พอดีเพิ่งได้ดูเรื่อง ยอดมนุษย์เงินเดือน ที่พี่ติ๊ก เจษฏาภรณ์จบไป (เชยสุดๆ) ก็เลยคิดอยากตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา คิดว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ น้องๆที่กำลังเข้าสู่วัยทำงานในสายงาน Professional หรืองานใน Corporate / Office กัน แล้วอยากได้แรงบันดาลใจหรืออยากประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ได้มี profile หรูหรามากมาย ไม่ได้ร่ำรวยหรือจบนอกมาจากมหาวิทยาลัยดังๆ
ขออนุญาติแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ผมจบมัธยมจากรร.รัฐบาลธรรมดา ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก แต่ได้ศึกษาต่อป.ตรีด้านคอมในม.รัฐชื่อดังในไทย แต่ยังไม่มีโอกาสได้เรียนโทเลยทั้งๆที่อยากเรียนมากแต่ยังหาเวลาไม่ได้เนื่องจากหน้าที่การงานและครอบครัว ตอนจบมาเกรดค่อนข้างใช้ได้ครับ เกิน 3 แต่ไม่ได้เกียรตินิยมอะไร ภาษาอังกฤษผมค่อนข้างดีเพราะว่าชอบศึกษาเองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ถึงจะไม่ได้เก่งกาจเหมือนเพื่อนๆหลายคนที่จบไฮสคูลมาจากเมืองนอก แต่ระดับภาษาก็พอเอาไปทำงานกับบริษัทข้ามชาติได้อย่างราบรื่น
ด้วยความที่เป็นคนชอบวางแผนอนาคตระยะยาว ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลสายงานต่างๆแล้วก็พยายามดันตัวเองให้เข้าไปอยู่ในส่วนที่ตัวเองอยากจะทำ ด้วยโชค+ความสามารถในการนำเสนอและสัมภาษณ์ ผมได้ฝึกงานรวมถึงจบมาแล้วทำงานในบริษัทแรก(ฝึกงานกับทำงานบริษัทเดียวกัน) ที่เป็นบริษัทพลังงานระดับโลก ผมรู้ว่าบริษัทฝรั่งพวกนี้ชอบคนที่ทำงานแบบ Proactive คือ กระตือรือร้นขวนขวายด้วยตนเองโดยไม่ต้องบอกกล่าวมากมาย ที่นี่ผมได้สร้างผลงานที่เรียกได้ว่าเป็น Initiative หลายอย่างให้กับองค์กร อย่างเช่น การออกแบบระบบ Data Mining เพื่อเพิ่มทางเลือกในการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน Retail marketing ทำให้ปีแรกหลังฝึกงานบริษัทสามารถพัฒนากลยุทธ์เพิ่มยอดขายปลีกได้หลักหลายสิบล้าน หลังจากเรียนจบในปีแรกของการทำงานผมจึงได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานเป็น Expat อยู่ในยุโรป ตอนนั้นผมอายุแค่ 21 ย่าง 22 แถมบ้านนอกไม่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อนเลยอีกต่างหาก
... ณ ช่วงเวลาที่ผมอยู่ในยุโรปนั้น ผมเป็นคนเอเชียคนเดียวในตึกที่ทำงาน แต่ด้วยผลงานก่อนหน้านี้..เลยถูกตั้งความหวังไว้มาก เรียกได้ว่าเครียดแล้วก็นอนไม่ค่อยจะหลับเป็นเวลาเดือนๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นการปรับตัวมาได้ด้วยดี งานของผมตอนนั้นต้องบินไปหลายๆ ประเทศในยุโรปประเทศละ 1-2 เดือนเพื่อไปช่วย rollout ระบบงานต่างๆ (ERP/SAP/CRM) ประสบการณ์ตอนนั้นมีค่ามากๆ ครับ ผมได้ทำงานกับพวก Consultant ฝรั่งหลากหลายชาติจากบริษัทดังๆ ทั่วยุโรป เช่น PriceWaterhouseCoopers, Axon, IBM, A.T. Kearney ที่ถูกจ้างเข้ามาให้ช่วยกันในโปรเจคนี้ โชคดีของผมที่ consult รอบตัวผมนั้นเก่งมากแล้วก็นิสัยดี ส่วนใหญ่จะระดับ Senior อายุ 40-60 กันทั้งนั้น พวกนี้แหละที่เป็นคนสอนงานผมในหลายๆ ด้าน แถมสอนแนวคิดในการทำงาน การวางแผน career path การแต่ง resume การ presentation การเขียน documentation แบบมือโปร แถมยังแก้ grammar, wording ให้อีกในแทบทุกหน้าของ Document ที่ทำขึ้นมา ทำให้ภาษาผมรุดหน้าไปมาก พร้อมๆกับความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ เช่นการวิเคราะห์ข้อมูล ความรู้ในกระบวนการธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำทั้ง Sales processes, Logistics, Procurement, Supply Chain, Finance & Accounting
