สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
อาตมาเป็นพระนะโยม ขอตอบว่าถ้าพระพุทธเจ้าบอกเรื่องอจินไตยไว้นะ จะมีเพียงส่วนน้อยมากที่จะเร่งตั้งหน้าตั้งตากันปฏิบัติ ส่วนมากจะทำแบบข้อ 2. ที่โยมบอกมากกว่า ซึ่งบางอย่างมันใช้เวลาอาจจะนาน นานเกินกว่าช่วงชีวิตของแต่ละคนก็ได้ จึงสอนให้ถอนลูกศรที่เสียบกับตัวอยู่ เพราะถ้าตายไปก่อน ชาติหน้าเกิดมาก็ไม่รู้อดีตชาติ ว่าเคยโดนลูกศรยิงตายมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว เหมือนอย่างตอนนี้ที่โยมสงสัยอยู่ ทั้งๆที่การจะเกิดมาเป้นคนนั้นยาก การเกิดมาเจอพระพุทธศาสนากลับยากยิ่งกว่า ก่อนบวชอาตมาก็ไม่เชื่อเหมือนโยมน่ะแหละ แต่พอได้ภาวนา(สมาธิ-วิปัสสนา) จึงได้รู้อะไรขึ้นมาบ้างนิดหน่อย วิธีพิสูจน์มีอยู่นะ //// ถ้าสงสัยเรื่องระลึกชาติ หรืออิทธิฤทธิ์ต่างๆ มีวิธีฝึกอยู่นะ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ลองหาอ่านดูนะ พระพุทธเจ้ากับพระอริยเจ้าเป็นของสูง อาตมาเป็นห่วงเหลือเกินในข้อนี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้อะไร แล้วปรามาสท่านเหล่านั้น ว่างมงายเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหลายแหล่ ผลกรรมมันแรงมาก พระที่ทำวัตรกัน ต้องขอขมาพระรัตนตรัยกันทุกวัน )
สมาธิเป็นบ่อเกิดของความรู้เหนือธรรมชาติ คนส่วนมากไม่ได้ฝึกสมาธิจึงไม่รู้เรื่องพวกนี้
วิธีพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้ามีพระสูตรอยู่ ลองอ่านดูนะ
จูฬหัตถิปโทปมสูตร
สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยรอยเท้าช้าง สูตรเล็ก
๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม. ชาณุสโสณิพราหมณ์ได้ฟังปริพพาชกผู้นุ่งผ้าผ่อนท่อนเก่า สรรเสริญพระพุทธเจ้า ๔ ข้อ ( จำแนกตามประเภทบุคคล ) คือ กษัตริย์ , พราหมณ์ , คฤหบดี , ผู้เป็นบัณฑิตแต่งปัญหาเตรียมยกวาทะ พอได้พบปะชื่นชมด้วยธรรมกถา ก็เลยไม่ถาม เลยไม่ได้ยกวาทะ กลายมาเป็นสาวกของพระสมณโคดมไป และ สมณะ ผู้เป็นบัณฑิตก็เช่นกัน แต่งปัญหาเตรียยกวาทะ พอได้พบปะชื่นชมด้วยธรรมกถา ก็เลยไม่ถาม เลยไม่ได้ยกวาทะ ขอโอกาสออกบวช ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อยู่ในปัจจุบัน. สมณะเหล่านั้นย่อมกล่าวว่า เมื่อก่อนไม่ได้เป็นสมณะ ไม่เป็นพราหมณ์ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญญาตนว่าเป็น แต่บัดนี้เป็นสมณะ เป็นพราหมณ์ เป็นพระอรหันต์ ( จริง ๆ แล้ว ) . ชาณุสโสณิพราหมณ์ก็เลื่อมใส ลงจากรถขาว เทียมด้วยม้าขาว ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า เปล่งวาจานมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า ( นโม ตสฺส ฯลฯ )
