่านก็คงไม่มีเจตนาอยากบวชมาเพื่อเป็นคนชั่วตั้งแต่แรก ท่านก็ไม่อยากถูกคนประนามเหมือนกัน แรงบุญใหญ่ก็ส่งให้ท่านมีโอกาสได้เข้ามาบวช ได้เข้ามาทำความดีใหญ่มาก บุญนี้ใหญ่ขนาดที่จะเปิดให้ท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติดี พ้นทุกข์ได้เลยตลอดกาลทีเดียว แต่หลายท่านก็มีแรงบาปเก่าที่มากเหลือเกิน แรงบาปมันก็จะเอาท่านลงนรกให้ได้ มันก็เลยเข้ามาให้ผลกับใจท่าน และท่านเองก็เป็นผู้ยังมีกำลังใจไม่มั่นคง แรงบาปมันจึงทำให้ท่านคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วได้ในเขตพระศาสนา ถ้าแรงบาปมันแรงน้อยก็ทำให้ท่านพลาดพลั้งน้อย ถ้าแรงบาปมากมันก็เอาท่านหนัก ให้ท่านพลาดพลั้งรุนแรงไปเลย ท่านเหล่านี้ก็เลยพลาดความดีไปอย่างน่าเสียดาย ต้องตายแล้วตกอเวจีมหานรก.....เธอรู้ความจริงแบบนี้แล้วเธอยังคิดอยากจะตำหนิท่าน หรือว่าเธอคิดได้แล้วว่าท่านน่าสงสารเหลือเกินที่ต้องตกนรกไปอีกนานแสนนาน
ถาม: แล้วที่เคยมีคนกล่าวว่า ยิ่งสติเราดีขึ้นเพียงใด เราก็จะยิ่งมองเห็นความชั่วของตนละเอียดลึกซึ้งขึ้นเพียงนั้น เรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไรครับท่าน?
ตอบ: ความจริงก็เป็นเช่นนั้นแหล่ะ เธอสังเกตสิน่ะว่า ในยามที่เธอมีสติดีขึ้น ตั้งใจทำความดีมากขึ้น เธอก็มักจะตั้งใจเอาดีมากเกินไป คือต้องการจะทำดีให้ได้ผลดีเป็นอย่างใจเธอเสียให้ได้ นี่เธอก็เลยมองข้ามความจริงไปอีก มองข้ามกฏธรรมดาไปอีกว่า การตั้งใจทำความดีเพียงอย่างเดียว มันไม่สามารถบันดาลผลดีที่ต้องการให้เกิดขึ้นปุบปับทันทีหรอกนะ เพราะโลกนี้ก็เต็มไปด้วยแรงกรรมที่มาขัดขวางการทำความดีของเธอ แรงกรรมนั้นมีอยู่ ถ้าเธอไม่เข้าใจไม่ยอมรับนับถือกฏความจริงอันเป็นธรรมดานี้ อารมณ์ฝืนความจริงหรือตัณหาก็จะเกิดขึ้นทำลายความสุขใจของเธอ....เช่น บางวันเธอทำสมาธิแล้วเกิดวันนั้นมีแรงบุญเข้ามาให้ผลกับเธอพอดี เธอก็ได้ผลที่ต้องการหรือดีกว่าที่เธอคาดหมายต้องการด้วยซํ้า เธอก็พอใจในผลดีที่เกิด และยึดถือมั่นหมายว่ามันต้องเที่ยงต้องได้ผลการทำสมาธิแจ่มใสสมใจเธอแบบนี้อีก พออีกวันเธอก็ตั้งใจทำสมาธิเหมือนเดิม แต่วันนั้นแรงบาปเข้ามาตัดรอนผลความสุขที่เธอจะได้จากการทำสมาธิ เธอทำไม่ได้ผลเหมือนเดิม เธอก็รู้สึกรับไม่ได้รู้สึกดิ้นรนขัดเคืองใจ...อารมณ์ฝืนกฏธรรมดานี่แหล่ะเป็นความชั่วขั้นละเอียดที่เธอต้องฝึกฝนสติปัญญาจนมองเห็น และเข้าใจว่าความจริงที่เกิดขึ้นจริงๆมันมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย
ถาม: ขอถามอีกข้อครับท่าน แล้วที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราอย่าทิ้งอานาปาฯในการขึ้นกรรมฐาน ไม่อย่างนั้นอารมณ์พระกรรมฐานกองที่เราจะปฏิบัติต่อจะไม่อาจตั้งมั่นทรงตัวได้ดีเท่าที่ควร ความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไรครับและในทางปฏิบัติเราควรทำอย่างไรจึงจะมีผลครับ และการเจริญอานาปาฯเป็นตัวขึ้นพระกรรมฐานที่ว่า เราต้องทำอานาปาฯไปถึงจุดไหน ถึงจะพอที่จะเปลี่ยนไปทำกองอื่นได้?
