กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับทรงคุณค่าแห่งยุคอีกคนหนึ่ง ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของคนธรรมดาได้อย่างเรียบง่ายแต่กินใจ (ไตรภาค Before, Boyhood) หรือพอหันมาจบหนังตลาดหน่อย (School of Rock, Bad News Bears) ก็ยังมีสไตล์ของตัวเองให้ดูได้เพลินๆ พอผมไปเห็นเขาลิสต์หนังในดวงใจ จึงสนใจแปลมาให้อ่านกันครับ (บทสัมภาษณ์แปลจาก "Richard Linklater's Five Favorite Films" จากเว็บ Rottentomatoes)
ดูแล้วไม่มีหนังยุค '80s ขึ้นเลยแฮะ แต่เรื่องที่ผมเคยดู (The 400 Blows, Nashville) ก็ดูตอกย้ำสไตล์ของผู้กำกับได้ดีว่า ได้อิทธิพลเล่าเรื่องเน้นความเป็นธรรมชาติและการก้าวผ่านเวลามาจากหนังในดวงใจนี่เอง
Some Came Running (1959, Vincente Minnelli)
“เรื่องนี้เป็นหนังเมโลดราม่ายุค 50’s ที่เยี่ยมมากเลยครับ ให้ความรู้สึกเหมือนหนังเพลงที่ไม่มีการร้อง แต่มีดนตรีที่ไพเราะมากแทน ผมดูเรื่องนี้ตอนอายุ 20 ต้นๆ และมันส่งผลกระทบกับผมมาก มันเป็นเรื่องของผู้ชายที่กลับบ้านเกิดที่พี่ชายเขาเป็นพลเมืองดีเด่น ส่วนตัวเขาเป็นนักเขียนคิดเรื่องไม่ออกที่เถลไถลไปมา ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทหาร คนรับจ้าง และนักแต่งนวนิยายสมัครเล่น แถมยังเป็นผีพนันกับนักดื่มอีก – บทน้องชายนี่คือ Sinatra เล่นครับ และเขาเหมือนมีชีวิตอยู่สองโลก การที่เขาเป็นนักเขียนที่ได้การตีพิมพ์ทำให้ได้รับความเคารพจากครูสอนอังกฤษและพี่ชาย – ซึ่งคือโลกของวงการนักเขียนที่ได้รับการนับถือ – แต่เขาอดใจไปบาร์ พนัน หรือติดผู้หญิงอย่างตัวละครที่เล่นโดย Shirley MacLaine ไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้ยังมี Gwen French ที่รับบทโดย Martha Hyer เธอเป็นครูที่ระเบียบจัดมาก มันเลยเหมือนขั้วตรงข้ามมาชนกัน – ความน่านับถือกับการเที่ยวเล่นเสเพล มันเมโลดราม่าได้วิเศษและถ่ายทำได้สวยจริงๆครับ เป็นเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างผู้ชายเช่นกัน ผมนับมันเป็นหนังกลุ่ม Rat Pack เรื่องแรกเลยนะ (หนังที่มีกลุ่มดาราผู้ชายดังๆยุค 60’s ที่เล่นด้วยกันบ่อย) ถึงจะมีแค่ Dean กับ Frank แล้วแถม Shirley มาด้วยก็ตาม ยังไม่ค่อยมีคนอื่นในแก๊งเท่าไร แต่มันเป็นเรื่องแรกที่จับภาพบรรยากาศมิตรภาพพวกผู้ชายกลุ่มนี้เล่นพนันแล้วก็ไปเที่ยวด้วยกัน พวกเขากลายเป็นรูมเมทแล้วก็มีทริปไปเล่นพนันที่ Terre Haute กัน หนังมันวิเศษมากเลยครับ"
If… (1968, Lindsay Anderson)
"ผู้กำกับชาวอังกฤษมือทอง Lindsay Anderson เสียชีวิตเมื่อ 20 ปีก่อน เขาทำหนังแค่ 5-6 เรื่อง แต่ทุกเรื่องน่าสนใจหมด ผมคิดว่า If… คือเรื่องที่ดังที่สุดของเขานะ เป็นหนังที่ Malcolm McDowell เล่นก่อน A Clockwork Orange เรื่องนี้นับว่าเป็นหนังตีแผ่ชีวิตวัยรุ่นสุดๆ หนังทั้งงดงามและแรงมาก เรื่องนี้ได้รางวัลเมืองคานส์ปีนั้นด้วย และมันเป็นหนังที่จับภาพเวลายุค ‘60s ได้เป็นอย่างดี ส่วน Malcolm McDowell เองเล่นได้สุดยอด มันคือที่สุดของหนังวัยรุ่นก่อกบฏเลย – ซึ่งเป็นแนวหนังที่ผมชอบมาก – แต่มันก็ยังมีความเป็นกวีในตัวมันอยู่ แถมยังมีส่วนที่เกือบแฟนตาซีด้วย อย่างเช่น มีผู้หญิงคนหนึ่งในหนังที่อาจจะไม่ได้มีตัวตนจริงก็ได้ แถมยังเป็นหนังสีที่มีบางตอนเป็นขาวดำ มันยังคือเรื่องแรกในไตรภาคด้วย ตัวละครของ Malcolm McDowell ชื่อ Mick Travis และหลังจากเรื่องนี้สองสามปี พวกเขาก็ทำหนัง O Lucky Man! จากนั้นสิบปีต่อมาก็ทำ Britannia Hospital ด้วยกันอีก กลายเป็นทีม Lindsay Anderson กับ Malcolm McDowell เลย ซึ่งผมนับให้เป็นหนึ่งในไตรภาคหนังที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล… แนะนำให้ดูจริงๆ มันเคยเป็นหนังคัลท์ที่ดังกว่านี้ในยุค ‘70s กับ ‘80s แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเห็นใครดูกันแล้ว ผมไม่รู้ว่าคนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้ยังดูเรื่องนี้เหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือเปล่า"
The 400 Blows (1959, Francois Truffaut)
"เรื่อง The 400 Blows คือหนังสุดคลาสสิคที่ทุกคนควรชม – แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังไม่เคยดูเลย! มันเป็นหนังเรื่องแรกของ Truffaut เขาทำมันตอนอายุช่วง 20 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสองสามวันในชีวิตของตัวเอกวัย 13 ชื่อ Antoine Doinel ที่จะโผล่มาในหนังอีก 4 เรื่อง ในบรรดาผู้กำกับยอดเยี่ยมทั้งหมด ผมว่า Truffaut คือคนที่เข้าอกเข้าใจความคิดเด็กๆได้ดีสุดแล้ว เพราะนอกจากทำเรื่องนี้ที่หลายคนนับว่าเป็นหนังที่เล่าเรื่องเด็กได้ดีที่สุด แล้วก็ยังไปทำ The Wild Child กับ Small Change ต่ออีก เป็นผู้กำกับนักแสดงเด็กที่ดีมาก และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังเด็กที่เยี่ยมที่สุด – เล่าถึงฮีโร่เยาว์วัยคนหนึ่งกับชีวิตครอบครัวเขา มันยอดเยี่ยมมากครับ"
Nashville (1975, Robert Altman)
"มันคือที่สุดของหนัง Altman ที่เป็นแนวตัวละครเยอะๆเล่าเรื่องหลากหลาย -- ตัวละครแต่ละคนมีเรื่องที่ต้องเล่า และผู้กำกับก็จับมันมาขมวดกันได้ยอดเยี่ยมมาก มีทั้งช่วงน่าตื่นเต้นและช่วงตลก ดนตรีก็ทำได้ซึ้งและเสียดสี ทั้งตลกและเพราะอีกด้วย เพลงของ Keith Carradine ชื่อ “I’m Easy” เป็นเพลงที่ไพเราะมาก ส่วนเพลงอื่นอย่าง “200 Years” ของ Henry Gibson ก็ตลกได้อีก การที่คุณจะมีสิ่งเหล่านี้แล้วเอามารวมกันเป็นหนัง collage ที่มีทั้งความสมจริง การเสียดสี ความรัก มันน่าทึ่งมาก ตอนผมดูเรื่องนี้ครั้งแรกสมัยวัยรุ่น ประมาณสิบสี่สิบห้า ผมเบื่อนะ เพราะยังไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ แต่พอผมมาดูอีกรอบไม่นานหลังจากนั้น มันก็ปลุกไอเดียอะไรในตัวผมได้หลายอย่างเลย"
Sullivan’s Travels (1941, Preston Sturges)
