แม่ผมเพิ่งเสียเมื่อคืน ผมเริ่มรับอะไรไม่ไหวอีกแล้ว

กระทู้คำถาม
ผมเป็นลูกคนเดียว อายุ 22 เพิ่งจบ ป.ตรี ปีนี้ และเพิ่งเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว ผมอยู่กับแม่สองคน พ่อผมตายในคุกเมื่อยังเด็ก ตอนนี้ผมไม่เหลือญาติที่ใหนอีกแล้ว หมอบอกแม่ผมเป็นโรคหัวใจ เป็นมานานแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้เลย

ผมไม่รุ้อะไรเกี่ยวกับงานศพสักอย่าง หมอบอกจะติดต่อเรื่องให้ครับ ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก เมื่อคืนผมนั่งร้องให้ในโรงพยาบาลทั้งคืน รู้สึกว่าชีวิตมันแย่จริง ๆ ไม่ยุติธรรมสักอย่าง เมื่อกี้ผมเพิ่งตื่นมาก็ยังไม่อยากเชื่อ ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมจริง ๆ เหรอ ?  ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบในเวลานี้ ? ....และอยู่ ๆ ภาพวันคืนเก่า ๆ ความทรงจำเก่า ๆ มันก็ผุดขึ้นในใจเหมือนกรอวีดีโอย้อนกลับ ทั้งรอยยิ้มสีหน้าของแม่ วันที่แม่ทำกับข้าวหลังจากผมกลับบ้าน และน้ำตาผมมันก็ไหลไม่หยุด บอกตรง ๆ น้ำตาเทียบไม่ได้เลย กับความรู้สึกเสียใจที่ผมต้องเผชิญ

ตอนนี้ ผมเริ่มรับอะไรไม่ไหวแล้ว ชีวิตผมมันแย่ แย่มากจริง ๆ และผมก็เหนื่อย เหนื่อยกับหลายสิ่ง มันเหมือนฝันร้ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วยังเป็นจริง ผมไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง หาหนทางอะไรไม่ได้เจอ อับจนไปหมด ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรอีกต่อไป รู้สึกเหมือนทุกอย่างพังหมดแล้ว อมยิ้ม14
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
อยู่กับคุณแม่แค่สองคน แต่กลับไม่รู้เลยว่า แม่ป่วย

ผมไม่ได้ตำหนิครับ แต่พูดเผื่อไว้หากคนอื่นเข้ามาอ่านถึงข้อความของผม เรื่อง การมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนในครอบครัว และจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จะนำไปสู่เรื่องราวใหญ่โต ถึงขึ้นสูญเสีย คนที่เรารัก

เมื่อ พ่อ แม่ หรือคนที่เรารัก เสียไปแล้ว หลายๆ คนครับ มานั่งคิดว่า "ทำไม" หรือ "ถ้าตอนนั้น เรา ... ตอนนี้ก็ ... " กันทุกคนครับ แต่ไม่มีประโยชน์ครับ เพื่อนๆ หลายคน อาจคิดว่า ผมพูดแรง แต่เป็นความจริงครับ

คุณเจ้าของกระทู้ บอกว่า คุณเจอมาเยอะ รับไม่ไหว มันหนักเกินไป ลองอ่านเรื่องของผมดูก่อนมั้ยครับ แล้วคุณค่อยคิดอีกทีว่า ที่คุณบอกว่าคุณรับไม่ไหว ชีวิตมันแย่ ฯลฯ

ผมอายุ 40 อาศัยอยู่กับ พ่อ แม่ และน้องชาย (ผมมีพี่ 1 ซึ่งแยกไปอยู่กับแฟน และน้อง 1) ผมทำงานเป็นพนักงานธุรการ ระดับกลางๆ เงินเดือนไม่มาก และต้องแบ่งให้ พ่อ แม่ และน้อง ทุกเดือน ชีวิตเรียกว่าไม่เดือดร้อน แต่ก็ไม่สบาย พ่อเกษียณมีรายได้เล็กน้อย จากการช่วยเพื่อนๆ เขาทำงานเอกสาร พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟ และส่วนตัว ส่วนแม่ก็เกษียณ กินเงินเก่าเก็บ และเงินที่ผมให้ทุกเดือน น้องทำงานเป็นฟรีแล้น ไม่ใช่งานประจำ