ตอบ: ที่มาเป็นอย่างนี้นะ คนเรามีสองประเภท ประเภทแรกคือคนที่ช่างคิด คือชอบอารมณ์คิดมองหาความจริงอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน อารมณ์จิตของคนพวกนี้จึงถูกปรับให้ค่อนข้างเรียบสงบอยู่เนืองๆอยู่แล้ว เพราะอาศัยอารมณ์คิดหาความจริงในเรื่องกระทบและยอมรับกฏธรรมดาเป็นตัวช่วยเคลียร์ใจคนพวกนี้ให้เรียบสงบ...คนประเภทนี้จึงสามารถขึ้นกรรมฐานด้วยอานาปาฯได้ผลอย่างง่าย คือบางทีเขาจับลมหายใจเข้าไม่ทันออกจิตก็เรียบทันทีแล้ว พอเสร็จก็สามารถเจริญพระกรรมฐานกองที่ตนชอบต่อไปได้เลยโดยไม่เสียผลของกองนั้นๆเพราะจิตมีสภาพพร้อมใช้งานอยู่แล้ว
แต่ยังมีคนอีกประเภทที่ไม่ค่อยชอบใช้อารมณ์คิดมองหาความจริงในชีวิตประจำวัน จิตคนพวกนี้จึงไม่ค่อยจะเรียบ จิตมีความหวั่นไหวอยู่มาก ถ้าไม่ขึ้นพระกรรมฐานด้วยอานาปาฯ อารมณ์จิตก็จะไม่เรียบไม่พร้อมใช้งาน ทีนี้ต่อให้เขาจะทำกรรมฐานกองไหนต่อไปก็ไม่อาจเกิดจิตตั้งมั่นได้ คนประเภทนี้จึงต้องขึ้นพระกรรมฐานด้วยอานาปาฯเสียก่อน ปรับจิตให้เรียบพร้อมใช้งานต่อไปเสียก่อน ก็ต้องทำไปจนกว่าจะเกิดอารมณ์สบายในอานาปาฯ แล้วก็เจริญพระกรรมฐานกองอื่นต่อไป
สังเกตนะว่าถ้าจะให้การเจริญพระกรรมฐานมีผลดีไม่เสื่อม โบราณาจารย์ท่านมักจะแนะนำให้เราเอาวิปัสสนาญาณ 9 ทำควบคู่กับการเจริญกรรมฐาน40....คือท่านสอนให้เราเอาผลที่เราคิดยอมรับความจริงในกฏธรรมดาข้อใดข้อหนึ่ง ที่เราคิดได้จนเข้าถึงผลความไม่ลังเลสงสัยได้คล่องแล้ว มาขึ้นกรรมฐานซะก่อนแล้วค่อยต่อกองที่เราถนัดต่อไป.....เช่นถ้าเราเป็นคนที่คิดเรื่องเราตายวันนี้ได้เสมอ เราคิดมามากจนเข้าถึงและชำนาญในการคิดความจริงข้อนี้จนไม่มีอะไรสงสัยในใจแล้ว เราก็เอาอารมณ์คิดข้อนี้ที่เราถึงผลความไม่สงสัยแล้ว มาคิดขึ้นต้นไว้ก่อนจะเจริญพระกรรมฐานกองอื่น ผลของการเข้าถึงความจริงของอารมณ์คิดแบบนี้จะเป็นตัวปรับจิตเธอให้เรียบร้อยได้อย่างรวดเร็วไม่ชักช้า คราวนี้เธอมีจิตที่พร้อมใช้งานแล้ว เธอจะเจริญกรรมฐานกองใดต่อไปก็จะได้ผลดีเป็นที่มั่นคง
ข้อธรรมที่คนขี้อายคนหนึ่งได้จากครูบาอาจารย์ ในช่วงสงกรานต์
มีคำคมว่า "อายครูบ่รู้วิชา อายภรรยาบ่มีบุตร"
คำคมนี้แสดงถึงความไม่ดีของการอายครูบาอาจารย์ อันจะทำให้เราขาดความรู้จริงในการปฏิบัติ
