เรื่องเก่าเล่าอดีต ๒ เม.ย.๕๖

กระทู้สนทนา
เรื่องเก่าเล่าอดีต ๒ เม.ย.๕๖

                                   ผู้น่าสงสาร

"เพทาย"

                    ในสมัยก่อนคนจีนจากแผ่นดินใหญ่  ที่หลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนมากจะมีอาชีพค่อนข้างต่ำ และยากจนค่นแค้น ส่วนน้อยที่เข้ามาค้าขายเป็นเจ้าสัว  แต่ทุกคนก็มีอาชีพ แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ และภาษา ซึ่งล้วนแต่ทำงานกันตัวเป็นเกลียว ไม่มีคนจีนนั่งขอทานเลย  นอกจากจะมีนักดนตรีจีนคณะเล็ก ๆ สองหรือสามคนที่มีซอเป็นหลัก หรือคณะเชิดสิงห์โตเท่านั้น ที่จะเดินเรี่ยรายไป ตามหน้าร้านค้าของคนจีนด้วยกันเอง ในเทศกาลตรุษหรือสารทจีน

                    จนกระทั่งถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกที่เป็นพ่อค้าก็กลายเป็นมหาเศรษฐี ส่วนกลุ่มที่ทำมาหากินในระดับรองหรือระดับล่าง  ส่วนใหญ่ก็มีฐานะดีขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ จนแทบจะไม่มีผู้ใดต้องลำบากยากแค้นเหมือนบรรพบุรุษอีกต่อไป เขาเหล่านั้นเดิมเรียกกันว่าลูกจีน แต่ในปัจจุบันถือว่าเป็นคนไทย เชื้อสายจีน

                    เขาเหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้  ก็ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความมานะอดทน ความมัธยัสถ์ อดออมถนอมใช้  จนถึงปัจจุบันคนรุ่นที่สาม ก็ได้กลายเป็นไทยแท้และอยู่ในทุก     วงการทุกสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้นจนถึงระดับบริหารประเทศ

                    ดังนั้นจึงมีผู้แสดงตนอย่างภาคภูมิใจว่า  เขานั้นเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ให้ได้เห็นได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอมา อย่างมากมาย ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

                    ส่วนคนไทยที่เป็นไท้ยเป็นไทยนั้น ไม่ค่อยจะมีอะไรโอ้อวดสักเท่าใดนัก  นอกจากจะเป็นผู้ที่ด้อยโอกาส ขาดแคลนในสิ่งต่าง ๆ จนต้องชุมนุมกันเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์กันอยู่บ่อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามสถานการณ์ ซึ่งมักจะก่อความรำคาญให้แก่ผู้บริหารบ้านเมืองอยู่เสมอ

                    นานมาแล้ว ผมเคยเห็นลูกจีนคนหนึ่งเป็นหญิง  บิดามารดามีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ เธอผู้นั้นเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเด่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ  ตอนเย็นที่เธอกลับจากเรียนหนังสือ ยังไม่ทันจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เพียงดึงชายเสื้อสีขาวออกนอกกระโปรง  สีดำเท่านั้น แม้แต่เข็มเครื่องหมายสถาบันก็ยังไม่ได้ปลดออกด้วยซ้ำไป เธอก็รีบเข้ามาช่วยบริการยกอาหารที่ลูกค้าสั่ง เก็บถ้วยชามไปให้คนล้าง ซึ่งเชื่อว่าเธอได้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็กเรียนชั้นประถม และเชื่อต่อไปอีกว่า ในการเรียนหลายปีที่ผ่านมา บิดามารดาของเธอคงไม่มีเวลาหรือความรู้พอที่จะช่วยเธอทำการบ้าน ดังเช่นที่พ่อแม่ทั้งหลายต้องทำอยู่ในเวลานี้ อย่างแน่นอน  แต่เธอก็ได้สอบผ่านเข้าไปจนถึงมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง

                    เด็กอย่างนี้คงมีอยู่อีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในอาชีพที่มีเกียรติสูงแทบทุกสาขา ต่างกับเด็กไทยในสมัยนี้ ซึ่งเมื่อเลิกเรียนแล้วก็เที่ยวไปเดินอยู่ในศูนย์การค้า พลาซ่า หรือเข้าบาร์เข้าผับไปเลย  จึงมองเห็นแต่ชุดขาวดำเต็มไปหมด ทั้งที่มีเข็มและไม่มีเข็มเครื่องหมาย เมื่อรับปริญญากันมาทีละมากมาย  ก็ต้องเดินหางานทำจนแทบจะชนกันตาย

