ความรู้สึกหลังจากดูอนิเมะ JOJO Bizarre Adventure ภาค 2 จบ (ใครดูจบแล้วมาคุยกันครับ)
ในที่สุดอนิเมะ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ก็อำลาคนดูในตอนที่ 26 ไปจนได้ ซึ่งส่วนตัวผมดีใจมากที่อนิเมะสามารถ ลากคนที่ไม่เคยอ่านหรือรู้จักโจโจ้มาก่อนให้มาเป็นแฟนได้ เพราะต้องยอมรับว่าอนิเมะซีซั่นนี้ทำได้สนุกและยอดเยี่ยมมากๆ บางอย่างยอมรับว่าทำได้ดีกว่าในมังงะซะอีก (เรียกว่าเป็นการปรับให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ทันสมัยสมกับเป็นอนิเมะยุคนี้นั่นเอง) ซึ่งผมเองก็พึ่งได้ดูตอนที่ 26 ไปเมื่อไม่นานมานี้ พอดูจบก็รู้สึกฟินไปตามระเบียบ เพราะสำหรับแฟนพันธุ์แท้เข้าสายเลือดอย่างผม นี่เป็นการปิดซีซั่นที่ทำให้ใจสั่นได้มากๆครับ!
สำหรับอนิเมะตั้งแต่ตอนที่ 10 ถึง 26 นี้ คือเนื้อหาในส่วนของภาค 2
Battle Tendency หรือการต่อสู้ระหว่าง โจเซฟ โจสตาร์ กับเหล่าบุรุษเสาหินที่ตื่นจากการหลับใหลนั่นเอง ซึ่งในภาคแรกนั้น ยอมรับว่าทำให้โจโจ้ภาคแรกที่ในมังงะดูแล้วค่อนข้างจะเป็นภาคที่จืดกว่าภาคอื่นๆ อาจจเพราะคนส่วนใหญ่รู้จักโจโจ้ จากมังงะภาค 3 ที่เริ่มใช้แสตนด์กันจริงๆจังๆนั่นเอง แต่อนิเมะก็ทำออกมาได้ดีเยี่ยม สดใหม่ และมีความเป็นโจโจ้แบบมังงะ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ทั้งอารมร์ณการนำเสนอ แอ็คชั่น สีสัน การตัดต่อ ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่แหละ คือสิ่งที่แฟนๆรอคอยกันมานานก็เป็นจริงแล้ว (เพราะส่วนตัวผมผิดหวังกับ OVA ภาค 3 กับหนังโรงภาค 1 มากครับ มันดูมืดหม่นมากไปเกิน ทั้งๆที่โจโจ้เป็นการ์ตูนที่มีมู้ดสีสันสดใส)
พอมาภาค 2 ความเป็นโจโจ้ในอนิเมะนี้ก็ชัดเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง จนทำให้คนที่ไม่รู้จักโจโจ้ คงจะรู้สึกแปลกๆเพราะมันไม่เหมือนอนิเมะเรื่องอื่นๆในซีซั่นเดียวกันเลย แต่สำหรับแฟนๆเรารู้ทางกันดีอยู่แล้ว ...สิ่งที่ผมชอบในอนิเมะส่วนของภาค 2 นั้นเยอะจนผมหาสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่เจอเลยครับ 5555+ เริ่มจาก หนึ่ง
ลายเส้น ในส่วนภาคแรกลายเส้นยังไม่ค่อยอารากิ Style นัก เพราะต้องปรับให้ลายเส้นโบราณในภาค 1 ดูดีขึ้นเวลาอยู่บนจอ พอมาส่วนของภาค 2 ปั๊บ โอ้แม่เจ้า! ลายเส้นแบบอารากิมันต้องอย่างนี้สิ! ตรงส่วนลายเส้นนี่ได้ใจไปตั้งแต่แรกเห็นครับ
สอง
