......................สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปในชนบทห่างไกลและทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ทรงทราบปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความขาดแคลนอาหาร การขาดบริการสาธารณสุข การศึกษา และปัจจัยต่าง ๆ จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็ก เยาวชน และประชาชนที่ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารเหล่านี้
นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) หนึ่งในผู้ที่ทำงานสนองพระราชดำริ และได้มีโอกาสติดตามเสด็จไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เปิดเผยความรู้สึกว่า “การได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และการได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรชาวไทย ทำให้ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นพระราชหฤทัยของพระองค์ ทำให้คณะผู้ทำงานรู้ว่าต้องมุ่งมั่นทำงานให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นเพียงใด”
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ตามเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เห็นพระองค์ทรงงานตั้งแต่เช้าจนกระทั่งฟ้ามืด ในแต่ละวันจะเสด็จฯทรงเยี่ยมเยียนราษฎร และทรงงานหลาย ๆ อย่าง ทำให้เรายิ่งต้องทำงานและมุ่งมั่นต่อไปอย่างเต็มกำลังที่สุด” นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กล่าว เลขาธิการ กปร. ได้เล่าให้ฟังด้วยว่า พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องและหนักมาก แต่ที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ในแต่ละวันจะปรากฏภาพเพียง 2-3 นาที นั่นความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงงานตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีอยู่หลายครั้งที่พระองค์ทรงงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 2 ทุ่ม เสด็จฯไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากกว่า 5 จุด แต่ละจุดจะใช้เวลาทรงงาน 2-3 ชั่วโมง พระองค์ทรงงานวันละสิบกว่าชั่วโมง เคยมีรับสั่งว่า “วันนี้จดงานมาได้ 50 หน้า...” ขณะที่ทรงงานก็จะทรงบันทึกเรื่องราวรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ที่ทรงพบเห็นและมีเจ้าหน้าที่ถวายรายงานความก้าวหน้า ซึ่งถือว่าการจดบันทึก 50 หน้า ขณะเยี่ยมราษฎรและปฏิบัติพระราชกรณียกิจนั้นนับเป็นปริมาณงานที่มากเหลือเกิน พระองค์จะทรงดูทุกโครงการอย่างละเอียดลึกซึ้ง การทรงงานของพระองค์จึงเป็นทั้งแนวทางในการทำงานของบรรดาเจ้าหน้าที่ เป็นแบบอย่างแรงบันดาลใจให้ทุกคน แต่ละโครงการของพระองค์จึงได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องประสบผลสำเร็จ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ปวงประชาราษฎรไทยกว้างขวาง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มงานพัฒนาในปีพุทธศักราช 2523 โดยทรงทดลองทำโครงการเกษตร เพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 3 โรง เพื่อพัฒนาภาวะโภชนาการ และสุขภาพของเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หลังจากนั้นได้ทรงขยายงานพัฒนาในด้านอื่น ๆ อีก เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น พร้อมทั้งขยายพื้นที่การดำเนินงานมากขึ้นด้วย ประชาชนชาวไทยได้ตระหนักดีว่า พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกภูมิภาค เพื่อทรงติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการอย่างมิทรงย่อท้อ การทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นพระราชหฤทัย ในการสานต่อพระราชดำริการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ดังที่ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เมื่อพุทธศักราช 2528 ความตอนหนึ่งว่า
“...เหตุที่ชอบการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนนั้น เห็นจะเป็นเพราะความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็เห็นทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงคิดหาวิธีต่าง ๆ ที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น ได้ตามเสด็จเห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติก็คิดว่าช่วยอะไรได้ควรช่วย ไม่ควรนิ่งดูดาย เมื่อโตขึ้นพอมีแรงทำอะไรได้ก็ทำไปอย่างอัตโนมัติ โดยทำตามแนวพระราชดำริ การช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องทำประจำอยู่แล้ว...”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยมีพระราชดำรัสว่า “ให้สร้างคน” ทรงเน้นด้วยว่า “การสร้างคนหนึ่งคนดีกว่าการสร้างเจดีย์ 7 ชั้น” จะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน ให้ความรู้ ให้การศึกษากับคน เพื่อให้เขามีความรู้ ความสามารถ แล้วเขาก็จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาชีวิตตนเองต่อไป” นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กล่าว
ด้วยพระเมตตาที่ไม่จำกัดเฉพาะประชาชนชาวไทยเท่านั้น ทว่าพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานความร่วมมือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา สหภาพพม่า และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มประเทศเอเชีย ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในประเทศเหล่านั้น ให้มีสุขภาพที่ดี มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาทิ โครงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับเจ้าแขวงจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าในการพัฒนาเด็ก โครงการความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิก (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรกัมพูชา) โครงการความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นต้น อันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านได้บังเกิดความเกื้อหนุนและเกื้อกูลกันสืบไปด้วย.