๒. ชาณุสโสณิพราหมณ์ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลความที่ได้สดับจากปริพพาชกผู้นุ่งผ้าท่อนเก่านั้นทุกประการ. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ พรรณาถึงการที่พระตถาคตเกิดขึ้นในโลก ทรงแสดงธรรมแล้ว คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีได้สดับธรรมออกบวช เว้นจากความชั่วต่าง ๆ มีศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะเสพเสนาสนะอันสงัด ชำระจิตจากนีวรณ์ ๘ . ๕ บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ , ได้ปุพเพนิวาสานุสสติฌาณ ( ญาณอันทำให้ระลึกชาติได้ ) , ได้จุตูปปาตญาณ ( ญาณเห็นความตาย ความเกิด หรือทิพยจักษุญาณก็เรียก ) , ได้อาสวักขยญาณ ( ญาณอันทำให้อาสวะคือกิเลสที่ดองสันดานให้สิ้น ) แต่ละขั้นที่บำเพ็ญมาตั้งแต่ได้ฌาณที่ ๑ จนถึงได้อาสวักขยญาณ ก็ยังไม่ปลงใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ , พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว , พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว. ต่อเมื่อจิตพ้นจากอาสวะ และเกิดญาณรู้ว่าพ้นแล้ว ชาติสิ้นสุดแล้ว จบพรหมจรรย์แล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงความเป็นอย่างนี้อีก ที่เทียบด้วยร่องรอยของตถาคต ธรรมะที่ตถาคตส้องเสพ และหักรานแล้ว ๙ . จึงถึงความปลงใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ เป็นต้น เปรียบเหมือนคนที่เข้าไปสู่ป่าที่ช้างอยู่ เห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซึ่งช้างเสียดสีในเบื้องสูง ถ้าเป็นผู้ฉลาดก็ยังไม่ปลงใจทีเดียวว่า ช้างตัวนี้ใหญ่ เพราะมีช้างพัง ( ช้างตัวเมีย ) ชื่ออุจจากฬาริกา ที่มีรอยเท้าใหญ่ อาจเป็นรอยเท้าของช้างพังนั้นก็ได้ . หรือเห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซึ่งช้างเสียดสีในเบื้องสูง เห็นรอยงาระเบื้องสูง ถ้าเป็นผู้ฉลาด ก็ยังไม่ปลงใจทีเดียวว่าช้างตัวนี้ใหญ่ เพราะมีช้างพังชื่ออุจจากเรณุกา ที่มีรอยเท้าใหญ่ อาจเป็นรอยเท้าของช้างพังนั้นก็ได้. ต่อเมื่อเห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซึ่งช้างเสียดสีในเบื้องสูง เห็นรอยงาระในเบื้องสูง และเห็นพญาช้างนั้นซึ่งกำลังไปสู่โคนไม้หรือกลางแจ้ง หรือยืน หรือเทา ( นั่ง ) หรือนอน เขาจึงปลงใจว่า นี้แหละคือช้างใหญ่ฉะนั้น.