ดูเหมือนทุกอย่าง ลงตัว และมีความสุขดีครับ แต่ต้นปี 55 มรสุมก็เริ่มกระหน่ำชีวิตผม ครับ ในเดือนมกราคม แม่ผมมีอาการหน้ามืด ปวดหัว และเดินเซ เลยต้องไป รพ และพบว่า แม่มีอาการเลือดออกในสมอง อาการตอนนั้นคือ แขน ขา อ่อนแรง แต่ยังขยับได้ และทรงตัวไม่ค่อยได้ เนื่องจากบริเวณสมองที่เลือดออก ควบคุมการทรงตัว แม่นอน รพ 5 วัน หมอก็ให้กลับบ้าน (นอน รพ เอกชน จ่ายวันละ 1 หมื่นบาท) และต้องทำกายภาพต่อที่บ้าน กลับมาบ้านได้ 5 วัน กลางดึก แม่ก็มีอาการนิ่ง ไม่ตอบสอนงใดๆ ทั้งสิ้น พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ทำได้แค่ กระดิกตาเท่านั้น ต้องเรียก รถพยาบาลมารับตัวไป หมอทำการสแกนสมอง พบว่า แม่มีอาการ สมองขาดเลือด เพิ่มอีก มีผลให้ แม่ไม่สามารถพูดได้ ต้องหัดพูดใหม่ และแขน ขา อ่อนแรงมากขึ้น ต้องกายภาพใหม่ นอน รพ ได้เกือบ 2 อาทิตย์ หมอเห็นว่าปลอดภัยก็กลับบ้าน แต่ด้วยสภาพแม่ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมจำเป็นต้องจ้างคนดูแล ประกบแม่ตลอด ค่าจ้างคนดูแล เดือนละ 13,000 ไม่รวมอุปกรณ์จิปาถะสำหรับคนป่วย เช่น สำลี น้ำเกลือ แอลกอฮอล์ แพมเพอร์ส อีกเดือนละ 3 พัน รวมเป็น 16,000 บาท ผมต้องขอความช่วยเหลือเรื่องการเงินกับพี่และน้อง แต่คำตอบที่ผมได้รับคือ พี่บอกว่า มีภาระเยอะ ไม่มีเงินช่วย และเงินเดือนน้อย (เขาเป็นระดับผู้จัดการ) น้องไม่มีงานประจำ ไม่มีเงินแน่นอน เลยช่วย แรง แทน ส่วนเรื่องอาหารการกินของแม่ พ่อก็ช่วยดูแล เป็นอย่างดี แต่ผมก็ยังให้เงินเดือนพ่อ และน้องอยู่ (เพราะแม่บอกว่า ต้องให้)