                    ผมจึงเกิดความชื่นชมอย่างมาก เมื่อได้เห็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่เธอนั่งรถเก๋งคันเล็กสีแดงสด ไปทำงานแต่เช้าตรู่ ขณะที่ผมเพิ่งเดินออกไปหาซื้ออาหารหวานคาวใส่บาตร เธอจะยื่นหน้าจากรถออกมาสั่งซื้อข้าวและแกง ใส่ถุงหลายอย่าง  คงจะนำไปรับประทานยังที่ทำงาน  แต่เมื่อกลับมาตอนเย็นค่ำ เธอก็จะต้องช่วยแม่ขายข้าวและแกงถุง  เช่นเดียวกับเจ้าที่ออกขายเมื่อตอนเช้า  โดยแทบจะไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จากชุดสาวสำนักงานเลย

                    กิริยามารยาทของเธอขณะที่ขายของ ก็คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเป็นมืออาชีพ และเป็นกันเองกับลูกค้า  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารัก เพราะไม่ได้ฝืนทำ  ผมจึงมักจะสะสมถุงพลาสติกที่สะอาดและยางเส้นที่ใช้รัดปากถุง เอาไปให้เธอบ่อย ๆ ซึ่งเธอก็แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ และมักจะคิดราคาลดให้เป็นพิเศษเมื่อผมซื้ออาหารถุงของเธอ ซึ่งผมก็ต้องขอร้องไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะผมไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนในการเอื้อเฟื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากเพื่อสนับสนุน การกระทำความดีของเธอเท่านั้น

                    ในการเดินเข้าออกหมู่บ้านของผมนั้น ผมมักจะพบเห็นคนขอทานอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน บนสะพานลอย และตามสี่แยกเล็ก ๆ ของซอยภายในหมู่บ้าน ทั้งคนพิการทางตา ซึ่งตั้งวงดนตรีมีเครื่องขยายเสียง ที่ดังจนก่อความรำคาญให้แก่ผู้อยู่ใกล้เคียง มากกว่าที่จะชวนฟัง บางทีก็มีออร์แกนเล็ก ๆ ตัวเดียวดีดไปร้องไป หรือชายดีดหญิงร้อง สุดท้ายใช้การเป่าใบไม้ให้เป็นเพลงก็ยังมี  

                      ส่วนที่พิการอย่างอื่นนั้น  ส่วนใหญ่จะขออย่างเดียว บางทีก็ชอบนั่งหรือนอนตากแดด เพื่อให้ดูน่าสงสารมากขึ้น อีกหลายรายที่ชอบอุ้มทารก หรือปล่อยให้คนหนึ่งนอนคนหนึ่งนั่งเล่นดินทราย ซึ่งว่ากันว่าเป็นขบวนการที่มีผู้ควบคุม เอารถมาส่งในพื้นที่และรับกลับด้วยซ้ำ  แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาเอง  ขบวนที่ว่านี้เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว

                    แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นหญิงอายุค่อนข้างชราแล้ว  นุ่งผ้าถุงเรียบร้อย สวมเสื้อที่ดูดี แต่มีลักษณะเป็นคนชนบท  ชอบนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงหัวมุมซอยเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ลักษณะไม่น่าจะใช่คนขอทาน  ผมไม่ทราบว่าแกมาจากไหน  ดูคล้ายกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่มานั่งรอรับลูกหลาน ซึ่งกลับจากโรงเรียนอนุบาลประเภทที่มีรถรับส่งมากกว่า  สายตาที่มองดูรอบ ๆ กายอย่างเหม่อลอยนั้นชวนให้น่าสมเพช เวลาผมเดินผ่านแกจะมองตามผม ด้วยสายตาเศร้า ๆ เช่นนั้นเสมอ ทำให้ผมนึกถึงคนชราที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง ไม่สามารถจะทำมาหากินอย่างอื่นได้  นอกจากรอความเมตตาจากเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตเป็นกุศล ช่วยบริจาคเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ  พอหาอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น

