ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

กระทู้สนทนา
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"

"ตถาคต" หมายถึง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้วสองพันกว่าปี คำว่า ตถาคต เป็นคำบัญญัติสมมุติ ให้มีความหมายเป็นที่เข้าใจตรงกัน พระพุทธเจ้า เป็น คำบัญญัติสมมุติ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นคำบัญญัติสมมุติ ตัวฉันก็เป็นเพียง สมมุติ เท่านั้น มองไปรอบๆตัวที่เราเรียกชื่อนั้น ชื่อนี้ ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง รถ บ้าน ยศ ชั้น ฯลฯ ล้วนเป็นบัญญัติสมมุติ
แท้จริงแล้ว ตถาคต พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ ตัวฉัน สรรพสิ่งรอบตัวเป็นเพียง สมมุติเพื่อใช้เรียกขานให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน อะไรคือ ความเป็นจริง ของสมุติบัญญัติเหล่านี้น ความเป็นจริง คือ สิ่งทั้งปวงมีความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยให้เกิด ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วแตกดับ สลายไป ไม่ว่าจะมี ตถาคต จะมีพระพุทธเจ้า จะมีตัวฉันเกิดขึ้นหรือไม่..สรรพสิ่งก็มีสภาวะความเป็นจริงอย่างนั้น

  [๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม  ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุ นั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา  ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร ทั้งปวงไม่เที่ยง
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุ นั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา  ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ครั้นแล้ว จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร ทั้งปวงเป็นทุกข์
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุ นั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา  ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ครั้นแล้วจึง บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ
(พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๐ , ข้อที่ ๕๗๖)


ในกาลก่อนก็ตาม ในบัดนี้ก็ตาม เราตถาคต บัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องทุกข์และความดับสนิทไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น

ธรรม หรือ ธรรมชาติ ส่วนที่เป็นอสังขตธรรมนั้น เป็นอกาลิโก ดังที่ได้แสดงไว้แล้วในเรื่องอนัตตา  ถึงแม้จะไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนแท้จริง ดังเช่นสังขารทั้งปวง
         ธรรมหรือธรรมชาติเป็นเรื่องของความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ ที่มันต้องเป็นเช่นนี้เอง(ตถตา)  ไม่มีผู้ใดตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบันและต่อไปในอนาคต จะไปควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างจริงแท้และแน่นอน  เป็นสิ่งที่มีพร้อมมากับกำเนิดของโลกทั้งหลาย  และจะคงอยู่เช่นนี้เองอยู่ตลอดไปจนถึงกาลแตกดับ  ดังเช่น กฎพระไตรลักษณ์ ก็เป็นการกล่าวถึงสภาวธรรมหรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของสังขารทั้งปวง โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
         แต่ถึงแม้ธรรมชาติจักมีอำนาจอันยิ่งใหญ่สักปานใด  แต่ด้วยพระปรีชาญาณยิ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ผู้ทรงทราบถึงเหตุปัจจัยเหล่านี้อย่างแจ่มแจ้ง  จึงมีพระพุทธดำรัสไว้ว่า การปฏิบัติของพระองค์ท่านนั้นเป็นเรื่อง"สวนทวนกระแส"   อันเป็นไปตามกระแสพระพุทธดำรัสนั้นอย่างถูกต้อง คือ เป็นเรื่องสวนทวนกระแสธรรมชาติของมนุษย์หรือปุถุชน ที่ตามธรรมชาติแล้วจะต้องเกิดการสั่งสมกิเลสตัณหาต่างๆนาๆแล้วไหลเลื่อนไปสู่กองทุกข์โดยไม่รู้ตัว  อันเป็นจริงดุจธรรมชาติของนํ้า ที่โดยธรรมชาติแล้วย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ตํ่าเท่านั้นเป็นธรรมดา  ดังนั้นธรรมของพระองค์จึงเป็นเรื่องสวนทวนกระแสธรรมชาติของปุถุชน ที่ตามปกติแล้วจะต้องไหลเลื่อนลงสู่กองทุกข์เช่นกันเป็นธรรมดา ดุจดั่งน้ำ  ดังนั้นพระองค์ท่านจึงได้สอนการปฏิบัติเพื่อสร้างสมธรรมหรือธรรมชาติของชีวิตแบบใหม่หรือแบบดับทุกข์อันเป็นสุขยิ่งนั่นเอง  โดยอาศัยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั่นแหละ เป็นตัวจักรกลขับเคลื่อนให้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์  โดยการสร้างสมสังขารอันเกิดแต่ปัญญาญาณขึ้น  เป็นสังขารอันนำพาให้พ้นไปจากทุกข์ เป็นสังขารที่มิได้เกิดแต่อวิชชาดังเช่นในวงจรปฏิจจสมุปบาท  แต่กลับเป็นสังขารที่เกิดขึ้นโดยวิชชาของพระองค์ สามารถสวนทวนกระแสของความทุกข์ในปุถุชนได้

"กาลนี้   ธรรมนี้เราบรรลุได้โดยยาก บัดนี้ ไม่ควรประกาศ
ธรรมนี้ไม่เป็นธรรมที่ชนผู้มีราคะโทสะหนาแน่นตรัสรู้ได้โดยง่าย
ชนผู้มีราคะกล้า ถูกกองความมืดหุ้มห่อไว้ ย่อมไม่เห็นธรรม
ที่ยังสัตว์ให้ถึงที่ทวนกระแสโลก ละเอียด ลึก เห็นได้โดยยากเป็นอณู."


