นอนหลับฝันดีที่ Đà Lạt

ผมไปดาลัตมาหลายหนละครับ

ครั้งแรกสุดผมพักโรงแรมสามดาว Mercure Dalat (ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Du Pac แล้วครับ) หรูหราสมฐานะ(ยากจน) แต่ติดว่าห้องแคบไปนิดครับ วิ่งเล่นลำบาก

ครั้งที่สองพักโรงแรมสามดาวเหมือนกันคือ Golf ห้องกว้างขวางเต้นลีลาศกันได้เลยเชียว เพียงแต่สภาพไม่เอี่ยมสักเท่าไร

ครั้งที่สามพักโรงแรมจิ้งโกร่งไร้ดาวตรงหน้า Sinh Cafe ก็พออยู่ได้ แย่ตรงไวไฟเน่ามาก.

ครั้งที่สี่นอนโรงแรมสองดาวคือ Fortune ถือว่าดีแทบทุกอย่างเลย อาหารก็อร่อย ไวไฟเร็วห้องก็กว้างสะอาดดี

หนนี้เลยดัดจริต อยากนอนโรงแรมสี่ดาวกับเขาบ้าง เลยนอน โรงแรมที่ไฝ่ฝันมานานละครับ เพราะเดินผ่านบ่อย ๆ คือ Bluemoon Hotel and Spa

เรา (ผมกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน) ก็เดินทางกันเช้าวันที่ 24 มีนาคม บินด้วยสารการบินที่ใคร ๆ ก็บินได้ ไปถึงเช้าก็มีเพื่อนเวียดนามมารับ เอาซิมให้เสร็จสรรพ ก็กะเที่ยวเล่นรอบเมืองกันก่อนจะนั่งรถค่ำไป ถึงดาลัตเช้า (ขอเพิ่มเติมนิดนะครับว่า ก่อนหน้าแรก ๆ ผมไปกับ Sinh Cafe แหละเพราะจองผ่านเวบอะไรได้ แต่ไม่นานผมก็พบว่า มีรถของอีกหลายเจ้า ที่สภาพดีกว่า ตั๋วก็ถูก แถมวิ่งทุกชั่วโมงอีก เจ้าที่ใช้ประจำจากนั้นคือ Futa สำนักงานที่ De Tram ตรงไซ่ง่อน ก็ไม่ไกลจาก Sinh ละครับ ติด ๆ กับ Highland Coffee เลย)

เช้า 25 เราก็ถึงดาลัตนะครับ เอากระเป๋าฝากโรงแรมไว้ ก่อนจะออกไปแว้นกันรอบเมือง หนนี้ว่างจัดเลยไป Langbieng กัน กลับมาก็เชคอิน ได้ห้องชั้น 1 สวยสมราคา มีแปลงดอกไม้หลังห้องสวยงาม ก็เลยนอนเล่นกันงีบหนึ่ง ตื่นมาก็เย็น ๆ ออกไปซื้อตั๋วกลับ (ขนส่งของ Futa Bus จะอยู่ตรงทางขึ้น Cable Car นะครับ) แล้วก็ออกช๊อป กินมื้อเย็น แวะซื้อดอกไม้มาจัดกันสนุกสนาน เพราะเรานอน 3 คืนที่นี่เลย ข้าวของก็แยกออกจากกระเป๋า จัดวางเหมือนอยู่บ้านเลยละครับ สักเที่ยงคืน ก็นอน ตอนนอนด้วยความแปลกที่ ก็เลยเปิดไฟนอน โดยใช้ผ้าปิดตาและเอียร์ปลัก และคงทราบกันนะครับ ว่าทุกโรงแรมทีดาลัตไม่มีแอร์ เราก็เลยต้องแง้มหน้าต่างนอนให้อากาศถ่ายเท และนอนหลับกันสนิท โดยมีโนตบุ๊คตั้งชารจบนโต๊ะหนังสือ ไอโฟนแต่ละคนก็ชารจไว้หัวเตียง มีไอแพด (ไว้เล่นเฮย์เดย์) ชารจไว้บนพรมระหว่างเตียง (นอนเตียงแยกกันครับ กลัวอดใจไม่ไหว คนไปด้วยสวยมาก) กล้องก็ชารจแบตไว้บนโต๊ะทีวี แล้วก็นอนหลับกันสบาย

