สถานที่ท่องเที่ยว : วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว, เพชรบูรณ์ Thailand
พิกัด GPS : 16° 47' 22.90"N 101° 02' 57.59"E
รีวิวตอนที่ 1 ลิงค์ข้างล่างครับ
http://pantip.com/topic/30325628 รีวิวภาค 1 : จุดแวะพักรถ ROUTE 12
ออกจากจุดพักรถ Route 12 ไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณไม่เกิน 10 นาที ก็ลงเขายาวๆ ประมาณ 1 กม. มาถึงย่านท่องเที่ยวเขาค้อจะเห็นภูแก้วรีสอร์ทเด่นชัดอยู่ซ้ายมือ ถนนจะเปลี่ยนเป็นสี่เลน
ผู้ที่จะเข้าแหล่งเที่ยวหลักของเขาค้อ ก็แยกขวาที่สามแยกแคมป์สนเข้าไป มีแหล่งเที่ยวมากมาย เช่น พระตำหนักเขาค้อ จุดชมวิว 360 องศา อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก หอสมุดนานาชาติเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ พิพิธภัณฑ์อาวุธ ฐานอิทธิ เป็นต้น
แต่เราจะเลยไปแวะเฉพาะริมทางหลวงหมายเลข 12 เท่านั้นนะครับ เลยแยกแคมป์สนไปเล็กน้อยจะเป็นตลาดห้วยไผ่ จะเห็นภูฟ้าใสรีสอร์ทโดดเด่นอยู่ซ้ายมือ ก่อนถึงถึงภูฟ้าใสจะมีทางแยกเล็กๆ ลงซ้ายมือมีป้ายบอก วัดผาซ่อนแก้ว หรือ พระธาตุผาซ่อนแก้ว แวะเข้าไปเลยครับ แต่ถ้าเลยไปเข้าทางเข้าเส้นที่ 2 ได้ วัดแห่งนี้อยู่ที่บ้านทางแดง ซึ่งมีถ้ำใหญ่ใกล้หน้าผาบนเขาลูกใหญ่เลยหมู่บ้านไปเล็กน้อย
ชาวบ้านเล่ากันมาว่าผู้เฒ่าผู้แก่บอกต่อๆ กันมาว่าเคยเห็น ลูกแก้วดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า เมื่อตามไปดูหายไป เข้าใจว่าคงหายเข้าไปในถ้ำนั่นเอง จึงได้ชื่อ “ผาซ่อนแก้ว”
ปัจจุบันวัดนี้ได้พัฒนาสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม แหวกแนวและอลังการจนสร้างกระแสดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชม ทั้งๆ ที่ประกาศว่าเป็นเขตปฏิบัติธรรมต้องการความสงบก็ไม่วายอยู่ดี
เอาล่ะครับมาดูเส้นทางเข้าวัดกัน มี 2 เส้นทางนะครับ โดยปกติจะเข้าทางเข้าที่ 1 กัน ซึ่งผ่านชุมชน เป็นทางคอนกรีต อบต. แคบๆ พอรถสวนกันได้ จะได้เห็นชุมชนทางแดงครับ เป็นทางตรง ค่อนข้างเรียบ (สำหรับทางบนเขา) แต่ตรงจุดแยกเข้าจะชันมากหน่อยประมาณ 15 เมตร เป็นลักษณะความต่างระดับของถนนใหญ่กับถนนในหมู่บ้านบนดอยตามปกติทั่วไป ส่วนทางเข้าที่ 2 เป็นเส้นทางใหม่ตัดผ่านบนสันเขาเข้าไปครับ ดังภาพข้างล่างนี้
เข้าทางเส้นทางที่ 1 ประมาณ 2 กม. เศษ ก็ถึงหน้าวัดเลี้ยวเข้าไปหาที่จอดให้เรียบร้อย ที่จอดรถค่อนข้างจำกัด (ถ้าขับเลยไปก็มีทางเข้าอีกทางมีที่จอดรถมากกว่า) แต่ทางนี้เข้าตรงหน้าประตูวัด ให้บรรยากาศดีกว่า
เมื่อเข้าไปถึงก็ขอให้เดินด้วยความสงบ จะมองเห็นอาคารทรงเจดีย์สำหรับบรรจุพระธาตุตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างสง่างาม โดดเด่นมองเห็นแต่ไกล ขับรถบนทางหลวงหมายเลข 12 ก็มองเห็นได้เช่นกัน