"สุดท้ายนี้ขอพูดถึงผู้กำกับ Preston Sturges และหนังตลกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เรื่องนี้ไม่รู้สึกเก่าเลยแม้จะผ่านมาเป็นสิบๆปีตั้งแต่มันเข้าฉายในปี 1941 แล้วก็ตาม มันยอดเยี่ยมมาก – ยิ่งถ้าคิดว่ามาจากฮอลลีวู้ดแล้วด้วย มันคือที่สุดของหนังคนในของฮอลลีวู้ด เนื้อเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่กำลังค้นหาความหมายในศิลปะของตนเองหลังจากประสบความสำเร็จในฮอลลีวู้ดมาแล้ว... แง่มุมด้านมนุษย์ของมันรู้สึกจริงมากๆ คือมันหนังตลกนะ และทุกอย่างจะเล่าในโทนนั้นหมด แต่ Preston Sturges สุดยอดด้านการเขียนบทสนทนาและการกำกับนักแสดงให้ใช้บทสนทนานั้นได้เต็มที่ จนมันรู้สึกมีเอกลักษณ์ตลอดเรื่องเลย หนังยังให้ความรู้สึกสมัยใหม่จริงๆ ประเด็นเรื่อวความต้องการของตัวละครและการทำศิลปะ vs ตลาดนั้นไม่เก่าเลย และเป็นหนังที่ถ่ายทอดประเด็นเหล่านี้ได้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งทำผ่านคอเมดี้นั่นเอง ตัวละครในเรื่องมีโปรเจ็คหนังที่สตูดิโอไม่อยากให้เขาทำ เกี่ยวกับคนจรจัด เพราะตอนนั้นมันเพิ่งผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาเอง แต่เขาก็เป็นคนรวยที่ถูกตามใจจนดื้อดึงและยังต้องการโปรเจ็คนั้นอยู่ โปรเจ็คมันชื่อเดียวกับหนังของพี่น้อง Coen เลย คือ O Brother, Where Art Thou? ชื่อนั้นมาจากหนังเรื่องนี้นี่แหละ เอาจริงมันก็เป็นความต้องการที่ตลกอยู่นะ ที่อยากพูดอะไรที่สื่อความหมายลึกซึ้งในแง่สังคมเกี่ยวกับการประสบความทุกข์ยากแล้วยังให้เรื่องนั้นเป็นหนังตลกอยู่ สุดท้ายตัวละครก็ถูกโชคชะตาเล่นตลกให้ไปเป็นนักโทษทำงานหนัก... ตอนนั้นเขาถึงประสบความทุกข์ยากจริงๆเข้าให้ เป็นหนังที่ทั้งเยี่ยมและเกินสมัยนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ"
สุดท้ายขออนุญาตฝากติดตามเพจรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่
www.facebook.com/themoviemood ครับ
5 หนังในดวงใจของผู้กำกับ Richard Linklater (จากไตรภาค Before และ Boyhood)
ดูแล้วไม่มีหนังยุค '80s ขึ้นเลยแฮะ แต่เรื่องที่ผมเคยดู (The 400 Blows, Nashville) ก็ดูตอกย้ำสไตล์ของผู้กำกับได้ดีว่า ได้อิทธิพลเล่าเรื่องเน้นความเป็นธรรมชาติและการก้าวผ่านเวลามาจากหนังในดวงใจนี่เอง
Some Came Running (1959, Vincente Minnelli)
“เรื่องนี้เป็นหนังเมโลดราม่ายุค 50’s ที่เยี่ยมมากเลยครับ ให้ความรู้สึกเหมือนหนังเพลงที่ไม่มีการร้อง แต่มีดนตรีที่ไพเราะมากแทน ผมดูเรื่องนี้ตอนอายุ 20 ต้นๆ และมันส่งผลกระทบกับผมมาก มันเป็นเรื่องของผู้ชายที่กลับบ้านเกิดที่พี่ชายเขาเป็นพลเมืองดีเด่น ส่วนตัวเขาเป็นนักเขียนคิดเรื่องไม่ออกที่เถลไถลไปมา ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทหาร คนรับจ้าง และนักแต่งนวนิยายสมัครเล่น แถมยังเป็นผีพนันกับนักดื่มอีก – บทน้องชายนี่คือ Sinatra เล่นครับ และเขาเหมือนมีชีวิตอยู่สองโลก การที่เขาเป็นนักเขียนที่ได้การตีพิมพ์ทำให้ได้รับความเคารพจากครูสอนอังกฤษและพี่ชาย – ซึ่งคือโลกของวงการนักเขียนที่ได้รับการนับถือ – แต่เขาอดใจไปบาร์ พนัน หรือติดผู้หญิงอย่างตัวละครที่เล่นโดย Shirley MacLaine ไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้ยังมี Gwen