จิตวิมุติของพระพุทธเจ้า vs จิตของปุถุชน

จิตวิมุติของพระพุทธเจ้า vs จิตของปุถุชน

จิตปุถุชน
    ยังถูกครอบงำด้วยกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) แม้บางครั้งจะมีสมาธิ มีปัญญา แต่ก็ยังไม่สิ้นเชิง
    จิตปุถุชนมีลักษณะ เกิด–ดับตามอารมณ์ ถูกดึงไปตามตัณหาและอุปาทาน
    แม้จะทำความดี ก็ยังมีเงื่อนไข เช่น หวังผล หวังสุข หวังยศชื่อเสียง ฯลฯ
    เพราะยังมี อวิชชา เป็นราก จึงยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่

จิตวิมุติของพระพุทธเจ้า
    หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง จากกิเลส ตัณหา อาสวะ (อวิชชา กามาสวะ ภวาสวะ)
    พระพุทธเจ้าทรงบรรลุ “อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ” ในขณะที่ยังมีพระขันธ์ดำรงอยู่ เรียกว่า พระอรหันตคุณอันบริบูรณ์
    จิตพระองค์ มั่นคง ไม่หวั่นไหว เหมือนหินผา ไม่ถูกกระทบด้วยสุขทุกข์โลกียะ
    มีคุณพิเศษเหนืออรหันต์อื่น ๆ ตรงที่เป็น สัพพัญญู คือ รู้แจ้งธรรมทั้งปวง และทรงแสดงสัจธรรมเพื่อโปรดสัตว์โลก
    จิตที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนะ คือ รู้และเห็นความเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง


๒. “น้อมจิตไปในอมตธาตุ” คืออะไร?
    อมตธาตุ = ธาตุไม่ตาย ธาตุอันอมต หมายถึง นิพพาน
    พระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า นิพพานคือ
    ความดับสังขารทั้งปวง
    ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
    ความสิ้นตัณหา ความดับกิเลส
    ความสงบประณีตสูงสุด
    น้อมจิตไปในอมตธาตุ หมายถึง
    การทำจิตให้หันออกจากกาม–ภพ–อาสวะทั้งหลาย
    เพ่งพิจารณาในความดับ ความไม่เกิดใหม่ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ทำจิตให้ตั้งมั่นในความจริงว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีความดับเป็นธรรมดา”
    เมื่อจิตไม่เกาะเกี่ยวในสังขารใด ๆ แล้ว ก็จะเข้าถึง ความสงบที่ไม่มีเงื่อนไข (นิพพาน)

สรุป
    จิตปุถุชน = ยังถูกกิเลสครอบงำ เวียนเกิดเวียนดับ
    จิตพระพุทธเจ้า = หลุดพ้นสิ้นเชิง ไม่เวียนเกิดอีก พร้อมด้วยญาณทัสสนะอันบริบูรณ์
    น้อมจิตไปในอมตธาตุ = ตั้งจิตพิจารณาไปสู่นิพพาน คือความดับกิเลสและความสงบสูงสุด

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่