ในปี 2563 ผู้ทำแผนได้กำหนดไว้ว่า การแปลงหนี้เป็นทุน ราคาจะเท่ากับ 2.5452 บาทต่อหุ้น เช่นเดียวกับการขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิม ราคาไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาทต่อหุ้น แต่พอเห็นผลประกอบการปี 2566 บริษัท สามารถ ทำกำไรได้ถึง 28,000 ล้านบาท ถึงเวลาไตรมาส 4 ปี 2567 ผู้บรืหารแผน กำหนดราคาแปลงหนี้เป็นทุนที่ 2.5452 บาทต่อหุ้น แต่กลับกำหนดราคาเพิ่มทุนเป็น 4.48 บาทต่อหุ้น ในเมื่อพื้นฐานเดิมคือ 2.5452 บาทต่อหุ้น เหมือนกัน แต่ ทำไมเลือกปฎิบัติที่ต่างกัน สองมาตรฐาน อย่างชัดเจนเช่นนี้ ทำให้ ผู้ถือหุ้นเดิม ไม่พอใจจึงแสดงออกด้วยการไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกือบทั้งหมด เพราะเห็นว่าถูกเอาเปรียบ ส่วนกระทรวงการคลังกลับงมโข่งนำภาษีประชาชนไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน ที่ราคา 4.48 บาทต่อหุ้น ทั้งที่ การบินไทย ไม่ได้เป็น รัฐวิสาหกิจ แล้ว หมดเงินไป สองหมื่นกว่าล้านบาท รัฐบาลนิ่งดูดาย ไม่ยอมแม้กระทั่งจะแสดงความไม่เห็นด้วย หรือคัดค้านแต่อย่างใด หรือรัฐบาลใช้เงินภาษีประชาชนแจกเงินจนมือเติบ ไม่เห็นคุณค่าของเงิน สองหมื่นกว่าล้านบาทเสียแล้ว อันที่จริงรัฐไม่ควรปล่อยให้การเพิ่มทุน แปลงหนี้เป็นทุนเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะ กระแสเงินสด Q3 ปี 2567 มีเกินแสนล้านบาท สามารถใช้หนี้ที่ครบกำหนดได้ หรืออาจจะขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพิ่มเติมได้หากจำเป็น เพราะสถานการณ์มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่อาจจะมีคนหวังซื้อฝูงบินใหม่ 46 ลำ เริ่มส่งมอบปี 2570 เป็นเงินสดบางส่วนจะได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของการบินไทยหรืออาจจะเป็นผลประโยชน์บางอย่างที่ไม่อาจจะทราบได้ การที่กระทรวงการคลัง ไม่กำกับดูแล ให้ธนาคาร ออมสิน และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ใช้สิทธิ แปลงหนี้เป็นทุน ภาคสมัครใจที่ราคา 2.5452 บาท ต่อหุ้น แต่กลับยอมเสียเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 4.48 บาทต่อหุ้น ก็ทำให้รัฐต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยขน์ไป มูลค่าหลายพันล้านบาท เช่นนี้แล้ว ใคร ควรออกมารับผิดชอบไหม นายกฯ หรือ รมต คลัง ดี หรือ ทั้งคู่
ผู้บริหารแผนฟื้นฟูการบินไทยเคยให้ข่าวผ่านสื่อว่าจะทำแผนให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายแต่การกระทำตรงข้าม คนเช่นนี้ใช้ได้หรือ