ปล. ความสงสัยก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ร้อยรัดสัตวโลกไว้ วิธีก้าวข้ามความสงสัยรวมทั้งที่ยิ่งกว่าก็คือการฝึกสมาธินั่นแล เจริญพร
สมาธิเป็นบ่อเกิดของความรู้เหนือธรรมชาติ คนส่วนมากไม่ได้ฝึกสมาธิจึงไม่รู้เรื่องพวกนี้
วิธีพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้ามีพระสูตรอยู่ ลองอ่านดูนะ
จูฬหัตถิปโทปมสูตร
สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยรอยเท้าช้าง สูตรเล็ก
๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม. ชาณุสโสณิพราหมณ์ได้ฟังปริพพาชกผู้นุ่งผ้าผ่อนท่อนเก่า สรรเสริญพระพุทธเจ้า ๔ ข้อ ( จำแนกตามประเภทบุคคล ) คือ กษัตริย์ , พราหมณ์ , คฤหบดี , ผู้เป็นบัณฑิตแต่งปัญหาเตรียมยกวาทะ พอได้พบปะชื่นชมด้วยธรรมกถา ก็เลยไม่ถาม เลยไม่ได้ยกวาทะ กลายมาเป็นสาวกของพระสมณโคดมไป และ สมณะ ผู้เป็นบัณฑิตก็เช่นกัน แต่งปัญหาเตรียยกวาทะ พอได้พบปะชื่นชมด้วยธรรมกถา ก็เลยไม่ถาม เลยไม่ได้ยกวาทะ ขอโอกาสออกบวช ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อยู่ในปัจจุบัน. สมณะเหล่านั้นย่อมกล่าวว่า เมื่อก่อนไม่ได้เป็นสมณะ ไม่เป็นพราหมณ์ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญญาตนว่าเป็น แต่บัดนี้เป็นสมณะ เป็นพราหมณ์ เป็นพระอรหันต์ ( จริง ๆ แล้ว ) . ชาณุสโสณิพราหมณ์ก็เลื่อมใส ลงจากรถขาว เทียมด้วยม้าขาว ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า เปล่งวาจานมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า ( นโม ตสฺส ฯลฯ )
๒. ชาณุสโสณิพราหมณ์ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลความที่ได้สดับจากปริพพาชกผู้นุ่งผ้าท่อนเก่านั้นทุกประการ. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ พรรณาถึงการที่พระตถาคตเกิดขึ้นในโลก ทรงแสดงธรรมแล้ว คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีได้สดับธรรมออกบวช เว้นจากความชั่วต่าง ๆ มีศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะเสพเสนาสนะอันสงัด ชำระจิตจากนีวรณ์ ๘ . ๕ บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ , ได้ปุพเพนิวาสานุสสติฌาณ ( ญาณอันทำให้ระลึกชาติได้ ) , ได้จุตูปปาตญาณ ( ญาณเห็นความตาย ความเกิด หรือทิพยจักษุญาณก็เรียก ) , ได้อาสวักขยญาณ ( ญาณอันทำให้อาสวะคือกิเลสที่ดองสันดานให้สิ้น ) แต่ละขั้นที่บำเพ็ญมาตั้งแต่ได้ฌาณที่ ๑ จนถึงได้อาสวักขยญาณ ก็ยังไม่ปลงใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ , พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว , พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว. ต่อเมื่อจิตพ้นจากอาสวะ และเกิดญาณรู้ว่าพ้นแล้ว ชาติสิ้นสุดแล้ว จบพรหมจรรย์แล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงความเป็นอย่างนี้อีก ที่เทียบด้วยร่องรอยของตถาคต ธรรมะที่ตถาคตส้องเสพ และหักรานแล้ว ๙ . จึงถึงความปลงใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ เป็นต้น เปรียบเหมือนคนที่เข้าไปสู่ป่าที่ช้างอยู่ เห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซึ่งช้างเสียดสีในเบื้องสูง ถ้าเป็นผู้ฉลาดก็ยังไม่ปลงใจทีเดียวว่า ช้างตัวนี้ใหญ่ เพราะมีช้างพัง ( ช้างตัวเมีย ) ชื่ออุจจากฬาริกา ที่มีรอยเท้าใหญ่ อาจเป็นรอยเท้าของช้างพังนั้นก็ได้ . หรือเห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซึ่งช้างเสียดสีในเบื้องสูง เห็นรอยงาระเบื้องสูง ถ้าเป็นผู้ฉลาด ก็ยังไม่ปลงใจทีเดียวว่าช้างตัวนี้ใหญ่ เพราะมีช้างพังชื่ออุจจากเรณุกา ที่มีรอยเท้าใหญ่ อาจเป็นรอยเท้าของช้างพังนั้นก็ได้. ต่อเมื่อเห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซึ่งช้างเสียดสีในเบื้องสูง เห็นรอยงาระในเบื้องสูง และเห็นพญาช้างนั้นซึ่งกำลังไปสู่โคนไม้หรือกลางแจ้ง หรือยืน หรือเทา ( นั่ง ) หรือนอน เขาจึงปลงใจว่า นี้แหละคือช้างใหญ่ฉะนั้น.