ราวตีสี่ของวันที่ 26 เพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยได้ยินเสียงเอะอะ ก็เลยกะคว้าไอโฟนดูเวลาว่ามันมีอะไรกัน (ที่ผมต้องใส่เอียร์ปลักตอนนอนด้วย เพราะเราไม่ได้เปิดแอร์ เสียงข้่างนอกมันก็ดังไม่ย่อยครับ) คว้าเจออากาศละทีนี้ พบว่าสายชารจทุกอย่างยังอยู่ครบทุกเส้น แต่ไอโฟน ทั้งสองของเรา และไอแพดหายไปในอากาศ เมื่อได้สติ คุณเธอก็รีบถีบผมที่นอนหลับสนิท ปลุกมาดูเหตุ เมื่อตื่นมาได้สติก็พบว่า โน๊ตบุ๊คบนโต๊ะหนังสือเหลือแต่สายไฟ เมาส์ยังอยู่ ไอโฟน และไอแพดเหลือแต่สายชารจ กล้องหายไปทั้งกระเป๋า แบตเตอรี่ที่แยกชารจอยู่ยังอยู่ กระเป๋าเงิน กระเป๋าถือของเพื่อนผู้หญิง ไม่อยู่แล้ว

ก็โทรแจ้งพนักงานโรงแรมก่อนละครับ แล้วก็นั่งรอ เพราะเขาบอกว่าแจ้งตำรวจไปแล้ว และรอให้ GM โรงแรมมาก่อน ซึ่งเธอจะมาทำงานเอา 7.00 ตอนนั้นก็หลับไม่ลงละครับ นั่งคิดเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกคือ นั่งลำดับความ
- พาสปอร์ต โรงแรมเก็บไว้
- ตั๋วเครื่องบินกลับ เราปรินท์อีกรอบได้
- ตั๋วรถกลับไซ่ง่อน อันนี้คิดว่าคุยกับบริษัทรถได้
- บัตรประชาชนผม ร้านเช่ารถมอไซค์เก็บไว้
- บัตรจิปาถะผม คุณโจรเก็บไป
- บัตรจิปาถะเพื่อนผม คุณโจรไม่เอาไป
แล้วก็คิดได้ว่า ลอง Find My iPhone ได้นี่ เรามีซิมเวียดนาม ก็ปรี่ไปคอมโรงแรม ทำการหา เครื่องปิดหมดเรียบร้อย จบไปหนึ่งสิ่ง จากนั้น ก็คิดว่าจะทำไง เลยลิสท์รายการของที่โจรเอาไป เพราะคิดว่าอย่างไรก็ตาม ตำรวจคงจะถาม  ก็บอกรายการ และราคาไปเรียบร้อย มีแปลงเป็นดอลลาร์ให้เสร็จ

แล้วก็คิดตกลงกันว่าจะจัดการอย่างไร แยกเป็นกรณี
- จับโจรได้ ได้ของคืน / จบ
- จับโจรไม่ได้ โรงแรมชดใช้ราคาเต็ม / จบ
- จับโจรไม่ได้ โรงแรมชดใช้ส่วนหนึ่ง / ไม่เอา - จบ
- จับโจรไม่ได้ โรงแรมไม่ชดใช้เลย (ข้อนี้แย่สุด) / ก็จบ
พอทำใจกับ worst case คือข้อสุดท้ายได้ ก็ปลง ๆ แล้วก็อาบน้ำ แต่งตัวรอ เพราะคิดว่าโรงแรมคงไม่รอเฉย รอจนหมดแรง เลยออกไปกินอาหารเช้า (ฟรีตามแพคเกจโรงแรม) รอ รอ และ รอ นั่งเล่น FB เพราะไม่มีอะไรทำ หาเบอร์สถานฑูต ให้เพื่อนอายัดบัตรเครดิตให้ ก็เรียกว่าเตรียมตัวพร้อม ตำรวจมาเอา 10.00 ก่อนหน้านั้น GM ก็ไม่ได้คุยอะไรเพราะภาษาอังกฤษไม่ได้ (ทั้งงานมีล่ามเป็นน้องเด็กฝึกงานสาวเวียดนามคนเดียว)

คือความเห็นส่วนตัวนะครับ ตำรวจสอบสวนเหมือนเราเป็นโจรเสียเอง ให้เขียนว่าวันหนึ่ง ๆ ไปไหนอย่างไรบ้าง ให้แยกเขียนกันด้วย (เหมือนว่าเราสร้างเรื่อง) ถามยุกยิกจุกจิกน่ารำคาญมาก ไม่ไปดูห้อง ไม่ดูทีเกิดเหตุ อีกต่างหาก ก็กว่าจะสอบกันเสร็จก็เที่ยง เพลียเลยทีเดียวเพราะนอนก็ไม่เต็มอิ่ม แถมโดนตำรวจขู่ฟอด ๆ อีกต่างหาก โรงแรมบอกให้ไปสั่งข้าวเที่ยงได้ตามสบาย ก็ลงไปแบบเกรงใจ ๆ กินก็ไม่ค่อยลง กินเสร็จ ก็โทรหาสถานฑูต สถานฑูตให้ส่งเมลไปแจ้งเหตุ และจากนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรจากสถานฑูตอีกเลย เย็น ๆ รุ่นพี่ก็โอนเงินมาให้ทาง Western Union ก็ไปรับเงินแล้วก็รับเพื่อนที่มาจากไซ่ง่อนเพื่อมาช่วยเหลือ ก็เสร็จสิ้นไปอีกวัน คือหลังจากตำรวจจากไป โรงแรมก็ไม่ได้แจ้งอะไรเลยนะครับว่า จะทำอะไรอย่างไรให้ทั้งสิ้น ไปสอบถาม ก็ไม่ตอบ แถมหนีหน้าหายไปเลย