1 ปีผ่านไป อย่างลำบาก ทั้งผมเองและพ่อ ที่เครียดเนื่องค่าใช้จ่ายอาหารการกินของแม่เริ่มสูงขึ้นมาก ต้นเดือน กพ ปี 56 กลางดึก ผมสังเกตอาการพ่อดูแปลกๆ เดินไม่ตรง และหนังตาปิด เลยให้ไปหาหมอ พอไปหาหมอ ปรากฏหมอให้พ่อ นอน รพ ทันที เพราะพ่อมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ แต่อาการพ่อตอนนั้น ยังพูดได้ แขนขา มีแรงพอสมควร แต่ยังทรงตัวไม่ได้เท่าไหร่ นอน รพ 3 วันหมอก็บอกว่า กลับบ้านได้ และให้ไปกายภาพ ต่อที่บ้าน ผมก็เตรียมการทีบ้านเพื่อรับพ่อกลับ ถึงเช้าวันที่พ่อจะกลับ พ่อมีอาการไข้สูง และซึม นางพยาบาลมาตรวจ ปรากฏว่าพ่อมีไข้สูง 39-40 องศา และพบว่ามีการติดเชื้อ หมอเลยไม่ให้กลับบ้าน ต้องนอน รพ ต่อ อีกวันต่อมา พ่อมีอาการทรุดลง เร็วมาก และกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่รับรู้อะไร หมอตรวจพบว่า มีอาการสมองบวม และเลือดคั่งในสมอง และหมอสมอง มีความเห็นว่าต้องผ่าตัด ไม่เช่นนั้น พ่อไม่รอด ส่วนหมอผ่าตัดและหมอเจ้าของไข้ มีความเห็นว่า ไม่ควรผ่าตัด เพราะ อายุพ่อมาก และผ่าแล้วอาการอาจไม่ดีขึ้น ควรรอดูสักอาทิตย์ เผื่อสมองที่บวมจะยุบเอง ผมก็มาปรึกษากับพี่สาวและน้องชาย พวกเราลงความเห็นว่าไม่ผ่าตัด ขณะที่พ่อเป็นเจ้าชายนิทรา หมอเจ้าของไข้ หมอผ่าตัด หมอเวร ต่างลงความเห็นว่า พ่อคงไม่รอด ให้ญาติทำใจ และตัดสินใจว่าจะปั๊มหัวใจมั้ย ถ้าพ่อหยุดหายใจ เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตครับ แต่พวกลูกๆ ก็ลงความเห็นว่า ไม่ปั๊ม จะปล่อยให้พ่อไปสบาย

อาการเจ้าชายนิทราของพ่อ ผ่านไป 20 วัน จู่ๆ พ่อก็ฟื้นครับ สมองที่บวมเริ่มยุบ หมอสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจออกได้ พ่อสามารถหายใจเองได้ และต่อมาก็ถอดสายยางให้อาหารออก เพราะพ่อสามารถกลืนอาหารอ่อนๆ เองได้ อาการพ่อดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างมหัศจรรย์ ต่อมา อีก 10 หมอก็ให้พ่อกลับบ้านได้ ผมก็ต้องมาเครียดต่อเรื่องการดูแลและค่าใช้จ่ายครับ เพราะผมต้องรับภาระเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซักรีด มาจ่าย เพราะพ่อไม่สามารถแล้ว ก้อนนี้ เป็นเงิน รวม 6,500 บาทต่อเดือน บวกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ดูแลพ่อ จำพวกผ้าอ้อม อาหารเสริม อาหารเหลว อีก 3,500 บาท

และยอดรวมค่าใช้จ่าย สำหรับ พ่อแม่และในบ้าน 26,000 บาทแล้วครับ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผมที่จะต้องใช้มาทำงาน ผมขอความช่วยเหลือจากพี่น้องอีกครั้ง ครับ แต่ผลเหมือนเดิม คือไม่มีใครช่วย ผมเลยต้องขอร้อง คนที่ดูแลแม่ว่า ช่วยให้ดูแลพ่อด้วย เพราะผมไม่มีปัญญาจ้างคนเพิ่ม และไม่ปัญญาจ่ายเพิ่มให้เขาด้วย ซึ่งเขาดีมาก เขายินดีช่วย เพราะสงสาร

แต่ผมก็ต้อง กลับบ้านเร็วทุกวันเพื่อไปช่วยเขาดูแลพ่อ วันเสาร์อาทิตย์ ไม่ไปไหนทั้งสิ้น มาดูแลพ่อ เพื่อแบ่งเบาภาระคนดูแล ส่วนน้อง ก็รับภาระเรื่องซื้ออาหารให้แม่ ส่วนตัวผม เหลือเงินกินข้าว วันละ 100 บาท 3 มื้อ ขึ้นรถไฟฟ้า และเดินกลับบ้านอีก 2 กิโลทุกวัน เพื่อประหยัด ไม่ได้ซื้อของใช้ที่ไม่จำเป็นทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่เวลาไปเดินห้างฯ

