>>> มะเร็งไทรอยด์กับอายุ 20 ปีของฉัน Papillaray Thyroid Cancer <<<

***ยืม Account มานะคะ ! ตอนแรกว่าจะสมัครเองแต่ยุ่งยากมากเลย ประกอบกับอยากโพสกระทู้วันนี้ด้วย***

** หากมีข้อผิดพลาดประการใด รบกวนช่วยบอกด้วยนะคะ จะรีบทำการแก้ไขค่ะ**

* Tag โรคมะเร็ง :: ตรงตัวนะคะ
   Tag ชีวิตวัยรุ่น :: ไม่แน่ใจว่า 20 ปีนี่ยังวัยรุ่นอยู่รึเปล่า แต่อยากแชร์ให้วัยรุ่นรู้ค่ะ ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ จะได้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นค่ะ
   
   ** แก้ไข Tag เพิ่ม โภชนาการ กับแพทย์ค่ะ
   
เริ่มด้วยเย็นวันหนึ่ง นั่งเล่นเกมส์ใน Ipad อยู่ดีดี มือมันก็ดันไปลูบๆคลำๆแถวคอ แล้วรู้สึกได้ว่ามันเป็นก้อนค่ะ เลยหยุดเล่นเกมส์แล้วใช้สองมือช่วยลูบๆจับๆ เปรียบเทียบบริเวณด้านข้างลำคอทั้ง 2 ข้าง ตอนนั้นก็ค่อนข้างมั่นใจค่ะว่ามันมีก้อน อยู่ที่ด้านซ้าย วันรุ่งขึ้นไปเรียนที่คณะ ก็ให้เพื่อนๆจับใหญ่เลยค่ะ ( ณ ตอนนั้นมีความรู้สึกตื่นเต้นที่หาก้อนเจอ เลยให้เพื่อนๆจับช่วยยืนยันค่ะ) ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ประมาณ 85% ก็บอกว่าจับเจอก้อนเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ ประกอบกับเรียนยุ่งมากๆค่ะ ไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย (ไม่มีเวลาไปหาหมอ) กลับบ้านไปก็ต้องรีบปั่นงานที่จะส่งวันรุ่งขึ้นค่ะ

พอดีมีวันนึงมีเรียนครึ่งวันค่ะ เลยได้ฤกษ์ไปหาหมอ (ศูนย์สุขภายของมหาวิทยาลัย) หมอก็จับๆคลำๆอยู่นาน ให้เอียงคอไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ก้มบ้าง เงยบ้างค่ะ จนหมอสรุปว่า อาจเป็นได้สองอย่างคือ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ กับ ไทรอยด์ค่ะ เลยให้เจาะเลือดไทรอยด์ และ ให้ยาแก้อักเสบมาทานสำหรับหนึ่งอาทิตย์ค่ะ แล้วหมอก็นัดอาทิตย์ถัดมา ซึ่งปรากฏว่าค่าไทรอยด์ปกติค่ะ ทานยาแก้อักเสบครบหนึ่งอาทิตย์ก้อนที่คอก็ไม่ยุบค่ะ ทีนี้คุณหมอเลยแนะนำให้ไปโรงพยาบาลค่ะ เรากับแม่ก็รีบไปเย็นนั้นเลย ในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นมีความรู้สึกว่าก้อนโตขึ้น และ แข็งขึ้นค่ะ (ไม่ได้คิดไปเองแน่ๆค่ะ) (แต่แนะนำว่าคนที่จับเจอห้ามไปจับเองบ่อยๆนะคะ แค่วันละครั้งแค่พอให้รู้ว่าก้อนมันเป็นยังไงบ้างแล้วก็พอค่ะ หมอก็ห้ามไม่ให้เราคิดมากและห้าม จับบ่อยๆค่ะ) พอไปติดต่อเรื่องที่โรงพยาบาล กว่าจะได้คิวหมอ ENT และหมอ Patho ก็ต้องรอรนานมากกก ตอนนั้นก็นัดคิวไปทั้งสองหมอเลย แม่บอกให้นัดไปก่อนค่ะ เพราะได้คิวยากมาก สรุปได้คิวหมอ ENT ก่อนค่ะ เข้าไปพบหมอ หมอก็จับเจาะ FNA และสั่งทำ Ultrasound ซึ่ง FNA หมอเจาะให้ตรงนั้นเลยค่ะ ส่งตรวจ Lab นอกซึ่งได้ผลวันรุ่งขึ้น แต่ Ultrasound ต้องรอคิว