วิธีการตัดต่อ, เล่าเรื่อง โจโจ้เป็นมังงะที่มีการเล่าเรื่องแปลกประหลาด เพราะงี้มั้งครับทำให้ยุคก่อนคนทำอนิเมะยังไม่รู้ว่า จะทำให้วิธีการเล่าเรื่องแบบนั้นมาอยู่ในอนิเมะได้ยังไง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่า ทีม David Production เขาทำได้! เพราะการตัดต่อที่รวดเร็วฉับไวและการเลือกให้ภาพกับสีสันออกมาในโทนสดใสมี style เป็นของตัวเอง ทำให้การเล่าเรื่องในอนิเมะออกมาดีมากและไม่ผิดเพี้ยนไปจากในมังงะเลยแม้แต่น้อย ทั้งการพากย์สดของตัวละครอันลือลั่น, การใช้ผู้บรรยายมาอธิบายเรื่องให้ฟังยาวเหยียดระหว่างกำลังบู๊กันอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อนิเมะสมัยนี้ไม่ทำแน่ๆ หรือแม้แต่ การที่อยู่ดีๆสีผมหรือสีเสื้อของตัวละครที่เปลี่ยนแบบไม่มีเหตุผล (อันหลังนี้ชอบมากครับ 5555 พอดูแล้วยิ้มได้เลย ให้ความรู้สึกเลยว่า นี่แหละโจโจ้ขนานแท้)
สาม
เพลง Bloody Stream ตอนเพลง JOJO Blood Destiny ในภาค 1 ก็ทำให้รู้สึกฟินได้ไปมากแล้ว มาเพลง Bloody Stream ความรู้สึกฟินมันเข้ามาเติมเต็มได้ดีมากๆ เพราะใน OP มันช่างสีสันจัดจ้านโดดเด่นมาก ตอนดูครั้งแรกอยากบอกว่า น้ำตาแทบไหลครับ (ไม่ได้โม้) เพลง Bloody Stream แต่งออกมาได้มีเสน่ห์และฟังได้อารมร์ณโจโจ้สุดๆ เพราะแต่ก่อนเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าโจโจ้เป้นอนิเมะแล้วเพลง OP มันน่าจะเป็นยังไง เพราะแอบน้อยใจที่ทำไมแฟนๆโจโจ้ถึงไม่มีเพลงคลาสสิคเอาไว้ฮัมเหมือน Pagasus Fantasy หรือ Chala Head Chala บ้าง 55555 แต่มาคราวนี้ก็สมใจหยากแล้วครับ โดยเฉพาะเพลง JOJO Blood Destiny ที่ส่วนตัวผมฟังแล้วมันลายเป็นเพลง "คลาสสิค" เทียบเคียงไปกับเพลงอนิเมะยุคเก่าๆได้แล้ว
พูดถึงความฟินในตอนที่ดูตอนที่ 26 จบ
มันเป็นตอนที่แฟนๆน่าจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ไปหลายคน เพราะมันคือการปิดซีซั่นที่ทั้งเอาใจและทำร้ายจิตใจแฟนๆไปด้วยเลย 5555 ส่วนที่เอาใจก็เป็น การบู๊ข้างปากภูเขาไฟของโจเซฟกับคาร์ซที่มันส์ ประทับใจ และอีพิคมากๆ (แปลกดีที่ในฉากนี้ ทีมงานเอาเพลง OP 1 มาใส่ คงเพราะต้องการสรุปซีซั่นไปในตัวอีกทั้งคงเพราะเพลง OP 1 มันฟังแล้วฮึกเหิมกว่าด้วย) รวมทั้งฉากจบที่น่าประทับใจ เพราะเราได้เห็นในส่วนที่ไม่ได้เห็นในมังงะด้วย ทำให้อารมร์ณความสุขมันช่างเยี่ยมจริงๆในขณะที่ตอนจบภาค 1 คนที่พึ่งได้ดูอนิเมะหลายๆคน ดูแล้วหงอยไปเลย 5555 พอมาภาคนี้ก็จบลงได้อย่างแฮปปี้เอนดิ้งสุขขีกันทุกๆฝ่าย ...แต่ส่วนที่ที่ว่าทำร้ายก็คือ เซอร์ไพรส์ทิ้งเชื้อตอนท้ายนี่ล่ะครับ!!!