ที่มา
http://www.dailynews.co.th/agriculture/195254
สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร ผู้ทรงมุ่งมั่นสานต่องานพัฒนา
นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) หนึ่งในผู้ที่ทำงานสนองพระราชดำริ และได้มีโอกาสติดตามเสด็จไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เปิดเผยความรู้สึกว่า “การได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และการได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรชาวไทย ทำให้ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นพระราชหฤทัยของพระองค์ ทำให้คณะผู้ทำงานรู้ว่าต้องมุ่งมั่นทำงานให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นเพียงใด”
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ตามเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เห็นพระองค์ทรงงานตั้งแต่เช้าจนกระทั่งฟ้ามืด ในแต่ละวันจะเสด็จฯทรงเยี่ยมเยียนราษฎร และทรงงานหลาย ๆ อย่าง ทำให้เรายิ่งต้องทำงานและมุ่งมั่นต่อไปอย่างเต็มกำลังที่สุด” นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กล่าว เลขาธิการ กปร. ได้เล่าให้ฟังด้วยว่า พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องและหนักมาก แต่ที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ในแต่ละวันจะปรากฏภาพเพียง 2-3 นาที นั่นความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงงานตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีอยู่หลายครั้งที่พระองค์ทรงงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 2 ทุ่ม เสด็จฯไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากกว่า 5 จุด แต่ละจุดจะใช้เวลาทรงงาน 2-3 ชั่วโมง พระองค์ทรงงานวันละสิบกว่าชั่วโมง เคยมีรับสั่งว่า “วันนี้จดงานมาได้ 50 หน้า...” ขณะที่ทรงงานก็จะทรงบันทึกเรื่องราวรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ที่ทรงพบเห็นและมีเจ้าหน้าที่ถวายรายงานความก้าวหน้า ซึ่งถือว่าการจดบันทึก 50 หน้า ขณะเยี่ยมราษฎรและปฏิบัติพระราชกรณียกิจนั้นนับเป็นปริมาณงานที่มากเหลือเกิน พระองค์จะทรงดูทุกโครงการอย่างละเอียดลึกซึ้ง การทรงงานของพระองค์จึงเป็นทั้งแนวทางในการทำงานของบรรดาเจ้าหน้าที่ เป็นแบบอย่างแรงบันดาลใจให้ทุกคน แต่ละโครงการของพระองค์จึงได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องประสบผลสำเร็จ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ปวงประชาราษฎรไทยกว้างขวาง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มงานพัฒนาในปีพุทธศักราช 2523 โดยทรงทดลองทำโครงการเกษตร เพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 3 โรง เพื่อพัฒนาภาวะโภชนาการ และสุขภาพของเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หลังจากนั้นได้ทรงขยายงานพัฒนาในด้านอื่น ๆ อีก เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น พร้อมทั้งขยายพื้นที่การดำเนินงานมากขึ้นด้วย ประชาชนชาวไทยได้ตระหนักดีว่า พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกภูมิภาค เพื่อทรงติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการอย่างมิทรงย่อท้อ การทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นพระราชหฤทัย ในการสานต่อพระราชดำริการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ดังที่ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เมื่อพุทธศักราช 2528 ความตอนหนึ่งว่า
“...เหตุที่ชอบการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนนั้น เห็นจะเป็นเพราะความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็เห็นทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงคิดหาวิธีต่าง ๆ ที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น ได้ตามเสด็จเห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติก็คิดว่าช่วยอะไรได้ควรช่วย ไม่ควรนิ่งดูดาย เมื่อโตขึ้นพอมีแรงทำอะไรได้ก็ทำไปอย่างอัตโนมัติ โดยทำตามแนวพระราชดำริ การช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องทำประจำอยู่แล้ว...”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยมีพระราชดำรัสว่า “ให้สร้างคน” ทรงเน้นด้วยว่า “การสร้างคนหนึ่งคนดีกว่าการสร้างเจดีย์ 7 ชั้น” จะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน ให้ความรู้ ให้การศึกษากับคน เพื่อให้เขามีความรู้ ความสามารถ แล้วเขาก็จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาชีวิตตนเองต่อไป” นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กล่าว
ด้วยพระเมตตาที่ไม่จำกัดเฉพาะประชาชนชาวไทยเท่านั้น ทว่าพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานความร่วมมือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา สหภาพพม่า และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มประเทศเอเชีย ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในประเทศเหล่านั้น ให้มีสุขภาพที่ดี มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาทิ โครงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับเจ้าแขวงจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าในการพัฒนาเด็ก โครงการความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิก (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรกัมพูชา) โครงการความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นต้น อันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านได้บังเกิดความเกื้อหนุนและเกื้อกูลกันสืบไปด้วย.
ที่มา http://www.dailynews.co.th/agriculture/195254