การเจาะ FNA ตอนแรกกลัวมากๆๆๆๆๆๆค่ะ เศร้า แค่เจาะเลือดก็จะไม่ไหว ทีนี้พอพยาบาลบอกให้ขึ้นเตียงเท่านั้นลมแทบจับ
รอหมอเขียนใบนู่นนี่นั่นอยู่พอมีเวลาให้เราทำใจ อุปกรณ์รอบข้างก็พาให้ชวนใจเสีย หมอมาถึงก็พยายามชวนเราคุย แต่ไม่เป็นผลค่ะ ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นคิดในใจอารมณ์ประมาณว่า Just do it!!!! สรุปหมอเจาะไปทั้งหมด 2 ครั้งค่ะ บนและล่าง ( ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าการเจาะ FNA ถึงแม้จะเจาะ ลงไปที่ก้อนเนื้อตรงๆ แต่ไม่การันตีนะคะ ว่าจะเจออะไร อาจเจอส่วนที่ดีไม่เจอส่วนร้าย หรืออาจจะไม่เจออะไรเลย (( ต้องอาศัยหมอเก่งๆ มากประสบการณ์เอาค่ะ))   เจ็บเล็กน้อยแต่พอทนได้ค่ะ วันรุ่งขึ้นจะรู้สึกเจ็บๆที่ก้อนหน่อยนะคะ แต่นิดเดียวค่ะ กลืนน้ำลายอาจจะพอรู้สึกบ้างเล็กน้อย เหมือนเราเอาเข็มเข้าไปรบกวนเค้า เค้าก็คงเจ็บนิดนึงอะคะ แต่เราเป็นแค่วันเดียวค่ะ พอผล FNA ออกปรากฏว่าปกติค่ะ (ตามที่บอกนะคะ เจาะเข้าไปจะเจอตรงไหนก็ได้ ส่วนดี ส่วนร้าย หรือไม่เจออะไรเลย) ระหว่างอาทิตย์นั้นก็ถึงคิว Ultrasound พอดีค่ะ ก็เข้าไป  Ultrasound แม่ก็เข้าไปกับเราด้วย พอเสร็จแล้วแม่ก็ถามหมอว่าก้อนโตเท่าไหร่ค่ะ หมอตอบว่า จำตัวเลขไม่ได้นะคะ แต่บันทึกไว้ในคอมเดี๋ยวจะเขียนลง Report ให้ค่ะ แม่ก็ใจหวั่นๆไม่รู้ว่าหมอไม่กล้าพูดหรืออะไร

ข้ามมาจนถึงวันนัดหมอ Patho ค่ะเข้าไปพบหมอ รอคิวนานมากกกก ไม่ต่ำกว่า 3 ชม. หมอคนไข้เยอะจริงๆค่ะ พอเขาไปในห้องพยาบาลก็บอกให้เราขึ้นนอนบนเตียงเลย แอบหวั่นๆเล็กๆ ว่าต้องเจาะ FNA อีกรึเปล่า แต่ดูสภาพแวดล้อมข้างๆเดียง ไฟไม่สว่างมาก อุปกรณ์อะไรก็ไม่มีเลยคิดว่าคงไม่โดนเจาะอีกค่ะ นอนหายใจเล่นสักพักหมอก็มาค่ะ หมอก็ถามว่าหลังจากเจาะครั้งที่แล้วมียุบรึเปล่า เราก็บอกว่าไม่ค่ะ แต่คิดว่ามันแข็งขึ้น หมอบอกงั้น ขอเจาะใหม่น่ะ ขอดูว่าครั้งนี้ก้อนมันเป็นยังไงแล้วบ้าง ตอนนั้นกลัวมากก ไม่อยากเจ็บอีก แต่หมอบอกว่าครั้งนี้ขอเจาะครั้งเดียวพอ
เราก็กัดฟันตอบตกลงให้หมอเจาะ FNA บนเตียงนั้นเลย ปรากฏว่าครั้งนี้ไม่เจ็บเลยค่ะ  พอเจาะเสร็จก็ปิดแผลแล้วลุกขึ้นมานั่งรอแถวที่โต๊ะหมอ หมอก็บอกแม่ว่าลักษณะ การแทงเข็มเข้าไปแล้วค่อนข้างชัวร์ว่าเป็นเนื้องอกเพราะก้อนแข็ง ประกอบกับ Cell ที่ได้ออกมาจากการดูดค่อนข้างมีเนื้อเยอะ หมอโชว์ให้ดูด้วยค่ะ ตอนแรกว่าจะขอหมอถ่ายรูปออกมาลง IG แต่คิดว่าไม่สมควรเลยไม่ได้ขอค่ะ หมอบอกเป็นไกด์ลางๆว่า ยังไงคงต้องผ่าออก แต่ให้ไปปรึกษาและถามรายละเอียดกับหมอ ENT อีกทีค่ะ   เซลล์เนื้อที่ได้ออกมาจะมีสี เนื้อๆ เหลืองๆ เหมือนปนเลือดออกมานิดๆค่ะ อยู่ในแผ่นสไลด์ใสๆที่เอาเข้าเครื่องจุลทรรศน์อ่ะค่ะ หมอดูดตัวอย่างเซลล์ออกมาได้เต็มแผ่นเลยค่ะ หมอบอกว่าเดี๋ยวจะย้อมให้เลย แล้วจะเขียนผลลงในประวัติคนไข้ให้ค่ะ ซึ่งวันรุ่งขึ้นมีนัดกับหมอ ENT ก็ให้หมอ ENT เป็นคนอ่านผลค่ะ