มันช่างทรมานจิตใจกันซะเหลือหลาย ผมเห็นแล้วแทบกรี๊ดเลยครับ! ถึงขาดต้องสวดกับตัวเองว่า "เดือนเจ็ด เดือนเจ็ด เดือนเจ็ด" 55555 เพราะไม่คิดว่าทีมงานจะเอาหน้าโจทาโร่มาโชว์เท่ห์ตอนจบให้ดูกันจริงๆ นึกว่าจะแค่เอาโลงดีโอขึ้นมาจากทะเลแล้วก็จบ นี่เล่นซะน้ำตาแทบไหล โอยตายๆๆๆ
เหนือสิ่งอื่นใดต้องขอขอบพระคุณทีมงาน David Production ที่ทำเพื่อแฟนๆโจโจ้ได้น่ารักมากมาย เพราะตลอด 25 ปีที่ผ่านมา โจโจ้ไม่เคยมีอนิเมะฉายทีวีเหมือนการ์ตูนดังเรื่องอื่นเลย จนมาตอนนี้นที่สุดโจโจ้เป็นเป็นอนิเมะทีวีที่สนุกและได้ใจทั้งแฟนและที่ไม่ใช่แฟนได้ จนสร้างฐานแฟนคลับให้กว้างขึ้นไปอีก (และผมคาดแน่ๆว่า เกม All Star Battle ก็น่าจะสร้างฐานแฟนโจโจ้ในหมู่เกมเมอร์ได้มากเล่นกัน)
แล้วเจอกันเดือนเจ็ดนะ คูโจ โจทาโร่ ...ให้มันได้งี้สิ...
ความรู้สึกหลังจากดูอนิเมะ JOJO Bizarre Adventure ภาค 2 จบ (ใครดูจบแล้วมาคุยกันครับ)
ในที่สุดอนิเมะ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ก็อำลาคนดูในตอนที่ 26 ไปจนได้ ซึ่งส่วนตัวผมดีใจมากที่อนิเมะสามารถ ลากคนที่ไม่เคยอ่านหรือรู้จักโจโจ้มาก่อนให้มาเป็นแฟนได้ เพราะต้องยอมรับว่าอนิเมะซีซั่นนี้ทำได้สนุกและยอดเยี่ยมมากๆ บางอย่างยอมรับว่าทำได้ดีกว่าในมังงะซะอีก (เรียกว่าเป็นการปรับให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ทันสมัยสมกับเป็นอนิเมะยุคนี้นั่นเอง) ซึ่งผมเองก็พึ่งได้ดูตอนที่ 26 ไปเมื่อไม่นานมานี้ พอดูจบก็รู้สึกฟินไปตามระเบียบ เพราะสำหรับแฟนพันธุ์แท้เข้าสายเลือดอย่างผม นี่เป็นการปิดซีซั่นที่ทำให้ใจสั่นได้มากๆครับ!