ในขณะเดียวกันผมเองก็มองเห็นช่องทางค้าขาย นำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์บางอย่างไปขายที่นั่นก็เลย(แอบ)สร้างธุรกิจเล็กๆขึ้นมา (Trading) ควบคู่ไปด้วย จนกลับมาเมืองไทยได้ลาออกมาทำเต็มตัว (ตรงนี้รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ลาออกจากบริษัทที่ให้โอกาสดีๆ มากมาย ก่อนออกเจ้านายยังเสนอให้ไปเป็น Expat ที่ US อีก T_T) แต่สุดท้ายด้วยความคึกคะนองบวกกับการอยากเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองก็ต้องตัดสินใจออกมา แต่สุดท้ายแล้วก็เจอกับปัญหาโรงงานจีนที่เคยดีลไว้ทำให้ต้องพับโครงการไปหลังจากทำธุรกิจนั้นมาเป็นปีๆ ณ ตอนนี้ผมตัดสินใจกลับไปทำงานด้านเดิมเพราะรู้สึกว่าตัวเองถนัดและยังชอบงานแนวนั้นอยู่ แต่ไปอยู่ในบริษัท consulting เต็มตัว ตอนที่อยู่ที่นี่ผมได้ไปทำโปรเจคในตปท.อีกหลายประเทศเช่น เมกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ ตปท. เป็นส่วนใหญ่แต่เงินเดือนแบบไทยขององค์กรข้ามชาติซึ่งก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยในเวลานั้น (หกหลัก ในช่วงอายุ 26-28 ปี)
ปัจจุบันผมทำงานในองค์กรข้ามชาติยักษ์ใหญ่แห่งนึง (เป็น End-user organization ไม่ได้เป็นบริษัท Consulting ) หน้าที่หลักคือบริหารแผนกและดูแลการบริหารโครงการพวกระบบ ERP/CRM ให้กับบริษัทในเครือกว่าสิบประเทศ ซึ่งระบบที่ใช้ถือเป็นหัวใจหลักในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ
ข้อคิดที่อาจจะเป็นประโยชน์จากการทำงานในสายงานผมคือ
- รักในงานที่ทำ ถ้ารักงานแล้วเราจะอยากพัฒนาปรับปรุงสิ่งรอบตัวต่างๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จเสมอครับ เหมือนๆ กับการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่เรารัก เช่น ขยันทำงาน ทำตัวเป็นคนดีเพื่อพ่อแม่ หรือแฟน เพื่อให้เขาเหล่านั้นมีความเป็นอยู่หรือมีความสุขที่มากขึ้น
- เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติต่างๆ ถ้าเข้าถึงและเข้าใจพวกเขาได้มากเท่าไหร่ การบริหารหรือการทำงานร่วมกันก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ดูแลสุขภาพและจิตใจให้แข็งแรงเสมอ ตัวผมเองจะมีงานอดิเรกและกีฬาที่ชอบมากๆ อยู่ 1-2 อย่าง ทุกครั้งที่ว่างก็จะต้องไปทำกิจกรรมเหล่านั้นมันผ่อนคลายได้ดีเหลือเชื่อทีเดียว รวมถึงคุณพ่อคุณแม่และคนรู้ใจด้วยเอาใจใส่เขามากๆ เราก็จะได้ใจและสิ่งดีๆ กลับมาเป็นพลังในการทำงานตลอด
- ความมั่นคงในการงานอยู่ที่ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บริษัท ตราบใดที่ผลงานเราเป็นที่ประจักษ์ .. ผมเคยคุยกับ CxO เก่งๆหลายคนในเรื่อง Job Security (ความมั่นคงในหน้าที่การงาน) ทุกคนพูดประโยคนี้อย่างเดียว แต่ก็เข้าใจนะครับว่าความสามารถ ความเก่งในแต่ละคนแต่ละระดับพนักงานแตกต่างกันไป ความกลัวก็เลยต่างกัน