ผมเองก็เจอกับปัญหานี้เต็มๆ เป็นคนขี้อายครับ แต่อายในการแสวงหาความดี ในการทำความชั่วไม่ค่อยอายเท่าไหร่ ๕๕๕
จนช่วงสงกรานต์ 13-15 ปีนี้ที่ผ่านมา ได้โอกาสดีทำให้ได้กราบถามข้อข้องใจในการปฏิบัติธรรมที่ผมติดขัดข้องใจมานาน
กับครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของท่านนะครับ เรื่องที่จะเปิดเผยต่อไปนี้จึงขอเน้นไปที่ข้อธรรมเป็นหลักก็แล้วกัน
ที่มาของการถามก็คือ ผมได้ฟังคำครูมาในสองเรื่อง แต่ขบคิดไม่กระจ่าง จึงไม่สามารถนำคำครูมาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมของตนได้เต็มที่ เรื่องแรกคือครูสอนว่า "จงอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้หมั่นกล่าวโทษโจทย์ความชั่วของตนเองเป็นสำคัญ การปฏิบัติธรรมของเธอจึงจะก้าวหน้า" ส่วนเรื่องต่อมาก็คือครูสอนว่า "อานาปานุสสติเป็นพระกรรมฐานพื้นฐานใหญ่ของการปฏิบัติ แม้พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็เคยตรัสยืนยันว่าพระองค์ท่านเป็นผู้มากไปด้วยอานาปาฯ ดังนั้น ก่อนที่่เธอจะทำพระกรรมฐานกองอื่น จงอย่าข้ามอานาปาฯ....ถ้าทำข้ามไป กรรมฐานกองอื่นที่เธอทำจะไม่ตั้งมั่นทรงตัว"
ต่อไปจึงขอแชร์ใจความของคำถามของผม และคำตอบที่ครูบาอาจารย์ที่ผมกราบถามท่านเมตตาตอบครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับการปฏิบัติธรรมของเพื่อนๆ ท่านอื่นๆไม่มากก็น้อย ผมตีความจากคำตอบของท่านมา ความผิดพลาดใดๆอันพึงมีจึงเกิดจากสัญญาและปัญญาอันทรามของผม ไม่เกี่ยวกับครูบาอาจารย์นะครับ ดังนั้นอ่านแล้วคิดตามนะครับอย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าคิดว่ามีเหตุมีผลก็ลองเอาไปปฏิบัติดู สุดท้ายก็ขออวยพรให้เพื่อนๆทุกคนเจริญในธรรม ถึงมรรคผลพระนิพพานกันชาตินี้ทุกคนทุกท่านนะครับ : )
..................................................................................................................................................................................
ถาม: เรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นว่า "จงอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้หมั่นกล่าวโทษโจทย์ความชั่วของตนเท่านั้นเป็นสำคัญ" มีหลักในการคิดในการปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำได้อย่างถูกต้องครับท่าน?
