เรื่องแรก Breathless (1960)
ด้วยการผ่อนคลายและคลายเครียด ก็คิดได้ว่า ควรจะหยิบหนังแผ่นมาดูบ้างแล้ว จริงๆ เคยตั้งปณิธานจะหยิบหนังเก่าขึ้นมาดูก่อนนอนทุกคืน แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ทำไม่ได้ คืนแรกของเทศกาลสงกรานต์ จึงเป็นโอกาสดี ที่หยิบงานของ Jean-Luc Godard เรื่อง Breathless (1960) มาชม (ขอบคุณมิตรสหายที่ให้เรื่องนี้มา)
Breathless เป็นหนังของผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นคนไร้แก่นสารของชีวิต แต่ต้นเรื่องก็ขับรถเที่ยวเตร่ โดนตำรวจจับก็ยิงตำรวจซะตั้งแต่ต้นเรื่อง นั่นเท่ากับว่าเส้นเรื่องหลักของหนังคือการหนีตำรวจ แต่เขาก็ยังไปติดใจสาวผมสั้นเมกัน จึงหนีไปหาเธอเพื่อไปเกาะๆแกะๆ ซึ่งหนังก็มีความอ่อนหวานของคนหนุ่มสาวได้น่ารัก โรแมนติก
หนังใช้วิธีการ Jump cut ได้อย่างสวยงามมาก ทำให้เรารู้สึกว่า Jump cut แล้วเปลี่ยนสถานที่ หรือจังหวะ มันมีความสุนทรียะอยู่ในตัว รวมถึงฉากในอพาร์ทเม้นของผู้หญิง ซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมแออัด แต่ด้วยการกำกับและบทสนทนา และการตัดต่ออันน่าดูชม เรารู้สึกว่า มันน่ารักอย่างไม่เคยปรากฎ มันอ่อนโยน และรู้สึกได้ แม้ทั้งสองจะรู้จักเพียงผิวเผิน และไม่ก้าวล้ำทางด้านเสรีภาพซึ่งกันและกัน
เสรีภาพ ..... ?
ครับ เสรีภาพ คือสารัตถะ ของตัวละครทั้งสอง
แม้ผมจะไม่เก่งมากอะไร แต่ดูก็รู้ว่า ตัวละครในเรื่อง ใช้ปรัชญา อัตถิภาวะนิยม(existential) ในการดำรงชีวิต ซึ่งเอามาใช้ในการสร้างรายละเอียดในเรื่องได้อย่างงดงามเนื่องจากตัวละครมีเชื้อชาติเข้ามาปะปนด้วย ชาย(ฝรั่งเศส) หญิง(เมกัน) มันก็เลยเป็นการต่อสู้ทางเสรีภาพกันแบบกลายๆ ว่าใครจะเหนือและไม่ตกอยู่ในอิทธิพลของใคร น่าสนุกครับ คนรักกัน แต่จะต่อสู้กันอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่าง มันเป็นหนังที่สนุก น่าติดตาม และมีช็อตและฉากที่ประทับใจ จึงเป็นหนังดี สำหรับผมไปได้ไม่ยากเลย
หวังว่าหนังที่ผมชอบมันคงจะเป็นหนังดี 5555
VIDEO
เรื่องที่ 2 The 400 Blows(1959)
กลางดึกสงัดเมื่อคืน จัด French New Wave ไปอีกเรื่อง คราวนี้ถึงตา The 400 Blows(1959) ของ ฟร็องซัว ทรูว์โฟ ( François Truffaut ) เนื่องว่าศึกษาประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาบ้าง เรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างอันดีเลย ที่จะเข้าถึงภาพยนตร์ French New Wave
The 400 Blows เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งในเมืองปารีส ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากตามสไตล์หนังแนวนี้ คือพาไปจับถึงกิจวัตรประจำวันทั่วๆไปคือการไปโรงเรียน กับ ที่บ้าน มีแค่ 2 อย่างหลักเท่านี้ โรงเรียนครูเข้มงวด ที่บ้านพ่อแม่ระหองระแหง ซึ่งทำให้ชีวิตของเด็กเหมือนติดอยู่ในกรงขังดั่งภาพโปสเตอร์และหาทางออกใดๆ ไม่ได้