อาคารทรงเจดีย์บรรจุพระธาตุ มี 5 ชั้น ชั้นที่ 1 ประดิษฐานพระพุทธรูปให้สักการะ ทำบุญตามศรัทธา ชั้นที่ 2 มีพระให้กราบไหว้อีกด้วย แต่ชั้นนี้จะมีระเบียงให้เดินชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ พร้อมทั้งระเบียงยื่นออกไปสี่ทิศทรงกูบช้าง เป็นสถานที่สำหรับนั่งสมาธิ ชั้นที่ 3-4 ก็มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้ ส่วนชั้นที่ 5 เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุ ปกติจะปิดไม่ให้ผู้คนสัญจรทั่วไปขึ้นไป เว้นแต่มีพระหรือบุคคลที่ทางวัดนำขึ้นไปครับ อาจเป็นเพราะพระธาตุวางไว้โล่งแจ้งหายได้ง่ายๆ
เอาล่ะกลับมาที่ทางขึ้น จะพบช้าง 8 งา เฝ้าอยู่ครับ

ช้าง 8 งา งวงเป็นพญานาคเฝ้าบันไดครับ ต้องถอดรองเท้าไว้ที่นี่ครับ แล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นไป ช่วงแดดร้อนๆ คงสนุกเอาเรื่อง แต่วันนี้โชคดีแดดหุบ (ฮาๆ ยังกะร่มหุบได้วุ๊ย...) เดินได้สบายๆ

เทวดาองค์นี้นี่ก็เฝ้าทางขึ้นเช่นกัน ทำมือเหมือนจะส่งสัญญาณว่าพูดเบาๆ กันหน่อยนะ... ครับ..ปฏิบัติตามครับ..
สังเกตที่ฐานจะเริ่มเห็นเครื่องเบญจรงค์ประดับโดยรอบด้วยหินสีสวยงาม ของจริงนะนั่น ไม่ใช่ของปลอมใดใด ที่ญาติโยมมาบริจาค

เอามาให้ดูใกล้ๆ อีกทีเอาให้ชัดๆ เป็นอย่างนี้ครับ
ผ่านช้าง ผ่านเทวดา วางรองเท้า ก็ไปต่อครับ เดินไปชมทิวทัศน์ทะเลภูไปเพลินๆ ก็ถึงตัวอาคาร เข้าไปกราบพระกันก่อนครับ เป็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ประทับซ้อนกันครับ

พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เหลืองอร่ามให้สักการะที่ชั้น 2
อันว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นั้นเป็นคติพุทธอีกโสดหนึ่งที่มีตำนานมีประวัติเล่าต่อกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่พายุรุนแรงพัดกระหน่ำจนรังของพญากาเผือก 2 ตัวผัวเมียบนฝั่งแม่น้ำคงคากระจัดกระจายเป็นเหตุให้ไข่ที่มี 5 ใบ ไปตกในที่ต่างๆ และ ต่อมามีผู้เลี้ยงดู (สัตว์ต่างๆ 5 ชนิด คือ ไก่ นาค เต่า โค และราชสีห์) ... ยาวครับ อีกยาววววว... จนมาเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ และพระนามของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็มาจากผู้เลี้ยงดูฟูกฟักไข่ของพญากาเผือกทั้ง 5 นั่นละครับ ใครใคร่รู้ลองถามอากู๋ดูนะครับ ... มีคำตอบแน่นอน
เดินออกไปที่ระเบียง และ มองไปทางด้านเหนือจะเห็นเครื่องจักรกลขนาดใหญ่กำลังสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ขนาดใหญ่ให้กราบไหว้กันในอนาคตอันใกล้นี้ครับ

พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แห่งนี้ถ้าสร้างเสร็จน่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย หรือ ของโลกไปเลยนะครับ และ จะดึงดูดนักเที่ยวให้มาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายเป็นแน่..
มุมมองจากอาคารนี้จะสังเกตุเห็นส่วนที่ยื่นออกไปจากตัวอาคารและมีหลังคาคล้ายกูบช้างที่เห็นอยู่ในภาพนะครับ จะเป็นส่วนที่ยื่นออกไปสี่ด้าน และ เมื่อมองใกล้จะเป็นลักษณะนี้ครับ
นี่คือระเบียงที่ยื่นออกไปทั้งสี่ทิศ สำหรับนั่งสมาธิ
ต่อไปจะนำชมฝาผนัง และ เสาต่างๆ ที่มีการนำเอาเครื่องเบญจรงค์ที่มีค่ามีราคา ลูกปัด แก้วแหวนเงินทอง เครื่องประดับต่างๆ ที่มีผู้บริจาคมาใช้เป็นวัสดุตกแต่งร่วมกับหินสีและกระเบื้องสีต่างๆ ได้อย่างลงตัว งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ

เครื่องเบญจรงค์ประดับที่เสาอาคารชั้น 2

นี่อีกหนึ่ง สวยงามมาก และมีอีกมากมาย ทุกๆ เสา ไม่มีซ้ำกัน

ส่วนที่ตกแต่งที่ผนังอาคาร มีเครื่องเบญจรงค์ทั้งเล็กใหญ่ คัดสรรมาอย่างลงตัว พร้อมด้วยหินสีสวยงาม

ส่วนการตกแต่งที่ผนังอาคารยังประดับด้วยหินที่นำมาจากหัวแหวน เครื่องประดับต่างๆ ทั้ง จี้ ตุ้มหู เข็มกลัด และ อื่นๆ มาจัดเรียงสลับลายสวยงามมากทั้งอาคาร แต่สังเกตว่ามีเม็ดสวยๆ บางเม็ดหายไป อาจไปเป็นหัวแหวนอันมงคลยิ่งของใครไปแล้วก็ได้ ทั้งๆ ที่มีคำเตือนห้ามจับต้องนะครับ... ????

ที่เห็นนี่คือลวดลายบนทางเดินของระเบียงอาคารนี้ครับ
เอาละครับขึ้นไปกราบพระธาตุที่ชั้น 5 กันดีกว่า ชั้นที่ 3-4 มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้และพื้นที่นั่งสมาธิขอผ่านไปนะครับ

สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุครับ

ส่วนที่บรรจุองค์พระธาตุอยู่ครับ
ปกติที่นี่จะไม่ให้คนสัญจร หรือ นักเที่ยว ขึ้นไปนะครับ บังเอิญวันนั้นมีคณะบุญจากสิงห์บุรี ศิษย์หลวงพ่อจรัญมากันพอดี เราก็เลยเนียนเข้ากลุ่มเขาไปครับ....
ถือว่าเป็นบุญก็ได้ครับ เบิกทางให้ได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุใกล้ชิด รวมทั้งนั่งสมาธิพร้อมกับกรุ๊ปบุญกลุ่มนี้ และ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ทั่วหล้าไปด้วย ...... ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีครับ

ก่อนจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วขอเสนอมุมมองบริเวณวัดที่เป็นหมู่อาคารต่างๆ ของวัดที่เห็นรูปทรงหลังคาซ้อนทับสีน้ำตาลครับ อาคารเหล่านี้แยกเป็นส่วนๆ ชัดเจนระหว่างฆราวาสและพระสงฆ์ รวมทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมต่างๆ ด้วย เหมาะสำหรับผู้ต้องการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพราะเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม สามารถดึงพลังธรรมชาติและจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ดีทีเดียว
ลงจากวัดแล้วครับ จะกลับมาใหม่เมื่อพระุพุทธเจ้า 5 พระองค์สร้างเสร็จสมบูรณ์
ลาจากด้วยภาพมุมกว้างจากวัดผาซ่อนแก้วมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนของเขาค้ออันเป็นที่หลงใหลของชาวไทยนักเที่ยวครับผม ........
[CR] แวะริมทางหลวง 12 (ภาค 2) : วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เขาค้อ
พิกัด GPS : 16° 47' 22.90"N 101° 02' 57.59"E
รีวิวตอนที่ 1 ลิงค์ข้างล่างครับ
http://pantip.com/topic/30325628 รีวิวภาค 1 : จุดแวะพักรถ ROUTE 12
ออกจากจุดพักรถ Route 12 ไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณไม่เกิน 10 นาที ก็ลงเขายาวๆ ประมาณ 1 กม. มาถึงย่านท่องเที่ยวเขาค้อจะเห็นภูแก้วรีสอร์ทเด่นชัดอยู่ซ้ายมือ ถนนจะเปลี่ยนเป็นสี่เลน
ผู้ที่จะเข้าแหล่งเที่ยวหลักของเขาค้อ ก็แยกขวาที่สามแยกแคมป์สนเข้าไป มีแหล่งเที่ยวมากมาย เช่น พระตำหนักเขาค้อ จุดชมวิว 360 องศา อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก หอสมุดนานาชาติเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ พิพิธภัณฑ์อาวุธ ฐานอิทธิ เป็นต้น
แต่เราจะเลยไปแวะเฉพาะริมทางหลวงหมายเลข 12 เท่านั้นนะครับ เลยแยกแคมป์สนไปเล็กน้อยจะเป็นตลาดห้วยไผ่ จะเห็นภูฟ้าใสรีสอร์ทโดดเด่นอยู่ซ้ายมือ ก่อนถึงถึงภูฟ้าใสจะมีทางแยกเล็กๆ ลงซ้ายมือมีป้ายบอก วัดผาซ่อนแก้ว หรือ พระธาตุผาซ่อนแก้ว แวะเข้าไปเลยครับ แต่ถ้าเลยไปเข้าทางเข้าเส้นที่ 2 ได้ วัดแห่งนี้อยู่ที่บ้านทางแดง ซึ่งมีถ้ำใหญ่ใกล้หน้าผาบนเขาลูกใหญ่เลยหมู่บ้านไปเล็กน้อย
ชาวบ้านเล่ากันมาว่าผู้เฒ่าผู้แก่บอกต่อๆ กันมาว่าเคยเห็น ลูกแก้วดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า เมื่อตามไปดูหายไป เข้าใจว่าคงหายเข้าไปในถ้ำนั่นเอง จึงได้ชื่อ “ผาซ่อนแก้ว”
ปัจจุบันวัดนี้ได้พัฒนาสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม แหวกแนวและอลังการจนสร้างกระแสดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชม ทั้งๆ ที่ประกาศว่าเป็นเขตปฏิบัติธรรมต้องการความสงบก็ไม่วายอยู่ดี
เอาล่ะครับมาดูเส้นทางเข้าวัดกัน มี 2 เส้นทางนะครับ โดยปกติจะเข้าทางเข้าที่ 1 กัน ซึ่งผ่านชุมชน เป็นทางคอนกรีต อบต. แคบๆ พอรถสวนกันได้ จะได้เห็นชุมชนทางแดงครับ เป็นทางตรง ค่อนข้างเรียบ (สำหรับทางบนเขา) แต่ตรงจุดแยกเข้าจะชันมากหน่อยประมาณ 15 เมตร เป็นลักษณะความต่างระดับของถนนใหญ่กับถนนในหมู่บ้านบนดอยตามปกติทั่วไป ส่วนทางเข้าที่ 2 เป็นเส้นทางใหม่ตัดผ่านบนสันเขาเข้าไปครับ ดังภาพข้างล่างนี้