ตอบ: ฉันจะเล่าที่มาให้เธอฟังนะ เธอต้องมองให้เห็นความจริงสินะว่า ไม่มีใครอยากทำอะไรแล้วให้เป็นที่ถูกประนามตำหนิจากคนอื่นหรอก...ไม่มีใครอยากเป็นคนคิดชั่ว คนพูดชั่ว คนทำชั่วหรอกนะ แต่ทำไมเขาถึงพลาดพลั้งไปได้ แล้วก็คนเดิมนี่หล่ะ ที่บางครั้งก็กลับตัวมาคิดดี พูดดี ทำดี ดังนั้นเธอคิดว่าอะไรเล่าที่เป็นเหตุปัจจัยทำให้คนคนเดิมสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนชั่วก็ได้คนดีก็ได้...แรงอกุศลและแรงกุศลอย่างไรหล่ะ ก็พระท่านสอนไว้แล้วนี่ว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม เรียกว่าเป็นไปตามแรงบุญแรงบาปที่เขาเคยทำมาเองก็แล้วกัน...เมื่อแรงบาปเข้าให้ผลกับใจ คนเราก็ย่อมคิดโง่ๆ พูดโง่ๆ ทำโง่ๆ เพราะแรงบาปมันต้องการให้เขาได้ทุกข์ แต่พอเขาทำลงไปแล้ว พอแรงบาปคลายตัวไป แรงบุญเข้าสิงใจแทน คนๆเดิมก็กลับมาคิดฉลาดได้ ก็คิดได้เองว่าสิ่งที่ได้ทำไป มันเป็นความชั่วที่น่าละอายใจเหลือเกิน แล้วพวกเธอมองเห็นสิ่งที่เกิดในใจของเขาเหลือเปล่าหละ เธอก็มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงว่าเขาได้สำนึกแล้ว เธอก็เลยประมาทไปตำหนิกรรมเขาอีก ด่าว่าประนามเขาอีก การไปสนใจจริยาคนอื่นโดยที่เธอเห็นความจริงไม่ครบ มันจึงสร้างโทษสร้างอกุศลกรรมให้เธอแบบนี้ แล้วมันจะไปปฏิบัติธรรมคืบหน้าได้อย่างไรล่ะ พระท่านสอนให้หยุดกรรมชั่วแต่เธอก็ยังสะสมกรรมชั่วไม่หยุดหย่อนแบบนี้ ความเจริญในธรรมใด มรรคผลใดๆมันจะเกิดกับเธอได้หรือ
เธอจำไว้น่ะ กระทั่งตัวเธอเอง เธอก็เป็นผู้สะสมบาปเก่ามามาก ในวันที่แรงบาปเข้าให้ผลกับใจเธอ เธออาจจะคิด จะพูด จะทำตัว ได้อย่างเลวร้ายชั่วช้ายิ่งกว่าคนที่เธอเคยด่าว่าประนามเขาเสียอีก แต่แรงบาปมันก็บังใจให้เธอไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังเลว มันเป็นแบบนี้นะ พอแรงบุญสลับเข้าให้ผลกับใจ เธอก็จะสำนึกและละอายในความชั่วที่ได้ทำไป แรงบุญมันอย่างนี้นะ มันต้องทำให้เธอได้สุข มันก็เลยเปิดให้เธอเห็นความจริงเพื่อที่เธอจะได้กลับเนื้อกลับตัวได้
พระนักบวชบางท่านก็เหมือนกัน ท่านก็คงไม่มีเจตนาอยากบวชมาเพื่อเป็นคนชั่วตั้งแต่แรก ท่านก็ไม่อยากถูกคนประนามเหมือนกัน แรงบุญใหญ่ก็ส่งให้ท่านมีโอกาสได้เข้ามาบวช ได้เข้ามาทำความดีใหญ่มาก บุญนี้ใหญ่ขนาดที่จะเปิดให้ท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติดี พ้นทุกข์ได้เลยตลอดกาลทีเดียว แต่หลายท่านก็มีแรงบาปเก่าที่มากเหลือเกิน แรงบาปมันก็จะเอาท่านลงนรกให้ได้ มันก็เลยเข้ามาให้ผลกับใจท่าน และท่านเองก็เป็นผู้ยังมีกำลังใจไม่มั่นคง แรงบาปมันจึงทำให้ท่านคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วได้ในเขตพระศาสนา ถ้าแรงบาปมันแรงน้อยก็ทำให้ท่านพลาดพลั้งน้อย ถ้าแรงบาปมากมันก็เอาท่านหนัก ให้ท่านพลาดพลั้งรุนแรงไปเลย ท่านเหล่านี้ก็เลยพลาดความดีไปอย่างน่าเสียดาย ต้องตายแล้วตกอเวจีมหานรก.....