- ถ้างานหนักเกินไป ให้หยุดคิดบ้างว่าหนักเพราะอะไร สามารถแก้ไขปรับปรุงได้หรือเปล่า ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องทำงานหนักไปตลอด (กรณีนี้ผมเจอบ่อยมากกับคนที่ทำงานหนักเพราะทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือสิ่งแวดล้อมบางอย่างที่เปลี่ยนได้) ในปัจจุบันผมไม่ได้ทำงานหนักๆแบบเลิกดึกๆมานานแล้ว จะมีก็แค่ประชุม telecon เป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
- ถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูง อยากสร้างอนาคตให้ตัวเองได้เร็ว องค์กรข้ามชาติให้ผลตอบแทนดีมาก โดยไม่สนใจเรื่องอายุครับ ขอให้มีความสามารถในงานนั้นๆ ก็พอ จากประสบการณ์ส่วนตัวก็ถือว่าพอใจในรายได้ปัจจุบันพอสมควรที่เกือบยี่สิบหมื่นเฉพาะเงินเดือนอย่างเดียว กับทรัพย์สินที่เก็บหามาได้เองตั้งแต่ทำงานอีกเป็นเลข 8 หลัก อาจจะไม่ได้ร่ำรวยมากมายเหมือนเจ้าของธุรกิจ แต่ก็ค่อนข้างมีความสุขกับชีวิตปัจจุบันแล้ว)
- จากข้างบน การพัฒนาด้านภาษาถือว่า มีความสำคัญมากครับ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่เราไม่ได้พัฒนาความสามารถด้านภาษาเลยโดยเฉพาะภาษาอังกฤษในยุคที่กำลังจะกลายเป็น AEC ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถด้านภาษาจากระดับที่เราเรียนมา ก็เปรียบเสมือนกับเราฝากเงินโดยไม่มีดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยแพ้อัตราเงินเฟ้อ นั่นหมายถึง การสูญเสียความมั่นคงในการงานไปทีละน้อยครับ *พูดโดยรวมในแง่ของการรวมเป็น AEC ก็คืออาจจะมีคนต่างชาติที่ได้หลายๆ ภาษาเข้ามาแย่งงานในประเทศเรานั่นเอง
ผมรู้ว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่น่าสนใจไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กจากเพื่อนๆ อยากให้มาแชร์กันนะครับ จุดมุ่งหมายอยากให้เป็นแรงบันดาลใจกับน้องๆ หรือเพื่อนๆ ที่กำลังมุ่งมั่นสร้างความสำเร็จในสายงานของ "ยอดมนุษย์เงินเดือน" ครับ ขอบคุณครับ
อยากให้เพื่อนๆมาแชร์ประสบการณ์หรือความสำเร็จในการทำงานสาย Professional (ไม่รวมเจ้าของธุรกิจ) สำหรับคนที่เรียนจบในไทย
ขออนุญาติแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ผมจบมัธยมจากรร.รัฐบาลธรรมดา ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก แต่ได้ศึกษาต่อป.ตรีด้านคอมในม.รัฐชื่อดังในไทย แต่ยังไม่มีโอกาสได้เรียนโทเลยทั้งๆที่อยากเรียนมากแต่ยังหาเวลาไม่ได้เนื่องจากหน้าที่การงานและครอบครัว ตอนจบมาเกรดค่อนข้างใช้ได้ครับ เกิน 3 แต่ไม่ได้เกียรตินิยมอะไร ภาษาอังกฤษผมค่อนข้างดีเพราะว่าชอบศึกษาเองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ถึงจะไม่ได้เก่งกาจเหมือนเพื่อนๆหลายคนที่จบไฮสคูลมาจากเมืองนอก แต่ระดับภาษาก็พอเอาไปทำงานกับบริษัทข้ามชาติได้อย่างราบรื่น
ด้วยความที่เป็นคนชอบวางแผนอนาคตระยะยาว ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลสายงานต่างๆแล้วก็พยายามดันตัวเองให้เข้าไปอยู่ในส่วนที่ตัวเองอยากจะทำ ด้วยโชค+ความสามารถในการนำเสนอและสัมภาษณ์ ผมได้ฝึกงานรวมถึงจบมาแล้วทำงานในบริษัทแรก(ฝึกงานกับทำงานบริษัทเดียวกัน) ที่เป็นบริษัทพลังงานระดับโลก ผมรู้ว่าบริษัทฝรั่งพวกนี้ชอบคนที่ทำงานแบบ Proactive คือ กระตือรือร้นขวนขวายด้วยตนเองโดยไม่ต้องบอกกล่าวมากมาย ที่นี่ผมได้สร้างผลงานที่เรียกได้ว่าเป็น Initiative หลายอย่างให้กับองค์กร อย่างเช่น การออกแบบระบบ Data Mining เพื่อเพิ่มทางเลือกในการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน Retail marketing ทำให้ปีแรกหลังฝึกงานบริษัทสามารถพัฒนากลยุทธ์เพิ่มยอดขายปลีกได้หลักหลายสิบล้าน หลังจากเรียนจบในปีแรกของการทำงานผมจึงได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานเป็น Expat อยู่ในยุโรป ตอนนั้นผมอายุแค่ 21 ย่าง 22 แถมบ้านนอกไม่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อนเลยอีกต่างหาก