สำหรับอนิเมะตั้งแต่ตอนที่ 10 ถึง 26 นี้ คือเนื้อหาในส่วนของภาค 2 Battle Tendency หรือการต่อสู้ระหว่าง โจเซฟ โจสตาร์ กับเหล่าบุรุษเสาหินที่ตื่นจากการหลับใหลนั่นเอง ซึ่งในภาคแรกนั้น ยอมรับว่าทำให้โจโจ้ภาคแรกที่ในมังงะดูแล้วค่อนข้างจะเป็นภาคที่จืดกว่าภาคอื่นๆ อาจจเพราะคนส่วนใหญ่รู้จักโจโจ้ จากมังงะภาค 3 ที่เริ่มใช้แสตนด์กันจริงๆจังๆนั่นเอง แต่อนิเมะก็ทำออกมาได้ดีเยี่ยม สดใหม่ และมีความเป็นโจโจ้แบบมังงะ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ทั้งอารมร์ณการนำเสนอ แอ็คชั่น สีสัน การตัดต่อ ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่แหละ คือสิ่งที่แฟนๆรอคอยกันมานานก็เป็นจริงแล้ว (เพราะส่วนตัวผมผิดหวังกับ OVA ภาค 3 กับหนังโรงภาค 1 มากครับ มันดูมืดหม่นมากไปเกิน ทั้งๆที่โจโจ้เป็นการ์ตูนที่มีมู้ดสีสันสดใส)
พอมาภาค 2 ความเป็นโจโจ้ในอนิเมะนี้ก็ชัดเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง จนทำให้คนที่ไม่รู้จักโจโจ้ คงจะรู้สึกแปลกๆเพราะมันไม่เหมือนอนิเมะเรื่องอื่นๆในซีซั่นเดียวกันเลย แต่สำหรับแฟนๆเรารู้ทางกันดีอยู่แล้ว ...สิ่งที่ผมชอบในอนิเมะส่วนของภาค 2 นั้นเยอะจนผมหาสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่เจอเลยครับ 5555+ เริ่มจาก หนึ่ง ลายเส้น ในส่วนภาคแรกลายเส้นยังไม่ค่อยอารากิ Style นัก เพราะต้องปรับให้ลายเส้นโบราณในภาค 1 ดูดีขึ้นเวลาอยู่บนจอ พอมาส่วนของภาค 2 ปั๊บ โอ้แม่เจ้า! ลายเส้นแบบอารากิมันต้องอย่างนี้สิ! ตรงส่วนลายเส้นนี่ได้ใจไปตั้งแต่แรกเห็นครับ
สอง วิธีการตัดต่อ, เล่าเรื่อง โจโจ้เป็นมังงะที่มีการเล่าเรื่องแปลกประหลาด เพราะงี้มั้งครับทำให้ยุคก่อนคนทำอนิเมะยังไม่รู้ว่า จะทำให้วิธีการเล่าเรื่องแบบนั้นมาอยู่ในอนิเมะได้ยังไง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่า ทีม David Production เขาทำได้! เพราะการตัดต่อที่รวดเร็วฉับไวและการเลือกให้ภาพกับสีสันออกมาในโทนสดใสมี style เป็นของตัวเอง ทำให้การเล่าเรื่องในอนิเมะออกมาดีมากและไม่ผิดเพี้ยนไปจากในมังงะเลยแม้แต่น้อย ทั้งการพากย์สดของตัวละครอันลือลั่น, การใช้ผู้บรรยายมาอธิบายเรื่องให้ฟังยาวเหยียดระหว่างกำลังบู๊กันอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อนิเมะสมัยนี้ไม่ทำแน่ๆ หรือแม้แต่ การที่อยู่ดีๆสีผมหรือสีเสื้อของตัวละครที่เปลี่ยนแบบไม่มีเหตุผล (อันหลังนี้ชอบมากครับ 5555 พอดูแล้วยิ้มได้เลย ให้ความรู้สึกเลยว่า นี่แหละโจโจ้ขนานแท้)