เธอรู้ความจริงแบบนี้แล้วเธอยังคิดอยากจะตำหนิท่าน หรือว่าเธอคิดได้แล้วว่าท่านน่าสงสารเหลือเกินที่ต้องตกนรกไปอีกนานแสนนาน
ถาม: แล้วที่เคยมีคนกล่าวว่า ยิ่งสติเราดีขึ้นเพียงใด เราก็จะยิ่งมองเห็นความชั่วของตนละเอียดลึกซึ้งขึ้นเพียงนั้น เรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไรครับท่าน?
ตอบ: ความจริงก็เป็นเช่นนั้นแหล่ะ เธอสังเกตสิน่ะว่า ในยามที่เธอมีสติดีขึ้น ตั้งใจทำความดีมากขึ้น เธอก็มักจะตั้งใจเอาดีมากเกินไป คือต้องการจะทำดีให้ได้ผลดีเป็นอย่างใจเธอเสียให้ได้ นี่เธอก็เลยมองข้ามความจริงไปอีก มองข้ามกฏธรรมดาไปอีกว่า การตั้งใจทำความดีเพียงอย่างเดียว มันไม่สามารถบันดาลผลดีที่ต้องการให้เกิดขึ้นปุบปับทันทีหรอกนะ เพราะโลกนี้ก็เต็มไปด้วยแรงกรรมที่มาขัดขวางการทำความดีของเธอ แรงกรรมนั้นมีอยู่ ถ้าเธอไม่เข้าใจไม่ยอมรับนับถือกฏความจริงอันเป็นธรรมดานี้ อารมณ์ฝืนความจริงหรือตัณหาก็จะเกิดขึ้นทำลายความสุขใจของเธอ....เช่น บางวันเธอทำสมาธิแล้วเกิดวันนั้นมีแรงบุญเข้ามาให้ผลกับเธอพอดี เธอก็ได้ผลที่ต้องการหรือดีกว่าที่เธอคาดหมายต้องการด้วยซํ้า เธอก็พอใจในผลดีที่เกิด และยึดถือมั่นหมายว่ามันต้องเที่ยงต้องได้ผลการทำสมาธิแจ่มใสสมใจเธอแบบนี้อีก พออีกวันเธอก็ตั้งใจทำสมาธิเหมือนเดิม แต่วันนั้นแรงบาปเข้ามาตัดรอนผลความสุขที่เธอจะได้จากการทำสมาธิ เธอทำไม่ได้ผลเหมือนเดิม เธอก็รู้สึกรับไม่ได้รู้สึกดิ้นรนขัดเคืองใจ...อารมณ์ฝืนกฏธรรมดานี่แหล่ะเป็นความชั่วขั้นละเอียดที่เธอต้องฝึกฝนสติปัญญาจนมองเห็น และเข้าใจว่าความจริงที่เกิดขึ้นจริงๆมันมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย
ถาม: ขอถามอีกข้อครับท่าน แล้วที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราอย่าทิ้งอานาปาฯในการขึ้นกรรมฐาน ไม่อย่างนั้นอารมณ์พระกรรมฐานกองที่เราจะปฏิบัติต่อจะไม่อาจตั้งมั่นทรงตัวได้ดีเท่าที่ควร ความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไรครับและในทางปฏิบัติเราควรทำอย่างไรจึงจะมีผลครับ และการเจริญอานาปาฯเป็นตัวขึ้นพระกรรมฐานที่ว่า เราต้องทำอานาปาฯไปถึงจุดไหน ถึงจะพอที่จะเปลี่ยนไปทำกองอื่นได้?