French ที่รับบทโดย Martha Hyer เธอเป็นครูที่ระเบียบจัดมาก มันเลยเหมือนขั้วตรงข้ามมาชนกัน – ความน่านับถือกับการเที่ยวเล่นเสเพล มันเมโลดราม่าได้วิเศษและถ่ายทำได้สวยจริงๆครับ เป็นเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างผู้ชายเช่นกัน ผมนับมันเป็นหนังกลุ่ม Rat Pack เรื่องแรกเลยนะ (หนังที่มีกลุ่มดาราผู้ชายดังๆยุค 60’s ที่เล่นด้วยกันบ่อย) ถึงจะมีแค่ Dean กับ Frank แล้วแถม Shirley มาด้วยก็ตาม ยังไม่ค่อยมีคนอื่นในแก๊งเท่าไร แต่มันเป็นเรื่องแรกที่จับภาพบรรยากาศมิตรภาพพวกผู้ชายกลุ่มนี้เล่นพนันแล้วก็ไปเที่ยวด้วยกัน พวกเขากลายเป็นรูมเมทแล้วก็มีทริปไปเล่นพนันที่ Terre Haute กัน หนังมันวิเศษมากเลยครับ"
If… (1968, Lindsay Anderson)
"ผู้กำกับชาวอังกฤษมือทอง Lindsay Anderson เสียชีวิตเมื่อ 20 ปีก่อน เขาทำหนังแค่ 5-6 เรื่อง แต่ทุกเรื่องน่าสนใจหมด ผมคิดว่า If… คือเรื่องที่ดังที่สุดของเขานะ เป็นหนังที่ Malcolm McDowell เล่นก่อน A Clockwork Orange เรื่องนี้นับว่าเป็นหนังตีแผ่ชีวิตวัยรุ่นสุดๆ หนังทั้งงดงามและแรงมาก เรื่องนี้ได้รางวัลเมืองคานส์ปีนั้นด้วย และมันเป็นหนังที่จับภาพเวลายุค ‘60s ได้เป็นอย่างดี ส่วน Malcolm McDowell เองเล่นได้สุดยอด มันคือที่สุดของหนังวัยรุ่นก่อกบฏเลย – ซึ่งเป็นแนวหนังที่ผมชอบมาก – แต่มันก็ยังมีความเป็นกวีในตัวมันอยู่ แถมยังมีส่วนที่เกือบแฟนตาซีด้วย อย่างเช่น มีผู้หญิงคนหนึ่งในหนังที่อาจจะไม่ได้มีตัวตนจริงก็ได้ แถมยังเป็นหนังสีที่มีบางตอนเป็นขาวดำ มันยังคือเรื่องแรกในไตรภาคด้วย ตัวละครของ Malcolm McDowell ชื่อ Mick Travis และหลังจากเรื่องนี้สองสามปี พวกเขาก็ทำหนัง O Lucky Man! จากนั้นสิบปีต่อมาก็ทำ Britannia Hospital ด้วยกันอีก กลายเป็นทีม Lindsay Anderson กับ Malcolm McDowell เลย ซึ่งผมนับให้เป็นหนึ่งในไตรภาคหนังที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล… แนะนำให้ดูจริงๆ มันเคยเป็นหนังคัลท์ที่ดังกว่านี้ในยุค ‘70s กับ ‘80s แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเห็นใครดูกันแล้ว ผมไม่รู้ว่าคนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้ยังดูเรื่องนี้เหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือเปล่า"
The 400 Blows (1959, Francois Truffaut)
"เรื่อง The 400 Blows คือหนังสุดคลาสสิคที่ทุกคนควรชม – แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังไม่เคยดูเลย! มันเป็นหนังเรื่องแรกของ Truffaut เขาทำมันตอนอายุช่วง 20 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสองสามวันในชีวิตของตัวเอกวัย 13 ชื่อ Antoine Doinel ที่จะโผล่มาในหนังอีก 4 เรื่อง ในบรรดาผู้กำกับยอดเยี่ยมทั้งหมด ผมว่า Truffaut คือคนที่เข้าอกเข้าใจความคิดเด็กๆได้ดีสุดแล้ว เพราะนอกจากทำเรื่องนี้ที่หลายคนนับว่าเป็นหนังที่เล่าเรื่องเด็กได้ดีที่สุด แล้วก็ยังไปทำ The Wild Child กับ Small Change ต่ออีก เป็นผู้กำกับนักแสดงเด็กที่ดีมาก และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังเด็กที่เยี่ยมที่สุด – เล่าถึงฮีโร่เยาว์วัยคนหนึ่งกับชีวิตครอบครัวเขา มันยอดเยี่ยมมากครับ"