หนังเรื่องนี้มีความเรียบง่าย เรื่อยๆ และชวนหลับ กลวิธีนำเสนอไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ไม่ต่างจากตัวละครเด็กตัวนี้เลย มันค่อนข้างที่จะมืดมนเมื่อมองออกไปข้างหน้า ทำให้เห็นว่าภาวะของตัวละครกับการนำเสนอภาพยนตร์ต่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรให้เราตื่นตา ตื่นใจ แม้การถ่ายภาพ สีขาว-ดำ และการเคลื่อนกล้อง จะมีความเป็นธรรมชาติมากเหลือเกิน
ผมชอบการเคลื่อนกล้องแบบ Tracking shot ตั้งแต่ซีนแรก ที่ดูรอบๆเมืองปารีส โดยให้หอไอเฟลคงสายตาเราไว้ตลอด กับการ Tracking shot ในซีนสุดท้าย ที่ติดตามเด็กที่กำลังหนี มันสวยงาม และมีความหวัง ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีหวัง
น่าสนใจ ถ้าเอาไปเทียบกับ Breathless ที่เพิ่งดูไป ทำให้เห็นว่า การสร้างภาพยนตร์แนวนี้ จะหาทีเด็ดโป้งใส่ผู้ชมในช็อตสุดท้าย แล้วจะทำให้เนื้อหาในหนังยังคงต้องโลดแล่นต่อไม่ยอมจบ
ถ้าเทียบกับ Breathless ผมถูกจริต Breathless มากกว่าเยอะเลย ทั้งๆที่ดู Breathless ดึกกว่า
แต่ทั้งสองคือหนังดี โดยที่ผมไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งคำถามกับมันเลย
VIDEO
ทุกทีผมจะลงแบบเป็นบทวิจารณ์เลย ถ้าอยากให้ลงสั้นๆง่ายๆ แบบนี้ก็บอกกันได้ ถ้าคราวหลังดู จะเอามารีวิวแนะนำกันอีกครับ
คืนวันหยุดหาหนังเก่ามาดู Breathless (1960) ควบ The 400 Blows(1959)
เรื่องแรก Breathless (1960)
ด้วยการผ่อนคลายและคลายเครียด ก็คิดได้ว่า ควรจะหยิบหนังแผ่นมาดูบ้างแล้ว จริงๆ เคยตั้งปณิธานจะหยิบหนังเก่าขึ้นมาดูก่อนนอนทุกคืน แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ทำไม่ได้ คืนแรกของเทศกาลสงกรานต์ จึงเป็นโอกาสดี ที่หยิบงานของ Jean-Luc Godard เรื่อง Breathless (1960) มาชม (ขอบคุณมิตรสหายที่ให้เรื่องนี้มา)
Breathless เป็นหนังของผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นคนไร้แก่นสารของชีวิต แต่ต้นเรื่องก็ขับรถเที่ยวเตร่ โดนตำรวจจับก็ยิงตำรวจซะตั้งแต่ต้นเรื่อง นั่นเท่ากับว่าเส้นเรื่องหลักของหนังคือการหนีตำรวจ แต่เขาก็ยังไปติดใจสาวผมสั้นเมกัน จึงหนีไปหาเธอเพื่อไปเกาะๆแกะๆ ซึ่งหนังก็มีความอ่อนหวานของคนหนุ่มสาวได้น่ารัก โรแมนติก
หนังใช้วิธีการ Jump cut ได้อย่างสวยงามมาก ทำให้เรารู้สึกว่า Jump cut แล้วเปลี่ยนสถานที่ หรือจังหวะ มันมีความสุนทรียะอยู่ในตัว รวมถึงฉากในอพาร์ทเม้นของผู้หญิง ซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมแออัด แต่ด้วยการกำกับและบทสนทนา และการตัดต่ออันน่าดูชม เรารู้สึกว่า มันน่ารักอย่างไม่เคยปรากฎ มันอ่อนโยน และรู้สึกได้ แม้ทั้งสองจะรู้จักเพียงผิวเผิน และไม่ก้าวล้ำทางด้านเสรีภาพซึ่งกันและกัน
เสรีภาพ ..... ?