รุ่งเช้า 27  ก็เห็นเงียบไม่มีข่าวคราวแจ้ง ไม่มีความใส่ใจอะไรทั้งสิ้น ก็เลยเขียนจดหมาย ฝากให้ GM ถามว่า ตกลงว่าเรื่องไปถึงไหนอย่างไร มีมาตรการจัดการ และความรับผิดชอบอะไรหรือเปล่า โดยให้กำหนดเวลาไว้ว่า เที่ยงจะกลับมาฟังคำตอบ โดยขอคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วกันนะ คุยกันไม่รุ้เรื่อง แล้วเราก็ออกไปเที่ยวกันตามแผน เพราะเสียเวลาไปวันหนึ่งเต็ม ๆ แล้ว เที่ยง โรงแรมก็โทรมาบอกว่าพร้อมจะให้คำตอบ ก็เลยกลับกันไป และพบว่าต้องกลับมารอ เพราะทุกคนไปกินข้าว กันหมด ก็รอได้ครับ แล้วก็เป็นไปอย่างที่เดา โรงแรมก็โวยวายอะไรมากมาย พร้อมกล่าวปฏิเสธทุกสิ่ง ไม่รับผิดชอบทุกอย่าง (อันนี้ทำใจได้แล้วแต่วันแรก) และลากพาไปตำรวจท่องเที่ยวอะไรสักอย่าง บอกว่าถ้าแจ้งความแล้ว ก็จะได้มีคนชดใช้ ก็แห่ไปกัน ไปถึงปุ๊บ ตำรวจที่ว่า ไม่รับแจ้ง อ้าว ฮาละทีนี้ เสียเวลาไปอีก ครึ่งวัน ก็เลยบอกโรงแรมไปเรียบ ๆ ว่า ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็พอเต๊อะ เหนื่อยแล้ว และที่เด็ดสุด คือ GM ไม่ยอมให้ดูวงจรปิดอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนน้องที่เป็นล่ามให้ (เด็กฝึกงาน) ก็แอบกระซิบให้ยืนยันที่จะดูวงจรปิดจนได้ แต่ก็ไม่ได้ผล

เช้า 28 เรามีกำหนดเชคเอาท์ละครับ ก็ปลงๆ  ว่าช่างเถอะ โจรไม่ปาดคอก็พอ รถจองไว้เป็นรถเที่ยง พอลงมากินอาหารเช้า โรงแรมก็ขอคุยอีก (คุยกับโรงแรมไม่ได้สาระที่สุดครับ เพราะเค้าพยายามจะโบ้ยใส่เราตลอดว่า เราไม่ได้ปิดหน้าต่างเอง เราไม่ได้ปิดไฟนอน เราไม่ยอมเอาของมาฝากไว้ที่เคาเตอร์โรงแรมเอง) คุยไปก็ยอมให้ดูวงจรปิด (โรงแรมเองคงดูกันหลายรอบละครับ) ดูเสร็จ เข่าอ่อนเลยครับ เพราะโจรไม่ได้มาแค่ 1 แต่มากัน 2 เข้าห้องมาแบบช๊อบปิ้งเลย เข้าออกเป็นสิบนาที โชคดีที่ผมใช้ผ้าปิดตา และใช้เอียร์ปลัก เพื่อนอีกคนมีประจำเดือนเลยกินยานอนหลับ เพราะถ้าเราคนใดคนหนึ่งตื่นหรือเห้นเอะอะ อาจจะไม่มีชีวิตรอดมาเล่าแล้วก็เป็นได้  ดูวงจรปิดเสร็จก็ให้ไปแจ้งความอีกรอบ ก็ไป แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ตำรวจก็ไม่ได้สนใจยินดียินร้ายอะไร สถานฑูตก็พระอภัยมณีพวกเราเป็นที่เรียบร้อย ก็เลยตัดสินใจกลับ ก่อนกลับโรงแรมก็เสนอว่าจะจ่ายให้ 10 ล้านดอง (เงินสดที่หายไปยังเยอะกว่านี้เลย) ซึงพวกเราก็ตัดสินใจแต่แรกว่าไม่เอา ส่วนเพื่อนเวียดนามก็บอกว่ารับไปเถอะ ก็เลยรับมาแล้วก็ยกเงินส่วนนี้ให้เพื่อนคนเวียดนาม เป็นค่าที่มาเสียเวลาแล้วเราก็กลับมาไซ่ง่อน กินนอนกันอีกคืน ก่อนบินกลับไทย รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด

ถามว่าเข็ดหรือเปล่า สำหรับการเดินทางตะลอน ๆ ไปทั่ว ผมไม่เข็ดนะครับ ยังคิดจะกลับไปพักโรงแรมนี้อีกเสียด้วยซ้ำ เพราะว่า มองโลกแง่ดี พนักงานโรงแรมนี้ทุกคน จำเราได้ติดตาแน่นอนแล้ว ถามว่าโกรธเกลียดโรงแรมหรือเปล่า ผมก็ตอบว่าไม่นะครับ ที่มาก็เป็นการเล่าประสพการณ์ให้ฟัง เพราะที่ผ่านมานอนโรงแรมไม่หรู ข้าวของ (ก็ชุดเดียวกันกับที่โดนปล้น) ก็อยู่ครบ ส่วนโรงแรมนี้ ทางโรงแรมเองก็ต้องมีเหตุผลของเขาเหมือนกันที่ไม่จ่าย ไม่รับผิดชอบอะไร คิดแทนไปก็ปวดหัว

สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ในตอนนี้คือ
1 โชคดีที่เราสองคนนอนหลับสนิท เพราะเกิดตื่นมา โดนปาดคอ จะแย่กว่านี้
2 ผมพยายามหาเหตุเปลี่ยน เป็น Macbook Pro 15" Retina Display มานานแล้ว แต่เจ้าตัวที่เพิ่งโดนคุณโจรเอาไปเลี้ยงดูแทน ไม่ยอมเจ๊งซักที
3 เหตุผลเดียวกัน กล้องที่หายไป คือ Olympus E-3 อายุเกือบ 5 ปี ทำหล่นแล้วหล่นอีก ไม่พักซักที เลนส์ 50mm ที่อายุ 7ปี ก็ไม่ยอมเจ๊งซักที ว่าง ๆ ก็เริ่มโฟกัสผิดแล้ว เสียดายแค่เลนส์ Wide 7-14 แต่มันก็เยินพอสมควรแล้วเหมือนกัน และกล้องตัวนี้ผมไม่คิดว่าจะขายออกง่าย ๆ ขายได้ก็คงไม่ได้ราคา สงสารคุณโจรที่แบกไปมาก เพราะกล้อง เลนส์และอุปกรณ์ หนักเกือบ 5 กิโล
4 การมีหนี้สิน(เพราะต้องไปซื้อ ของใช้ทดแทนของที่โดนคุณโจรลักพาตัวไป) ควรจะผลักดันทำให้ผมได้ขยัน ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ลอยไปลอยมา อย่างที่เป็นอยู่
5 คุณโจรน่าขำ เพราะไม่เอาที่ชารจอะไรเลย ทั้งไอโฟน ไอแพด แมค แบตกล้อง วันที่สองหลังโดนปล้น พวกเราอุตสาห์เอาใส่ถุง แขวนล่อแล้ว กะว่าถ้าเอาไป ก็เอาไปเถอะ
6 ปัญหาทำให้เราได้น้ำใจจากเพื่อนที่ดี  ๆ ต่อกันเยอะ

สิ่งที่ผมผิดหวังที่สุดคือ
สถานฑูต ผมไม่เคยเกิดเหตุอะไรเลยตลอดเวลาที่เดินทาง เลยไม่เคยไปรบกวน แต่ก็คาดหวังลึก ๆ ว่า ถ้าเรามีปัญหาต่างแดน นี่คือความหวังแรกของเรา แต่ผมคิดผิดถนัด เพราะนอกจากการช่วยตัวเองแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเป็นทางเลือกอื่น คือผมก็ไม่ได้คาดหวังการพะเน้าพะนอ หรือ มีเฮลิคอปเตอร์มารับเราไปไซ่ง่อน หรือ มีเจ้าหน้าที่มากอดปลอบขวัญนะครับ แค่อยากได้ความเป็นห่วงหรือการ
ติดตามบ้าง ก็เท่านั้น ขนาดโทรไปเอง ยังโทรติดยากเลย ให้ตายเถอะ

ก็มาเล่าสู่กันฟังเท่านี้ละครับ แล้วว่าง ๆ  ไปเจอกันที่ดาลัตนะครับ ผมจะไปพักที่โรงแรมนี้แน่นอน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่