สรกล อดุลยานนท์ : ตีความใหม่
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365839466&grpid=&catid=02&subcatid=0200
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 มติชน 13 เมษายน 2556
ตอนนี้แนวคิดเรื่อง "การตีความใหม่" กำลังฮิต
"แม่นาคพระโขนง" ถูกตีความใหม่กลายเป็นหนัง "พี่มากพระโขนง"
มองตำนาน "แม่นาค" จากมุมของ "พี่มาก"
ส่วน "คู่กรรม" นวนิยายชื่อดังก็ถูกตีความใหม่ในหนังของ "เรียว กิตติกร" กลายเป็นเรื่องจีบกันของหนุ่ม-สาว
ในทางการเมือง การ "ทวงคืน ปตท." ก็มีการตีความใหม่ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นมหาอำนาจในแวดวง "น้ำมัน" ของโลก
เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปติดอันดับโลก
ล่าสุด สดๆ ร้อนๆ การคืนหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด 2 ปี เมื่อปี 2546
เรื่องนี้กำลังถูก "ตีความใหม่" อีกครั้ง
อาจเป็นเพราะเฟซบุ๊ก "ทักษิณ ชินวัตร" ที่อธิบายเรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และบอกว่าการใช้หนี้ไม่ต้องรอถึง 50 ปีก็ได้
"ดูตัวอย่างหนี้ IMF ที่เราใช้ได้เร็วกว่ากำหนด ทั้งนี้ อยู่ที่ใครสร้างเศรษฐกิจเป็น กับใครเป็นแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว วิธีมองจึงต่างกันไปครับ"
เพียงแค่นี้ ประวัติศาสตร์เรื่องการชำระหนี้ไอเอ็มเอฟก็ถูก "ตีความใหม่" ทันที
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หลังจากแบงก์ชาติพ่ายแพ้ในสงครามค่าเงินบาท ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของชาติหมดเกลี้ยง
รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท และทำสัญญากู้เงินจากไอเอ็มเอฟ 14,500 ล้านเหรียญ เพื่อมาโปะทุนสำรองฯ
การกู้เงินครั้งนี้ต้องแลกกับ "อิสรภาพ" บางอย่าง ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟมากมาย คล้ายกับที่ "กรีซ" เจออยู่ในปัจจุบัน
จนถึงปี 2546 ไทยเบิกเงินกู้จากไอเอ็มเอฟ 12,296 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5.1 แสนล้านบาท (ค่าเงินในขณะนั้น)
รัฐบาล "ทักษิณ ชินวัตร" ตัดสินใจชำระหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด 2 ปี พร้อมกับจัดแถลงข่าวใหญ่ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2546
และนี่คือ บางส่วนของคำแถลงในวันนั้น
"รัฐบาลชุดที่แล้ว (ชวน หลีกภัย) ได้ชำระไป 1 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลนี้ได้ชำระครบทั้ง 5 แสนบาท ทำให้ไทยพ้นจากพันธกรณีกับไอเอ็มเอฟ"
"การใช้หนี้ครั้งนั้นทำให้ประหยัดดอกเบี้ยถึง 5 พันล้านบาท และยังสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยมากขึ้น"
นอกจากนั้น ยังพูดถึงผลดีของการชำระหนี้ก่อนกำหนด ทำให้ไทยไม่ต้องทำตามข้อบังคับของไอเอ็มเอฟ เช่น ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ในเดือนตุลาคม 2546
ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย 11 ฉบับ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น "กฎหมายขายชาติ" ทั้งขายรัฐวิสาหกิจ กฎหมายอาคารชุด กฎหมายล้มละลาย ฯลฯ
คำแถลงของ "ทักษิณ" วันนั้นชัดเจนมาก
ซึ่งหากข้อมูลที่ "ทักษิณ" พูดในวันนั้นผิดเพี้ยนจากความจริง
"เขี้ยวคม" ระดับพรรคประชาธิปัตย์ต้องขยี้ "ทักษิณ" กลับอย่างแน่นอน
แต่กลับปล่อยให้ "ทักษิณ" นำผลงานเรื่องนี้ไปใช้ในการหาเสียงมาโดยตลอด
จนเวลาผ่านไป 10 ปี
พรรคประชาธิปัตย์จึงออกมา "ตีความใหม่" ประวัติศาสตร์การชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ
ล่าสุด "ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต" ถึงขั้นบอกว่านี่คือพฤติกรรม "วิปริตจิตหลอน"
"หลอกตัวเองมาถึง 12 ปี เป็นผู้ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ แต่ความจริงมาจากรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารวิกฤตเศรษฐกิจจนเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ"
ต้องยอมรับว่า "ประชาธิปัตย์" กล้าหาญมาก
เพราะเป็นการตีความใหม่ที่ท้าทายต่อหลักฐานข้อมูล "ตัวเลข" หรือคำสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้น
อย่าลืมว่า "เรื่องจริง" ไม่ใช่ "นิยาย"
การตีความใหม่...ไม่ง่าย
*****************************************************
มีแต่พวกหน้าด้านหน้าทน วิปริตจิตหลอน ตัวจริงเท่านั้น เท่านั้นที่คิด "ตีความใหม่" แบบนี้ได้