ปล. ความสงสัยก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ร้อยรัดสัตวโลกไว้ วิธีก้าวข้ามความสงสัยรวมทั้งที่ยิ่งกว่าก็คือการฝึกสมาธินั่นแล เจริญพร
ความคิดเห็นที่ 3
ตอบตามความเข้าใจผมนะครับ อันนี้ในสมมติฐานว่าทรงเป็นสัพพัญญูที่แท้จริงตามที่กล่าวอ้างในพระไตรปิฎกนะครับ
ก็เพราะพระองค์รู้นิสัยมนุษย์ไงครับ ถึงไม่ตอบ
จขกท ว่าโลกนี้มีเรื่องอจินไตย อยู่กี่เรื่อง? ถ้าพระองค์ตอบเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องมานั่งตามตอบให้หมดทุกเรื่องหรือครับ หรือที่ตอบไปแล้ว แต่คนที่ยังไม่เคยเห็นของจริง ก็อยากจะเห็นของจริง ทีนี้ก็ไม่ต้องสนใจธรรมะมันแล้ว (อันนี้เป็นกรณีที่พระองค์มีคำตอบอยู่แล้วนะ)
แล้วคนที่เค้าต้องการจะพ้นทุกข์ นิพพานจริง ๆ จะได้มีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ควรจะได้ฟังเพื่อไปสู่นิพพานได้สักกี่คน ถ้าพระองค์ต้องมาเสียเวลาอยู่กับการตอบเรื่องพวกนี้
ก็ในเมื่อวัตถุประสงค์ที่พระองค์ตรัสรู้ เพื่อสั่งสอนให้คนให้พ้นทุกข์ เหมือนกันกับพระองค์ พระองค์ก็ต้องทำกิจดังกล่าวให้บริบูรณ์มากที่สุด ในช่วงอายุ แค่ไม่กี่ปีของพระองค์
เหมือนอาจารย์สอนวิชาหนึ่ง ถ้ามีคนมาถามในสิ่งที่มันไม่เกี่ยวข้อง ไม่ช่วยให้ลูกศิิิษย์รู้แตกฉานในวิชาที่สอนมากขึ้นไปกว่าเดิม แล้วท่านจะไปเสียเวลาตามตอบเรื่องพวกนั้นทำไม สู้เอาเวลาไปสอนคนที่สนใจใฝ่รู้ในเนื้อหาวิชานั้น ๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ
ก็เพราะพระองค์รู้นิสัยมนุษย์ไงครับ ถึงไม่ตอบ
จขกท ว่าโลกนี้มีเรื่องอจินไตย อยู่กี่เรื่อง? ถ้าพระองค์ตอบเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องมานั่งตามตอบให้หมดทุกเรื่องหรือครับ หรือที่ตอบไปแล้ว แต่คนที่ยังไม่เคยเห็นของจริง ก็อยากจะเห็นของจริง ทีนี้ก็ไม่ต้องสนใจธรรมะมันแล้ว (อันนี้เป็นกรณีที่พระองค์มีคำตอบอยู่แล้วนะ)
แล้วคนที่เค้าต้องการจะพ้นทุกข์ นิพพานจริง ๆ จะได้มีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ควรจะได้ฟังเพื่อไปสู่นิพพานได้สักกี่คน ถ้าพระองค์ต้องมาเสียเวลาอยู่กับการตอบเรื่องพวกนี้
ก็ในเมื่อวัตถุประสงค์ที่พระองค์ตรัสรู้ เพื่อสั่งสอนให้คนให้พ้นทุกข์ เหมือนกันกับพระองค์ พระองค์ก็ต้องทำกิจดังกล่าวให้บริบูรณ์มากที่สุด ในช่วงอายุ แค่ไม่กี่ปีของพระองค์