สาม เพลง Bloody Stream ตอนเพลง JOJO Blood Destiny ในภาค 1 ก็ทำให้รู้สึกฟินได้ไปมากแล้ว มาเพลง Bloody Stream ความรู้สึกฟินมันเข้ามาเติมเต็มได้ดีมากๆ เพราะใน OP มันช่างสีสันจัดจ้านโดดเด่นมาก ตอนดูครั้งแรกอยากบอกว่า น้ำตาแทบไหลครับ (ไม่ได้โม้) เพลง Bloody Stream แต่งออกมาได้มีเสน่ห์และฟังได้อารมร์ณโจโจ้สุดๆ เพราะแต่ก่อนเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าโจโจ้เป้นอนิเมะแล้วเพลง OP มันน่าจะเป็นยังไง เพราะแอบน้อยใจที่ทำไมแฟนๆโจโจ้ถึงไม่มีเพลงคลาสสิคเอาไว้ฮัมเหมือน Pagasus Fantasy หรือ Chala Head Chala บ้าง 55555 แต่มาคราวนี้ก็สมใจหยากแล้วครับ โดยเฉพาะเพลง JOJO Blood Destiny ที่ส่วนตัวผมฟังแล้วมันลายเป็นเพลง "คลาสสิค" เทียบเคียงไปกับเพลงอนิเมะยุคเก่าๆได้แล้ว
พูดถึงความฟินในตอนที่ดูตอนที่ 26 จบ
มันเป็นตอนที่แฟนๆน่าจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ไปหลายคน เพราะมันคือการปิดซีซั่นที่ทั้งเอาใจและทำร้ายจิตใจแฟนๆไปด้วยเลย 5555 ส่วนที่เอาใจก็เป็น การบู๊ข้างปากภูเขาไฟของโจเซฟกับคาร์ซที่มันส์ ประทับใจ และอีพิคมากๆ (แปลกดีที่ในฉากนี้ ทีมงานเอาเพลง OP 1 มาใส่ คงเพราะต้องการสรุปซีซั่นไปในตัวอีกทั้งคงเพราะเพลง OP 1 มันฟังแล้วฮึกเหิมกว่าด้วย) รวมทั้งฉากจบที่น่าประทับใจ เพราะเราได้เห็นในส่วนที่ไม่ได้เห็นในมังงะด้วย ทำให้อารมร์ณความสุขมันช่างเยี่ยมจริงๆในขณะที่ตอนจบภาค 1 คนที่พึ่งได้ดูอนิเมะหลายๆคน ดูแล้วหงอยไปเลย 5555 พอมาภาคนี้ก็จบลงได้อย่างแฮปปี้เอนดิ้งสุขขีกันทุกๆฝ่าย ...แต่ส่วนที่ที่ว่าทำร้ายก็คือ เซอร์ไพรส์ทิ้งเชื้อตอนท้ายนี่ล่ะครับ!!!
มันช่างทรมานจิตใจกันซะเหลือหลาย ผมเห็นแล้วแทบกรี๊ดเลยครับ! ถึงขาดต้องสวดกับตัวเองว่า "เดือนเจ็ด เดือนเจ็ด เดือนเจ็ด" 55555 เพราะไม่คิดว่าทีมงานจะเอาหน้าโจทาโร่มาโชว์เท่ห์ตอนจบให้ดูกันจริงๆ นึกว่าจะแค่เอาโลงดีโอขึ้นมาจากทะเลแล้วก็จบ นี่เล่นซะน้ำตาแทบไหล โอยตายๆๆๆ
เหนือสิ่งอื่นใดต้องขอขอบพระคุณทีมงาน David Production ที่ทำเพื่อแฟนๆโจโจ้ได้น่ารักมากมาย เพราะตลอด 25 ปีที่ผ่านมา โจโจ้ไม่เคยมีอนิเมะฉายทีวีเหมือนการ์ตูนดังเรื่องอื่นเลย จนมาตอนนี้นที่สุดโจโจ้เป็นเป็นอนิเมะทีวีที่สนุกและได้ใจทั้งแฟนและที่ไม่ใช่แฟนได้ จนสร้างฐานแฟนคลับให้กว้างขึ้นไปอีก (และผมคาดแน่ๆว่า เกม All Star Battle ก็น่าจะสร้างฐานแฟนโจโจ้ในหมู่เกมเมอร์ได้มากเล่นกัน)
แล้วเจอกันเดือนเจ็ดนะ คูโจ โจทาโร่ ...ให้มันได้งี้สิ...