ตีความใหม่
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365839466&grpid=&catid=02&subcatid=0200
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 มติชน 13 เมษายน 2556
ตอนนี้แนวคิดเรื่อง "การตีความใหม่" กำลังฮิต
"แม่นาคพระโขนง" ถูกตีความใหม่กลายเป็นหนัง "พี่มากพระโขนง"
มองตำนาน "แม่นาค" จากมุมของ "พี่มาก"
ส่วน "คู่กรรม" นวนิยายชื่อดังก็ถูกตีความใหม่ในหนังของ "เรียว กิตติกร" กลายเป็นเรื่องจีบกันของหนุ่ม-สาว
ในทางการเมือง การ "ทวงคืน ปตท." ก็มีการตีความใหม่ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นมหาอำนาจในแวดวง "น้ำมัน" ของโลก
เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปติดอันดับโลก
ล่าสุด สดๆ ร้อนๆ การคืนหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด 2 ปี เมื่อปี 2546
เรื่องนี้กำลังถูก "ตีความใหม่" อีกครั้ง
อาจเป็นเพราะเฟซบุ๊ก "ทักษิณ ชินวัตร" ที่อธิบายเรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และบอกว่าการใช้หนี้ไม่ต้องรอถึง 50 ปีก็ได้
"ดูตัวอย่างหนี้ IMF ที่เราใช้ได้เร็วกว่ากำหนด ทั้งนี้ อยู่ที่ใครสร้างเศรษฐกิจเป็น กับใครเป็นแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว วิธีมองจึงต่างกันไปครับ"
เพียงแค่นี้ ประวัติศาสตร์เรื่องการชำระหนี้ไอเอ็มเอฟก็ถูก "ตีความใหม่" ทันที
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หลังจากแบงก์ชาติพ่ายแพ้ในสงครามค่าเงินบาท ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของชาติหมดเกลี้ยง
รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท และทำสัญญากู้เงินจากไอเอ็มเอฟ 14,500 ล้านเหรียญ เพื่อมาโปะทุนสำรองฯ
การกู้เงินครั้งนี้ต้องแลกกับ "อิสรภาพ" บางอย่าง ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟมากมาย คล้ายกับที่ "กรีซ" เจออยู่ในปัจจุบัน
จนถึงปี 2546 ไทยเบิกเงินกู้จากไอเอ็มเอฟ 12,296 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5.1 แสนล้านบาท (ค่าเงินในขณะนั้น)
รัฐบาล "ทักษิณ ชินวัตร" ตัดสินใจชำระหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด 2 ปี พร้อมกับจัดแถลงข่าวใหญ่ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2546
และนี่คือ บางส่วนของคำแถลงในวันนั้น
"รัฐบาลชุดที่แล้ว (ชวน หลีกภัย) ได้ชำระไป 1 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลนี้ได้ชำระครบทั้ง 5 แสนบาท ทำให้ไทยพ้นจากพันธกรณีกับไอเอ็มเอฟ"
"การใช้หนี้ครั้งนั้นทำให้ประหยัดดอกเบี้ยถึง 5 พันล้านบาท และยังสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยมากขึ้น"
นอกจากนั้น ยังพูดถึงผลดีของการชำระหนี้ก่อนกำหนด ทำให้ไทยไม่ต้องทำตามข้อบังคับของไอเอ็มเอฟ เช่น ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ในเดือนตุลาคม 2546
ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย 11 ฉบับ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น "กฎหมายขายชาติ" ทั้งขายรัฐวิสาหกิจ กฎหมายอาคารชุด กฎหมายล้มละลาย ฯลฯ
คำแถลงของ "ทักษิณ" วันนั้นชัดเจนมาก
ซึ่งหากข้อมูลที่ "ทักษิณ" พูดในวันนั้นผิดเพี้ยนจากความจริง
"เขี้ยวคม" ระดับพรรคประชาธิปัตย์ต้องขยี้ "ทักษิณ" กลับอย่างแน่นอน
แต่กลับปล่อยให้ "ทักษิณ" นำผลงานเรื่องนี้ไปใช้ในการหาเสียงมาโดยตลอด
จนเวลาผ่านไป 10 ปี
พรรคประชาธิปัตย์จึงออกมา "ตีความใหม่" ประวัติศาสตร์การชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ
ล่าสุด "ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต" ถึงขั้นบอกว่านี่คือพฤติกรรม "วิปริตจิตหลอน"
"หลอกตัวเองมาถึง 12 ปี เป็นผู้ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ แต่ความจริงมาจากรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารวิกฤตเศรษฐกิจจนเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ"
ต้องยอมรับว่า "ประชาธิปัตย์" กล้าหาญมาก
เพราะเป็นการตีความใหม่ที่ท้าทายต่อหลักฐานข้อมูล "ตัวเลข" หรือคำสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้น
อย่าลืมว่า "เรื่องจริง" ไม่ใช่ "นิยาย"
การตีความใหม่...ไม่ง่าย
*****************************************************
มีแต่พวกหน้าด้านหน้าทน วิปริตจิตหลอน ตัวจริงเท่านั้น เท่านั้นที่คิด "ตีความใหม่" แบบนี้ได้