แย่พอมั้ยครับ แต่ ยังมีแย่กว่านี้อีกครับ

ผมเพิ่งรู้ว่าพี่ เพิ่งซื้อบ้านใหม่ และรถใหม่ ครับ และมาเยี่ยม 2-3 เดือนครั้ง และซื้อ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่มาให้ บ้าง แต่ไม่ทุกครั้ง (แม่ใช้เปลืองมาก อาทิตย์ละ 2 แพ็คใหญ่)

ผมเพิ่งรู้ว่า เพื่อนแม่ โอนเงินมาช่วยเป็นค่าใช้จ่ายของแม่ ทุกเดือน เดือนละ 3-5 พันบาท บางครั้งมาเยี่ยมเองก็ให้เงินไว้ หลักพันบ้าง หลักหมื่นบ้าง แต่เข้าบัญชีน้อง ซึ่งไม่มีใครบอก แม่รู้แต่ไม่บอก แต่คนดูแลมากระซิบบอก และน้องเริ่มติดแฟนมาก เอาเงินไปปรนเปรอแฟน เลี้ยงข้าว ไปกินร้านอาหาร ดูหนัง ซื้อมือถือให้ จ่ายค่ามือถือให้ทุกเดือน และเริ่มเอาเครื่องประดับแม่ไปขาย ไปจำนำ

หลังจากพ่อกลับบ้านได้ 2 สัปดาห์ เย็นวันหนึ่งผมกลับบ้าน คนดูแลบอกว่า พ่ออาการไม่ดี พอไปดู พ่อมีอาการนิ่ง ไม่ตอบสนอง ตาค้าง และตัวเกร็ง ผมจึงเรียกรถพยาบาลมารับไปส่ง รพ หมอสั่งให้นอน รพ ผลการตรวจพบว่า พ่อติดเชื้อ มีไข้ และมีเลือดที่ก้านสมองเพิ่ม และมีสมองตีบเพิ่ม ขณะนี้ยังนอน ไม่ได้สติ อยู่ที่ รพ

ก่อนไปทำงาน ผมแวะไปหาพ่อทุกเช้า ตอนเย็นหลังเลิกงานก็ไปหา ไปนวด ไปเช็ดตัวคลายร้อน ไปชวนคุย (เผื่อเขาฟื้น) ทุกวัน และเสาร์อาทิตย์ ผมก็จะไปเฝ้าพ่อ ตั้งแต่เช้า ถึงห้องพักปิด เวลา 2 ทุ่ม

ก่อนแม่ป่วย ผมมีแผนจะผ่อน คอนโดฯ และไปเที่ยว ญี่ปุ่น - ต้อง งด

ปัจจุบัน ผมอายุ 40 และต้องใช้เงินในการดูแล พ่อแม่ เป็นเงิน ปีละ 312,000 บาท และไม่มีกำหนดว่าจะถึงเมื่อไหร่ ต้องมานั่งเจอปัญหาน้องที่หลงแฟน ปัญหาเรื่องเงิน ปัญหาที่ทำงาน

ถึงตรงนี้ คุณว่า คุณยังไหว อยู่มั้ยครับ ถ้าเทียบกับชีวิตผม แต่ผมก็ อดทน ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เพราะไม่ต้องการ มานั่งเสียใจ เมื่อมันสายไปแล้ว

ถ้าคุณ ไม่มีอะไรต้องมานั่งเสียใจ หลังจากที่แม่คุณเสียไปแล้ว ผมว่าคุณก็ควรเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยิ้มให้กับชีวิต ดีกว่า ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่