ในพระสูตรที่ตรัสสอนแก่วักกลิขณะที่อาพาธหนัก

"อย่าเลยวักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม
วักกลิเป็นความจริงแท้ บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม เธอจงสำคัญความนี้ว่า รูป (เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) เที่ยงหรือไม่เที่ยง"
"ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"
"สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า"
"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"
"สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา"
"ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"
"เพราะเหตุนั้น อริยสาวกเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป(เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณ หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี"
พระศาสดาตรัสสอนวักกลิภิกษุแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จไปทางภูเขา คิชฌกูฏ ส่วนวักกลิภิกษุ ก็เรียกเพื่อนภิกษุ ให้ช่วยกันอุ้มตนขึ้น ให้หามไปยังวิหารกาฬสิลา ซึ่งอยู่ข้างภูเขาอิสิคิลิ ด้วยคิดว่า
"ภิกษุเช่นเรา ไม่สมควรที่จะต้องมาตายอยู่ในละแวกบ้านเช่นนี้" เช้าวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา แล้วรับสั่งว่า
"ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงพากันไปหาวักกลิภิกษุถึงที่อยู่ แล้วจงบอกอย่างนี้ว่า เมื่อคืนมี เทวดาตนหนึ่ง ทูลกับพระศาสดาว่า วักกลิภิกษุ กำลังคิด เพื่อความหลุดพ้น แต่มีเทวดาอีกตนหนึ่งทูลว่า วักกลิภิกษุนั้น หลุดพ้นดีแล้ว จะหลุดพ้นได้แน่แท้ ส่วนพระศาสดาเอง ได้ตรัสฝากให้ท่านว่า อย่ากลัวเลยวักกลิ เธอจะมีความตายอันไม่ต่ำช้า จะมีความตาย อันไม่เลวทรามเลย"
ภิกษุเหล่านั้นรับพระดำรัสแล้ว ก็พากันไปหาวักกลิภิกษุถึงที่อยู่ เพื่อบอกเล่าคำของพระศาสดา วักกลิภิกษุ ให้เพื่อนๆ ช่วยกันอุ้มตน ลงจากเตียง เพราะคิดด้วยศรัทธายิ่งว่า
"ภิกษุเช่นเรา จะนั่งอยู่บนที่นั่งสูง แล้วฟังคำสั่งสอนของพระศาสดานั้น ไม่สมควรเลย"วักกลิภิกษุ ได้ฟังแล้ว ก็บอกกับเหล่าภิกษุนั้นว่า
"พวกท่านช่วยกันไปทูลพระศาสดา ตามคำพูดของผมด้วยว่า วักกลิภิกษุอาพาธเป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา กล้าเหลือเกิน ขอถวายบังคมลา เบื้องพระยุคลบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูป (เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) ไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ความพอใจก็ตาม ความกำหนัดก็ตาม ความรักใคร่ก็ตามในสิ่งนั้นๆ มิได้มีแก่ข้าพระองค์แล้ว"
ภิกษุเหล่านั้นรับคำของพระวักกลิเถระ เมื่อภิกษุเหล่านั้นออกจากที่นั้นแล้ว พระวักกลิเถระ ก็นำเอาศัสตรา (อาวุธมีคม) มาปาดคอตัวเอง
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกลับมากราบทูลตามคำของพระวักกลิเถระแล้ว พระศาสดารีบรับสั่งว่า"ไปกันเถิด พวกเราพากันไปหาวักกลิ"
พอไปถึงวิหารกาฬสิลา พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็น พระวักกลิเถระ นอนคอพับ อยู่บนเตียงนั้นเอง ที่ตรงนั้น มองเห็น มีกลุ่มควันลอยอยู่ ลอยไปทิศนั้นทิศนี้สับสนทั่ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอมองเห็นกลุ่มควันเหล่านั้น ลอยอยู่อย่างสับสนวุ่นวายหรือไม่"
"เห็น พระเจ้าข้า"
"นั่นแหละคือ มารใจหยาบช้า เที่ยวค้นหาวิญญาณของวักกลิ ด้วยคิดว่าวิญญาณ ของวักกลินั้น อยู่ที่แห่งไหนหนอ แต่ที่แท้ วิญญาณของวักกลินั้น ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ใด เพราะวักกลิ เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว"
ดังนั้น ทรงประกาศท่ามกลางหมู่สงฆ์ ทรงแต่งตั้งให้พระวักกลิเถระ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลาย ที่หลุดพ้นกิเลส ได้ด้วยศรัทธา


***ผู้ใดเห็นธรรม คือ เห็นในความไม่มีของสรรพสิ่งรวมทั้งตัวฉัน เห็นอย่างชัดเจน แจ่มแจ่งในความจริงของโลกและชีวิต จึงเห็นในความไม่มีอย่างแท้จริงใน "ตถาคต"
เห็นในความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งปวง...ไม่เที่ยง เกิด ดับหมดทั้งโลกและจักรวาลรวมทั้งตัวฉัน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่