ตอบ: ที่มาเป็นอย่างนี้นะ คนเรามีสองประเภท ประเภทแรกคือคนที่ช่างคิด คือชอบอารมณ์คิดมองหาความจริงอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน อารมณ์จิตของคนพวกนี้จึงถูกปรับให้ค่อนข้างเรียบสงบอยู่เนืองๆอยู่แล้ว เพราะอาศัยอารมณ์คิดหาความจริงในเรื่องกระทบและยอมรับกฏธรรมดาเป็นตัวช่วยเคลียร์ใจคนพวกนี้ให้เรียบสงบ...คนประเภทนี้จึงสามารถขึ้นกรรมฐานด้วยอานาปาฯได้ผลอย่างง่าย คือบางทีเขาจับลมหายใจเข้าไม่ทันออกจิตก็เรียบทันทีแล้ว พอเสร็จก็สามารถเจริญพระกรรมฐานกองที่ตนชอบต่อไปได้เลยโดยไม่เสียผลของกองนั้นๆเพราะจิตมีสภาพพร้อมใช้งานอยู่แล้ว
แต่ยังมีคนอีกประเภทที่ไม่ค่อยชอบใช้อารมณ์คิดมองหาความจริงในชีวิตประจำวัน จิตคนพวกนี้จึงไม่ค่อยจะเรียบ จิตมีความหวั่นไหวอยู่มาก ถ้าไม่ขึ้นพระกรรมฐานด้วยอานาปาฯ อารมณ์จิตก็จะไม่เรียบไม่พร้อมใช้งาน ทีนี้ต่อให้เขาจะทำกรรมฐานกองไหนต่อไปก็ไม่อาจเกิดจิตตั้งมั่นได้ คนประเภทนี้จึงต้องขึ้นพระกรรมฐานด้วยอานาปาฯเสียก่อน ปรับจิตให้เรียบพร้อมใช้งานต่อไปเสียก่อน ก็ต้องทำไปจนกว่าจะเกิดอารมณ์สบายในอานาปาฯ แล้วก็เจริญพระกรรมฐานกองอื่นต่อไป
สังเกตนะว่าถ้าจะให้การเจริญพระกรรมฐานมีผลดีไม่เสื่อม โบราณาจารย์ท่านมักจะแนะนำให้เราเอาวิปัสสนาญาณ 9 ทำควบคู่กับการเจริญกรรมฐาน40....คือท่านสอนให้เราเอาผลที่เราคิดยอมรับความจริงในกฏธรรมดาข้อใดข้อหนึ่ง ที่เราคิดได้จนเข้าถึงผลความไม่ลังเลสงสัยได้คล่องแล้ว มาขึ้นกรรมฐานซะก่อนแล้วค่อยต่อกองที่เราถนัดต่อไป.....เช่นถ้าเราเป็นคนที่คิดเรื่องเราตายวันนี้ได้เสมอ เราคิดมามากจนเข้าถึงและชำนาญในการคิดความจริงข้อนี้จนไม่มีอะไรสงสัยในใจแล้ว เราก็เอาอารมณ์คิดข้อนี้ที่เราถึงผลความไม่สงสัยแล้ว มาคิดขึ้นต้นไว้ก่อนจะเจริญพระกรรมฐานกองอื่น ผลของการเข้าถึงความจริงของอารมณ์คิดแบบนี้จะเป็นตัวปรับจิตเธอให้เรียบร้อยได้อย่างรวดเร็วไม่ชักช้า คราวนี้เธอมีจิตที่พร้อมใช้งานแล้ว เธอจะเจริญกรรมฐานกองใดต่อไปก็จะได้ผลดีเป็นที่มั่นคง