... ณ ช่วงเวลาที่ผมอยู่ในยุโรปนั้น ผมเป็นคนเอเชียคนเดียวในตึกที่ทำงาน แต่ด้วยผลงานก่อนหน้านี้..เลยถูกตั้งความหวังไว้มาก เรียกได้ว่าเครียดแล้วก็นอนไม่ค่อยจะหลับเป็นเวลาเดือนๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นการปรับตัวมาได้ด้วยดี งานของผมตอนนั้นต้องบินไปหลายๆ ประเทศในยุโรปประเทศละ 1-2 เดือนเพื่อไปช่วย rollout ระบบงานต่างๆ (ERP/SAP/CRM) ประสบการณ์ตอนนั้นมีค่ามากๆ ครับ ผมได้ทำงานกับพวก Consultant ฝรั่งหลากหลายชาติจากบริษัทดังๆ ทั่วยุโรป เช่น PriceWaterhouseCoopers, Axon, IBM, A.T. Kearney ที่ถูกจ้างเข้ามาให้ช่วยกันในโปรเจคนี้ โชคดีของผมที่ consult รอบตัวผมนั้นเก่งมากแล้วก็นิสัยดี ส่วนใหญ่จะระดับ Senior อายุ 40-60 กันทั้งนั้น พวกนี้แหละที่เป็นคนสอนงานผมในหลายๆ ด้าน แถมสอนแนวคิดในการทำงาน การวางแผน career path การแต่ง resume การ presentation การเขียน documentation แบบมือโปร แถมยังแก้ grammar, wording ให้อีกในแทบทุกหน้าของ Document ที่ทำขึ้นมา ทำให้ภาษาผมรุดหน้าไปมาก พร้อมๆกับความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ เช่นการวิเคราะห์ข้อมูล ความรู้ในกระบวนการธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำทั้ง Sales processes, Logistics, Procurement, Supply Chain, Finance & Accounting
ในขณะเดียวกันผมเองก็มองเห็นช่องทางค้าขาย นำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์บางอย่างไปขายที่นั่นก็เลย(แอบ)สร้างธุรกิจเล็กๆขึ้นมา (Trading) ควบคู่ไปด้วย จนกลับมาเมืองไทยได้ลาออกมาทำเต็มตัว (ตรงนี้รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ลาออกจากบริษัทที่ให้โอกาสดีๆ มากมาย ก่อนออกเจ้านายยังเสนอให้ไปเป็น Expat ที่ US อีก T_T) แต่สุดท้ายด้วยความคึกคะนองบวกกับการอยากเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองก็ต้องตัดสินใจออกมา แต่สุดท้ายแล้วก็เจอกับปัญหาโรงงานจีนที่เคยดีลไว้ทำให้ต้องพับโครงการไปหลังจากทำธุรกิจนั้นมาเป็นปีๆ ณ ตอนนี้ผมตัดสินใจกลับไปทำงานด้านเดิมเพราะรู้สึกว่าตัวเองถนัดและยังชอบงานแนวนั้นอยู่ แต่ไปอยู่ในบริษัท consulting เต็มตัว ตอนที่อยู่ที่นี่ผมได้ไปทำโปรเจคในตปท.อีกหลายประเทศเช่น เมกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ ตปท. เป็นส่วนใหญ่แต่เงินเดือนแบบไทยขององค์กรข้ามชาติซึ่งก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยในเวลานั้น (หกหลัก ในช่วงอายุ 26-28 ปี)
ปัจจุบันผมทำงานในองค์กรข้ามชาติยักษ์ใหญ่แห่งนึง (เป็น End-user organization ไม่ได้เป็นบริษัท Consulting ) หน้าที่หลักคือบริหารแผนกและดูแลการบริหารโครงการพวกระบบ ERP/CRM ให้กับบริษัทในเครือกว่าสิบประเทศ ซึ่งระบบที่ใช้ถือเป็นหัวใจหลักในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ
ข้อคิดที่อาจจะเป็นประโยชน์จากการทำงานในสายงานผมคือ
- รักในงานที่ทำ ถ้ารักงานแล้วเราจะอยากพัฒนาปรับปรุงสิ่งรอบตัวต่างๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จเสมอครับ เหมือนๆ กับการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่เรารัก เช่น ขยันทำงาน ทำตัวเป็นคนดีเพื่อพ่อแม่ หรือแฟน เพื่อให้เขาเหล่านั้นมีความเป็นอยู่หรือมีความสุขที่มากขึ้น
- เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติต่างๆ ถ้าเข้าถึงและเข้าใจพวกเขาได้มากเท่าไหร่ การบริหารหรือการทำงานร่วมกันก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ดูแลสุขภาพและจิตใจให้แข็งแรงเสมอ ตัวผมเองจะมีงานอดิเรกและกีฬาที่ชอบมากๆ อยู่ 1-2 อย่าง ทุกครั้งที่ว่างก็จะต้องไปทำกิจกรรมเหล่านั้นมันผ่อนคลายได้ดีเหลือเชื่อทีเดียว รวมถึงคุณพ่อคุณแม่และคนรู้ใจด้วยเอาใจใส่เขามากๆ เราก็จะได้ใจและสิ่งดีๆ กลับมาเป็นพลังในการทำงานตลอด
- ความมั่นคงในการงานอยู่ที่ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บริษัท ตราบใดที่ผลงานเราเป็นที่ประจักษ์ .. ผมเคยคุยกับ CxO เก่งๆหลายคนในเรื่อง Job Security (ความมั่นคงในหน้าที่การงาน) ทุกคนพูดประโยคนี้อย่างเดียว แต่ก็เข้าใจนะครับว่าความสามารถ ความเก่งในแต่ละคนแต่ละระดับพนักงานแตกต่างกันไป ความกลัวก็เลยต่างกัน
- ถ้างานหนักเกินไป ให้หยุดคิดบ้างว่าหนักเพราะอะไร สามารถแก้ไขปรับปรุงได้หรือเปล่า ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องทำงานหนักไปตลอด (กรณีนี้ผมเจอบ่อยมากกับคนที่ทำงานหนักเพราะทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือสิ่งแวดล้อมบางอย่างที่เปลี่ยนได้) ในปัจจุบันผมไม่ได้ทำงานหนักๆแบบเลิกดึกๆมานานแล้ว จะมีก็แค่ประชุม telecon เป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
- ถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูง อยากสร้างอนาคตให้ตัวเองได้เร็ว องค์กรข้ามชาติให้ผลตอบแทนดีมาก โดยไม่สนใจเรื่องอายุครับ ขอให้มีความสามารถในงานนั้นๆ ก็พอ จากประสบการณ์ส่วนตัวก็ถือว่าพอใจในรายได้ปัจจุบันพอสมควรที่เกือบยี่สิบหมื่นเฉพาะเงินเดือนอย่างเดียว กับทรัพย์สินที่เก็บหามาได้เองตั้งแต่ทำงานอีกเป็นเลข 8 หลัก อาจจะไม่ได้ร่ำรวยมากมายเหมือนเจ้าของธุรกิจ แต่ก็ค่อนข้างมีความสุขกับชีวิตปัจจุบันแล้ว)
- จากข้างบน การพัฒนาด้านภาษาถือว่า มีความสำคัญมากครับ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่เราไม่ได้พัฒนาความสามารถด้านภาษาเลยโดยเฉพาะภาษาอังกฤษในยุคที่กำลังจะกลายเป็น AEC ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถด้านภาษาจากระดับที่เราเรียนมา ก็เปรียบเสมือนกับเราฝากเงินโดยไม่มีดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยแพ้อัตราเงินเฟ้อ นั่นหมายถึง การสูญเสียความมั่นคงในการงานไปทีละน้อยครับ *พูดโดยรวมในแง่ของการรวมเป็น AEC ก็คืออาจจะมีคนต่างชาติที่ได้หลายๆ ภาษาเข้ามาแย่งงานในประเทศเรานั่นเอง
ผมรู้ว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่น่าสนใจไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กจากเพื่อนๆ อยากให้มาแชร์กันนะครับ จุดมุ่งหมายอยากให้เป็นแรงบันดาลใจกับน้องๆ หรือเพื่อนๆ ที่กำลังมุ่งมั่นสร้างความสำเร็จในสายงานของ "ยอดมนุษย์เงินเดือน" ครับ ขอบคุณครับ