ณ วันรุ่งขึ้น มีเรียนตามปกติก็ยังเฮฮากับเพื่อนๆ และบอกว่าผล FNA จะออกวันนี้ เพื่อนๆก็พลอยตื่นเต้นไปตามๆกันค่ะ ไอเราตอนนั้นก็ยังใจเย็นอยู่ไม่ได้คิดอะไร พอเลิกเรียนก็ตรงไปโรงพยาบาลตามนัดหมอค่ะ หมอก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง "ผลที่ตรวจ FNA ของเมื่อวานออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ ประกอบกับผล Ultrasound ก็ไม่ค่อยดี" เท่านั้นแหละ เราหน้าเสียเลยฟังหมออธิบายต่อ คงต้องผ่าตัดครับ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เพราะตอนนี้ก้อนเนื้อไม่ดีโตประมาณ 3.5 CM. แล้วและมีเส้นเลือดไปเลี้ยง ซึ่งไม่ดี  หมอก็อธิบายต่อว่าผ่าแล้วจะเป็นยังไงๆ ผลข้างเคียงเป็นยังไง ต้องรักษาตัวต่อไปยังไงบ้าง บลา บลา บลา ยอมรับว่าตอนนั้นไม่ค่อยได้ฟังหมอพูดเท่าไหร่ พยายามจิกตัวเองไม่ให้ร้องไห้ หมอถามว่ามีอะไรสงสัยอยากจะถามหมอรึเปล่า เราก็บอกว่า ไอเนื้อไม่ดีนี่ เรียกว่ามะเร็งได้รึยัง ?? หากตามผล FNA แล้วเชื่อผลนี้ได้ประมาณ 95% แต่ถ้าจะให้แน่ๆ จริงๆคือต้องผ่าเอาต่อมไทรอยด์ออกแล้วเอามาตรวจ อันนั้นถึงจะชัวร์จริงๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้มันก็ใช่ เราก็ไม่ได้ฟังอะไรต่อจากนั้น ให้แม่กับหมอคุยกันไปว่าผ่าที่ไหนอะไรยังไง พอเสร็จแล้วออกมาจากห้องหมอเดินไปไม่ถึง 10 ก้าวก็ปล่อย โฮทันทีกอดกันกับแม่ ร้องไห้ ร้องได้อยู่ 5 นาทีตั้งสติได้ก็กลับบ้าน ระหว่างทางก็ซึมๆ ซึ่งในสมองคิดตลอดเวลา "ต้องบอกใครบ้าง" "ต้องทำอะไรบ้าง" "ต้องหยุดเรียน" บลา บลา บลา

วันรุ่งขึ้นนัดเพื่อนในกลุ่มกินข้าวเพื่อจะบอกว่าเราเป็นอะไร แต่ละคนก็ช๊อกไปตามๆกัน และต้องไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษา ว่าเราต้องหยุดไปผ่าตัด อาจารย์ก็บอกไม่ต้องห่วงให้ไปรักษาสุขภาพให้ดีก่อน เราก็ใจชื้นขึ้นมา แต่ตอนนั้นไม่รุ้จริงๆว่าต้องหายไปนานเท่าไหร่ เพราะหมอบอกอาจจะต้อง มีกลืนแร่ด้วยและไม่รุ้ว่า มะเร็งนี่มันลามไปถึงไหนแล้ว หรือมันยังคงตัวอยู่ ขอแนะนำทุกคนนะคะว่าไม่ต้องบอกคนเยอะว่าเราเป็นอะไร เพราะเขาจะไม่สบายใจมากกว่าเรา และเวลาที่เขาพูดปลอบยิ่งทำให้เราเศร้าขึ้นไปอีก บางคนก็กังวลไปมากกว่าตัวเราซะอีก เราก็บอกเฉพาะเพื่อนที่สนิทๆ และก็อาจารย์ เฉพาะคนที่จำเป็นต้องรู้พอค่ะ