เข้าทางเส้นทางที่ 1 ประมาณ 2 กม. เศษ ก็ถึงหน้าวัดเลี้ยวเข้าไปหาที่จอดให้เรียบร้อย ที่จอดรถค่อนข้างจำกัด (ถ้าขับเลยไปก็มีทางเข้าอีกทางมีที่จอดรถมากกว่า) แต่ทางนี้เข้าตรงหน้าประตูวัด ให้บรรยากาศดีกว่า
เมื่อเข้าไปถึงก็ขอให้เดินด้วยความสงบ จะมองเห็นอาคารทรงเจดีย์สำหรับบรรจุพระธาตุตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างสง่างาม โดดเด่นมองเห็นแต่ไกล ขับรถบนทางหลวงหมายเลข 12 ก็มองเห็นได้เช่นกัน
อาคารทรงเจดีย์บรรจุพระธาตุ มี 5 ชั้น ชั้นที่ 1 ประดิษฐานพระพุทธรูปให้สักการะ ทำบุญตามศรัทธา ชั้นที่ 2 มีพระให้กราบไหว้อีกด้วย แต่ชั้นนี้จะมีระเบียงให้เดินชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ พร้อมทั้งระเบียงยื่นออกไปสี่ทิศทรงกูบช้าง เป็นสถานที่สำหรับนั่งสมาธิ ชั้นที่ 3-4 ก็มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้ ส่วนชั้นที่ 5 เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุ ปกติจะปิดไม่ให้ผู้คนสัญจรทั่วไปขึ้นไป เว้นแต่มีพระหรือบุคคลที่ทางวัดนำขึ้นไปครับ อาจเป็นเพราะพระธาตุวางไว้โล่งแจ้งหายได้ง่ายๆ
เอาล่ะกลับมาที่ทางขึ้น จะพบช้าง 8 งา เฝ้าอยู่ครับ
ช้าง 8 งา งวงเป็นพญานาคเฝ้าบันไดครับ ต้องถอดรองเท้าไว้ที่นี่ครับ แล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นไป ช่วงแดดร้อนๆ คงสนุกเอาเรื่อง แต่วันนี้โชคดีแดดหุบ (ฮาๆ ยังกะร่มหุบได้วุ๊ย...) เดินได้สบายๆ
เทวดาองค์นี้นี่ก็เฝ้าทางขึ้นเช่นกัน ทำมือเหมือนจะส่งสัญญาณว่าพูดเบาๆ กันหน่อยนะ... ครับ..ปฏิบัติตามครับ..
สังเกตที่ฐานจะเริ่มเห็นเครื่องเบญจรงค์ประดับโดยรอบด้วยหินสีสวยงาม ของจริงนะนั่น ไม่ใช่ของปลอมใดใด ที่ญาติโยมมาบริจาค
เอามาให้ดูใกล้ๆ อีกทีเอาให้ชัดๆ เป็นอย่างนี้ครับ
ผ่านช้าง ผ่านเทวดา วางรองเท้า ก็ไปต่อครับ เดินไปชมทิวทัศน์ทะเลภูไปเพลินๆ ก็ถึงตัวอาคาร เข้าไปกราบพระกันก่อนครับ เป็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ประทับซ้อนกันครับ
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เหลืองอร่ามให้สักการะที่ชั้น 2
อันว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นั้นเป็นคติพุทธอีกโสดหนึ่งที่มีตำนานมีประวัติเล่าต่อกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่พายุรุนแรงพัดกระหน่ำจนรังของพญากาเผือก 2 ตัวผัวเมียบนฝั่งแม่น้ำคงคากระจัดกระจายเป็นเหตุให้ไข่ที่มี 5 ใบ ไปตกในที่ต่างๆ และ ต่อมามีผู้เลี้ยงดู (สัตว์ต่างๆ 5 ชนิด คือ ไก่ นาค เต่า โค และราชสีห์) ... ยาวครับ อีกยาววววว... จนมาเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ และพระนามของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็มาจากผู้เลี้ยงดูฟูกฟักไข่ของพญากาเผือกทั้ง 5 นั่นละครับ ใครใคร่รู้ลองถามอากู๋ดูนะครับ ... มีคำตอบแน่นอน