ครับ เสรีภาพ คือสารัตถะ ของตัวละครทั้งสอง
แม้ผมจะไม่เก่งมากอะไร แต่ดูก็รู้ว่า ตัวละครในเรื่อง ใช้ปรัชญา อัตถิภาวะนิยม(existential) ในการดำรงชีวิต ซึ่งเอามาใช้ในการสร้างรายละเอียดในเรื่องได้อย่างงดงามเนื่องจากตัวละครมีเชื้อชาติเข้ามาปะปนด้วย ชาย(ฝรั่งเศส) หญิง(เมกัน) มันก็เลยเป็นการต่อสู้ทางเสรีภาพกันแบบกลายๆ ว่าใครจะเหนือและไม่ตกอยู่ในอิทธิพลของใคร น่าสนุกครับ คนรักกัน แต่จะต่อสู้กันอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่าง มันเป็นหนังที่สนุก น่าติดตาม และมีช็อตและฉากที่ประทับใจ จึงเป็นหนังดี สำหรับผมไปได้ไม่ยากเลย
หวังว่าหนังที่ผมชอบมันคงจะเป็นหนังดี 5555
เรื่องที่ 2 The 400 Blows(1959)
กลางดึกสงัดเมื่อคืน จัด French New Wave ไปอีกเรื่อง คราวนี้ถึงตา The 400 Blows(1959) ของ ฟร็องซัว ทรูว์โฟ ( François Truffaut ) เนื่องว่าศึกษาประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาบ้าง เรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างอันดีเลย ที่จะเข้าถึงภาพยนตร์ French New Wave
The 400 Blows เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งในเมืองปารีส ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากตามสไตล์หนังแนวนี้ คือพาไปจับถึงกิจวัตรประจำวันทั่วๆไปคือการไปโรงเรียน กับ ที่บ้าน มีแค่ 2 อย่างหลักเท่านี้ โรงเรียนครูเข้มงวด ที่บ้านพ่อแม่ระหองระแหง ซึ่งทำให้ชีวิตของเด็กเหมือนติดอยู่ในกรงขังดั่งภาพโปสเตอร์และหาทางออกใดๆ ไม่ได้
หนังเรื่องนี้มีความเรียบง่าย เรื่อยๆ และชวนหลับ กลวิธีนำเสนอไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ไม่ต่างจากตัวละครเด็กตัวนี้เลย มันค่อนข้างที่จะมืดมนเมื่อมองออกไปข้างหน้า ทำให้เห็นว่าภาวะของตัวละครกับการนำเสนอภาพยนตร์ต่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรให้เราตื่นตา ตื่นใจ แม้การถ่ายภาพ สีขาว-ดำ และการเคลื่อนกล้อง จะมีความเป็นธรรมชาติมากเหลือเกิน
ผมชอบการเคลื่อนกล้องแบบ Tracking shot ตั้งแต่ซีนแรก ที่ดูรอบๆเมืองปารีส โดยให้หอไอเฟลคงสายตาเราไว้ตลอด กับการ Tracking shot ในซีนสุดท้าย ที่ติดตามเด็กที่กำลังหนี มันสวยงาม และมีความหวัง ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีหวัง
น่าสนใจ ถ้าเอาไปเทียบกับ Breathless ที่เพิ่งดูไป ทำให้เห็นว่า การสร้างภาพยนตร์แนวนี้ จะหาทีเด็ดโป้งใส่ผู้ชมในช็อตสุดท้าย แล้วจะทำให้เนื้อหาในหนังยังคงต้องโลดแล่นต่อไม่ยอมจบ
ถ้าเทียบกับ Breathless ผมถูกจริต Breathless มากกว่าเยอะเลย ทั้งๆที่ดู Breathless ดึกกว่า
แต่ทั้งสองคือหนังดี โดยที่ผมไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งคำถามกับมันเลย
ทุกทีผมจะลงแบบเป็นบทวิจารณ์เลย ถ้าอยากให้ลงสั้นๆง่ายๆ แบบนี้ก็บอกกันได้ ถ้าคราวหลังดู จะเอามารีวิวแนะนำกันอีกครับ