Nashville (1975, Robert Altman)
"มันคือที่สุดของหนัง Altman ที่เป็นแนวตัวละครเยอะๆเล่าเรื่องหลากหลาย -- ตัวละครแต่ละคนมีเรื่องที่ต้องเล่า และผู้กำกับก็จับมันมาขมวดกันได้ยอดเยี่ยมมาก มีทั้งช่วงน่าตื่นเต้นและช่วงตลก ดนตรีก็ทำได้ซึ้งและเสียดสี ทั้งตลกและเพราะอีกด้วย เพลงของ Keith Carradine ชื่อ “I’m Easy” เป็นเพลงที่ไพเราะมาก ส่วนเพลงอื่นอย่าง “200 Years” ของ Henry Gibson ก็ตลกได้อีก การที่คุณจะมีสิ่งเหล่านี้แล้วเอามารวมกันเป็นหนัง collage ที่มีทั้งความสมจริง การเสียดสี ความรัก มันน่าทึ่งมาก ตอนผมดูเรื่องนี้ครั้งแรกสมัยวัยรุ่น ประมาณสิบสี่สิบห้า ผมเบื่อนะ เพราะยังไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ แต่พอผมมาดูอีกรอบไม่นานหลังจากนั้น มันก็ปลุกไอเดียอะไรในตัวผมได้หลายอย่างเลย"
Sullivan’s Travels (1941, Preston Sturges)
"สุดท้ายนี้ขอพูดถึงผู้กำกับ Preston Sturges และหนังตลกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เรื่องนี้ไม่รู้สึกเก่าเลยแม้จะผ่านมาเป็นสิบๆปีตั้งแต่มันเข้าฉายในปี 1941 แล้วก็ตาม มันยอดเยี่ยมมาก – ยิ่งถ้าคิดว่ามาจากฮอลลีวู้ดแล้วด้วย มันคือที่สุดของหนังคนในของฮอลลีวู้ด เนื้อเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่กำลังค้นหาความหมายในศิลปะของตนเองหลังจากประสบความสำเร็จในฮอลลีวู้ดมาแล้ว... แง่มุมด้านมนุษย์ของมันรู้สึกจริงมากๆ คือมันหนังตลกนะ และทุกอย่างจะเล่าในโทนนั้นหมด แต่ Preston Sturges สุดยอดด้านการเขียนบทสนทนาและการกำกับนักแสดงให้ใช้บทสนทนานั้นได้เต็มที่ จนมันรู้สึกมีเอกลักษณ์ตลอดเรื่องเลย หนังยังให้ความรู้สึกสมัยใหม่จริงๆ ประเด็นเรื่อวความต้องการของตัวละครและการทำศิลปะ vs ตลาดนั้นไม่เก่าเลย และเป็นหนังที่ถ่ายทอดประเด็นเหล่านี้ได้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งทำผ่านคอเมดี้นั่นเอง ตัวละครในเรื่องมีโปรเจ็คหนังที่สตูดิโอไม่อยากให้เขาทำ เกี่ยวกับคนจรจัด เพราะตอนนั้นมันเพิ่งผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาเอง แต่เขาก็เป็นคนรวยที่ถูกตามใจจนดื้อดึงและยังต้องการโปรเจ็คนั้นอยู่ โปรเจ็คมันชื่อเดียวกับหนังของพี่น้อง Coen เลย คือ O Brother, Where Art Thou? ชื่อนั้นมาจากหนังเรื่องนี้นี่แหละ เอาจริงมันก็เป็นความต้องการที่ตลกอยู่นะ ที่อยากพูดอะไรที่สื่อความหมายลึกซึ้งในแง่สังคมเกี่ยวกับการประสบความทุกข์ยากแล้วยังให้เรื่องนั้นเป็นหนังตลกอยู่ สุดท้ายตัวละครก็ถูกโชคชะตาเล่นตลกให้ไปเป็นนักโทษทำงานหนัก... ตอนนั้นเขาถึงประสบความทุกข์ยากจริงๆเข้าให้ เป็นหนังที่ทั้งเยี่ยมและเกินสมัยนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ"
สุดท้ายขออนุญาตฝากติดตามเพจรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่ www.facebook.com/themoviemood ครับ