เดินออกไปที่ระเบียง และ มองไปทางด้านเหนือจะเห็นเครื่องจักรกลขนาดใหญ่กำลังสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ขนาดใหญ่ให้กราบไหว้กันในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แห่งนี้ถ้าสร้างเสร็จน่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย หรือ ของโลกไปเลยนะครับ และ จะดึงดูดนักเที่ยวให้มาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายเป็นแน่..
มุมมองจากอาคารนี้จะสังเกตุเห็นส่วนที่ยื่นออกไปจากตัวอาคารและมีหลังคาคล้ายกูบช้างที่เห็นอยู่ในภาพนะครับ จะเป็นส่วนที่ยื่นออกไปสี่ด้าน และ เมื่อมองใกล้จะเป็นลักษณะนี้ครับ
นี่คือระเบียงที่ยื่นออกไปทั้งสี่ทิศ สำหรับนั่งสมาธิ
ต่อไปจะนำชมฝาผนัง และ เสาต่างๆ ที่มีการนำเอาเครื่องเบญจรงค์ที่มีค่ามีราคา ลูกปัด แก้วแหวนเงินทอง เครื่องประดับต่างๆ ที่มีผู้บริจาคมาใช้เป็นวัสดุตกแต่งร่วมกับหินสีและกระเบื้องสีต่างๆ ได้อย่างลงตัว งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ
เครื่องเบญจรงค์ประดับที่เสาอาคารชั้น 2
นี่อีกหนึ่ง สวยงามมาก และมีอีกมากมาย ทุกๆ เสา ไม่มีซ้ำกัน
ส่วนที่ตกแต่งที่ผนังอาคาร มีเครื่องเบญจรงค์ทั้งเล็กใหญ่ คัดสรรมาอย่างลงตัว พร้อมด้วยหินสีสวยงาม
ส่วนการตกแต่งที่ผนังอาคารยังประดับด้วยหินที่นำมาจากหัวแหวน เครื่องประดับต่างๆ ทั้ง จี้ ตุ้มหู เข็มกลัด และ อื่นๆ มาจัดเรียงสลับลายสวยงามมากทั้งอาคาร แต่สังเกตว่ามีเม็ดสวยๆ บางเม็ดหายไป อาจไปเป็นหัวแหวนอันมงคลยิ่งของใครไปแล้วก็ได้ ทั้งๆ ที่มีคำเตือนห้ามจับต้องนะครับ... ????
ที่เห็นนี่คือลวดลายบนทางเดินของระเบียงอาคารนี้ครับ
เอาละครับขึ้นไปกราบพระธาตุที่ชั้น 5 กันดีกว่า ชั้นที่ 3-4 มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้และพื้นที่นั่งสมาธิขอผ่านไปนะครับ
สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุครับ
ส่วนที่บรรจุองค์พระธาตุอยู่ครับ
ปกติที่นี่จะไม่ให้คนสัญจร หรือ นักเที่ยว ขึ้นไปนะครับ บังเอิญวันนั้นมีคณะบุญจากสิงห์บุรี ศิษย์หลวงพ่อจรัญมากันพอดี เราก็เลยเนียนเข้ากลุ่มเขาไปครับ....
ถือว่าเป็นบุญก็ได้ครับ เบิกทางให้ได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุใกล้ชิด รวมทั้งนั่งสมาธิพร้อมกับกรุ๊ปบุญกลุ่มนี้ และ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ทั่วหล้าไปด้วย ...... ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีครับ
ก่อนจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วขอเสนอมุมมองบริเวณวัดที่เป็นหมู่อาคารต่างๆ ของวัดที่เห็นรูปทรงหลังคาซ้อนทับสีน้ำตาลครับ อาคารเหล่านี้แยกเป็นส่วนๆ ชัดเจนระหว่างฆราวาสและพระสงฆ์ รวมทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมต่างๆ ด้วย เหมาะสำหรับผู้ต้องการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพราะเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม สามารถดึงพลังธรรมชาติและจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ดีทีเดียว
ลงจากวัดแล้วครับ จะกลับมาใหม่เมื่อพระุพุทธเจ้า 5 พระองค์สร้างเสร็จสมบูรณ์
ลาจากด้วยภาพมุมกว้างจากวัดผาซ่อนแก้วมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนของเขาค้ออันเป็นที่หลงใหลของชาวไทยนักเที่ยวครับผม ........