เหมือนอาจารย์สอนวิชาหนึ่ง ถ้ามีคนมาถามในสิ่งที่มันไม่เกี่ยวข้อง ไม่ช่วยให้ลูกศิิิษย์รู้แตกฉานในวิชาที่สอนมากขึ้นไปกว่าเดิม แล้วท่านจะไปเสียเวลาตามตอบเรื่องพวกนั้นทำไม สู้เอาเวลาไปสอนคนที่สนใจใฝ่รู้ในเนื้อหาวิชานั้น ๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ
แสดงความคิดเห็น
อะไรๆจะง่ายกว่านี้ไหม ถ้าพระพุทธเจ้า ไขปัญหาเรื่องอจินไตย
แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ก็ย่อมต้องมีความสงสัยเป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าความสงสัยนั้นๆจะไร้สาระ หรือไม่ไร้สาระก็ตาม
หากมนุษย์ไม่มีความสงสัยเลย โลกเราคงไม่เจริญเท่าทุกวันนี้หรอกครับ ป่านนี้มนุษย์ก็ยังคงใช้ใบไม้ที่อยู่ในกำมือเช็ดก้นหลังถ่ายเสร็จอยู่ดี
ก็เพราะความขี้สงสัยในเรื่องที่ไม่ใช่หนทางนิพพานไม่ใช่หรือทำให้เราพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้
แล้วเรื่องที่เป็นอจินไตยน่ะ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงแทงกั๊กไว้ล่ะครับ อยากให้พระองค์ตรัสออกมาเลยว่า อะไรมีจริง อะไรไม่มีจริง เอาแบบอธิบายให้ละเอียดเลย ไม่ต้องกลัวว่ามนุษย์เขาจะไม่เข้าใจหรอกครับ มันไม่ใช่ปัญหาของท่าน ท่านมีหน้าที่สั่งสอนก็สั่งสอนไป เมื่อถึงจุดๆหนึ่งภูมิปัญญาของมนุษย์จะพัฒนาไปสู่จุดที่ทำให้เข้าใจได้เองครับ
คนที่เชื่อก็พร้อมเชื่ออยู่แล้ว คนที่ไม่เชื่อก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกที่ยังก้ำกึ่งอยู่ไง และมันจะมีประโยชน์ดังนี้
1. หายสงสัย แล้วก็มุ่งเรื่องนิพพานต่อไป
2. หายสงสัยแล้วออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์และสร้างทฤษฎีขึ้นมา เพื่อให้ โลกยอมรับตามแนวทางของวิทยาศาสตร์
และก็จะเป็นการทำให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า โดยเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีจริงเราก็ตัดทิ้งไม่ต้องไปคิด แต่ถ้าเรื่องไหนพระพุทธเจ้าตรัสว่ามีจริงเราก็นำไปต่อยอด
เรื่องง่ายๆแค่นี้จะแทงกั๊กทำไมครับ ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากโดยแท้ ใช่ว่าคนทุกคนจะต้องการนิพพานเสียเมื่อไรล่ะ อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ ที่รู้ตัวว่าอย่างไรเสียชาตินี้ก็ยังไม่ต้องการนิพพาน
ปล. เข้าใจตรรกะที่ว่า "เรื่องพวกนี้ถ้าสนใจและสงสัยมากจะทำให้เป็นบ้า" แต่ "ความเคลือบแคลงก็ทำให้เป็นบ้าได้เหมือนกัน" นะครับ อย่างน้อยก็ทำให้มีคนบ้าน้อยลง เพราะอย่างไรเสียก็มีคนสงสัยอยู่ดี