ขออนุญาตข้ามไปวันผ่าเลยนะคะ เรื่องระหว่างน้ันไม่มีอะไรค่ะ ปฏิบัติตัวตามปกติแต่ไม่ได้ไปโรงเรียนค่ะ พูดตรงๆเพราะตอนนั้นรู้สึกเซ็งค่ะ ไม่อยากทำงานด้วยความที่คณะเราต้องทำงานส่งนะคะ เรียน Lecture เป็นส่วนน้อย ซึ่งตอนนั้นคือช่วงทำงานไปตรวจเฉยๆยังไม่ใช่ Final เราก็เลยคิดว่าถ้ารีบเก็บงาน งานก็จะคุณภาพไม่ดี ไหนๆก็ไหนๆแล้วไม่ทำเลยดีกว่า ฮ่าๆๆๆ    แต่ก็นัดเจอเพื่อนปกติค่ะ กินข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง


วันผ่า เจ้าหน้าที่จากห้องผ่าตัดจะเข็นรถมารับเราที่ห้องพักค่ะ ซึ่งตอนนั้นแถบไม่ได้ร่ำลากับพ่อแม่เลย เพราะขึ้นลิฟต์มาถึงเค้าก็บอกว่า ญาติส่งได้แค่นี้นะครับแล้วก็เข็นเราเข้าไปเลย ฮ่าๆๆ  เค้าก็เข็นเราไปนอนเรียงๆกับคนไข้ที่รอผ่าคนอื่นๆ เหมือนรอเข้าห้องเชือด ยังไง ยังงั้น พยาบาลเห็นเหมือนเราเครียดเล็กน้อย เลยเข็นเตียงเรามาห่างๆ ชวนคุยและเปิดเพลงที่มี melody เบาๆให้ฟังค่ะ ระหว่างนั้นจะมีคนมาเจาะน้ำเกลือและพูดอธิบายเล็กน้อย นอนรออยู่ไม่นานก็เข็นเราเข้าห้องผ่าตัดค่ะ อ่อลืมบอกค่ะว่าเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาพอดี T^T ลำบากสุดๆ พยาบาลไม่ให้ใส่กางเกงในนะคะ แต่เค้าให้หนีบเป็นแผ่นอนามัยที่เค้าเตรียมไว้ให้แทนค่ะ พอเข็นเราเข้าห้องผ่าตัดแล้วพยาบาลทุกคน กับหมอเหมือนรู้หน้าที่ดี ทุกคนประจำตำแหน่งจับนู่นใส่นี่ ติดแผ่นตรงนี้ตรงนั้น แบบฉับไว มีคนอยู่ในห้องผ่าตัดไม่น้อยกว่า 10 คนค่ะ บรรยากาศเหมือนในหนังเป๊ะ! พอทุกฝ่ายทำงานเสร็จก็ต้อง wrap ตัวอีกทีค่ะ เอาให้ดิ้นไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ ทำงานกันเป็นทีมดีมากๆค่ะ หลังจากนั้นถึงคราวยาสลบที่ต้องฉีดเข้าสายน้ำเกลือ ซึ่งตอนแรกหมอเตือนมาแล้วว่าอาจจะแสบเล็กๆนะ พอโดนเข้าจริงไม่คิดว่ามันจะวิ่งเข้าร่างกายได้เร็วขนาดนี้เพียงแค่ 1 วิ แสบทุกเส้นเลือดในร่างกายจนตัวบิด แต่แสบแค่วิเดียวค่ะ แล้วก็เหมือนให้ดมยาค่ะ สูดเข้าไปประมาณ 5 เฮือกหลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ หลับยาว จำได้ว่าเข้าห้องผ่าตัดประมาณ 11:00 ได้สติประมาณ 15:00 ค่ะ อยู่ในห้องพักฟื้นก่อน พอได้สติโอเคแล้วเค้าก็เข็นเรากลับห้องพักค่ะ แนะนำนะคะว่าคนที่ผ่าตัดเสร็จพอฟื้นแล้ว ให้หายใจเข้าให้เต็มปอดค่ะ เพื่อป้องกันปอดแฟ่บ วันนั้นทั้งวันหลับๆตื่นๆ และรู้สึกเหนื่อยมากค่ะ หายใจแรงมากทั้งวัน เพื่อนมาเยี่ยมบ้าง ยังทานอะไรไม่ได้ค่ะ พอตกเย็นก็อาเจียนอย่างเดียว รู้สึกว่าไม่ได้ปวดแผลหรืออะไรนะคะ แต่เวลากลืนน้ำลายเจ็บมากกกกกกกก แต่ก็จะค่อยๆดีขึ้นทุกวันคะ

ผ่าเมื่อวันจันทร์ วันพุธก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่ะ (แอบรู้สึกว่าทำไมเร็วจัง ==! แต่ก็ดีค่ะ อยากกลับบ้าน) มีอาการชาเท้าแต่หมอบอกไม่เป็นไร (อันนี้ถ้าใครทราบ รบกวนบอกด้วยนะคะ เพราะรู้สึกว่าแค่นั่งขัดสมาธิก็ชาแล้ว ต้องนั่งทำขาปกติเท่านั้นค่ะ แต่วันนี้วันศุกร์ก็รู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ แต่ยังเป็นอยู่ แต่อาการชาที่อื่นไม่มีค่ะ)
ณ ตอนนี้คือ กลืนน้ำลายไม่เจ็บคอแล้วค่ะ แต่เวลาจะเรอ นี่รู้สึกเจ็บค่ะ ต้องค่อยๆปล่อยมันออกแล้วต้องเอามือจับแผลไว้ ตอนนี้ลุก กิน เดิน นั่งปกติค่ะ แต่เวลานอนตะแคงจะรู้สึกเจ็บแผลนิดๆค่ะ หมอแปะสติ๊กเกอร์สุญญากาศมาให้ เดี๋ยววันอาทิตย์จะแกะออกแล้วค่ะ


หมอนัดฟังผลชิ้นเนื้ออีกที วันที่ 17 นี้ค่ะ ปกติใช้เวลาตรวจชื้นเนื้อประมาณ 1-2 อาทิตย์ค่ะ หลังจากนั้นค่อยว่ากันว่าขั้นตอนต่อไป ต้องทำยังไง
กินยาไทรอยด์ / แคลเซียม / กลืนน้ำแร่ บลา บลา บลา สู้กันไปค่ะ แอบขี้เกียจกลับไปเรียนเล็กน้อย แบบว่างานมันหนักอ่ะ T^T ตอนแรกนึกว่าต้องหายไปนาน แต่นี่อยู่โรงพยาบาลแค่สองวันเอง  ไม่พร้อมกับไปเรียนมากกว่า ไม่พร้อมผ่าตัดอีกค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ  ถ้าทุกอย่างปกติ หายเจ็บแผลแล้ว วันจันทร์นี้(อาจจะ) กลับไปเรียนค่ะ เอาให้มันจบๆไป เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้ว ยิ้ม

ใครที่มีประสบการณ์รบกวนมาแชร์ให้ฟังด้วยนะคะ เพราะขั้นตอนต่อไปไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร อ่านจากใน Internet ก็มีข้อมูลบ้างค่ะแต่ไม่รู้ว่าเพียงพอรึเปล่า   ได้ยินมาว่าอาจจะมีอารมณ์เสียง่ายนี่จริงรึเปล่าค่ะ เพราะรู้สึกว่าวันนี้ตอนเช้าอารมณ์ไม่ดีเลย หงุดหงิดไปทุกอย่าง ไม่รุ้ว่าคิดไปเองรึเปล่าค่ะ
รบกวนเรื่องรอยแผลเป็นด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าต้องใช้ยาตัวไหนดี ทาแผลค่ะ ณ ตอนนี้ยังไม่ได้แกะแผลค่ะ ยังไม่ทราบว่าหน้าตาแผลเป็นยังไง ความยาวเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวจะมา Update นะคะ

หลังจากที่รู้ว่าเป็นพอหาข้อมูลก็น่าตกใจว่าคนรอบตัวเป็นกันเยอะเหมือนกัน อีกอย่างใครจะไปคิดว่า อายุเท่านี้จะเป็นได้แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆค่ะ
ปล. ได้ยินมาว่าหากเป็นในผู้ชาย อาการจะรุนแรงกว่านะคะ

** หากมีข้อผิดพลาดประการใด รบกวนช่วยบอกด้วยนะคะ จะรีบทำการแก้ไขค่ะ**
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่