                    ผมไม่ค่อยได้พบแกทุกวัน แต่วันหนึ่งเห็นแกเอามือวางแบอยู่บนหัวเข่าที่นั่งชันอยู่ข้างหนึ่ง โดยไม่พูดว่าอะไร ผมจึงควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง ใจก็คิดว่าไม่น่าจะให้เพียงบาทเดียว เพราะไม่ได้เห็นภาชนะอื่นใดที่จะใส่เงิน เหมือนคนอื่น  พอดีเจอเหรียญห้าบาท ก็ใส่ลงในฝ่ามือนั้นแล้วก็รีบเดินเลยไป

                    หลังจากนั้นถ้าผมเจอแกอีกก็ให้เหรียญห้าบาท  หรือกำเศษเหรียญบาทให้ไปโดยไม่ได้นับ ผมก็ไม่ทราบว่าแกจะมีรายได้วันละเท่าไร เพราะที่ตรงนั้นไม่ใช่ทางที่จะมีผู้เดินผ่านมากมาย แต่เป็นทางที่ผมต้องผ่านเป็นประจำ นาน ๆ จึงจะพบแกสักครั้ง  ทุกครั้งที่เจอก็ไม่ได้ยินคำขอ และไม่ได้มีคำขอบคุณ ออกจากปากของแกเลยสักครั้งเดียว  มีแต่แววตาเท่านั้นที่บอกถึงความรู้สึก  ยิ่งบางครั้งผมมีแต่เหรียญสิบบาท และตัดใจส่งให้ไป แกจะเงยหน้าสบตาผม และมีแววของความตื่นเต้นยินดีปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน

                    วันนี้เมื่อผมกลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว  พอผ่านบริเวณที่ว่าก็มองเห็นหญิงชราเจ้าเก่านั่งอยู่อย่างเคยแต่ไกล ผมจึงควานมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชิน  แต่ปรากฎว่าไม่มีเศษเหรียญอยู่เลย  เพราะควักจ่ายค่ารถเมล์ไปจนหมดสิ้นแม้แต่เหรียญสลึง ครั้นเปิดกระเป๋าสตางค์ดูก็มีธนบัตรใบละยี่สิบบาทเหลืออยู่เพียงใบเดียว ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเดินมาถึงตัวแกแล้ว  จึงตัดใจยัดธนบัตรใบนั้นใส่ลงในฝ่ามือ แกเงยหน้าขึ้นมองดูผมเหมือนจะไม่เชื่อใจ ผมยิ้มให้แล้วก็ขยับจะเดินเลยไป

                     ก็พอดีมีรถเก๋งขนาดใหญ่สีดำวาววาม แล่นเฉียดเข้าซอยมา แกรีบเก็บธนบัตรยัดใส่ชายพกอย่างเร่งร้อน แล้วรีบลุกขึ้นยืนจะเดินออกจากที่นั้น   รถเก๋งคันนั้นก็เบรคหยุดลงตรงหน้า ประตูรถเปิดออกโดยแรง แล้วก็มีเสียงดังลั่นซอย

                   " ต๊าย...คุณแม่ มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ "

                    รู้สึกว่าหญิงชราตกใจงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันจะทำอย่างไร เจ้าของเสียงก็ก้าวลงมาจากรถ จากเครื่องแต่งตัวและเครื่องประดับครบครัน แสดงถึงฐานะอันสูงส่งของเธอผู้นั้น ทำให้ผมพลอยตกตลึงไปด้วย

                    " เย็นค่ำแล้วมาเดินอยู่ได้ เดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ถูกหรอก ไปขึ้นรถเถอะ หนูจะไปส่ง "

                    ว่าแล้วเธอก็จูงมือหญิงผู้เป็นมารดาให้ก้าวขึ้นนั่งบนรถด้านหลัง แล้วหันมาหาผมซึ่งยืนเบิ่งอยู่ อย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำตนอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น

                    " คุณแม่เป็นโรคสมองเสื่อมค่ะ ทำอะไรไปไม่ค่อยรู้ตัว นี่เอามาพักอยู่กับหลานสาว เพราะที่บ้านต้องออกไปทำงานกันหมด ไม่มีใครดูแล คนใช้ก็หายาก "

                    ผมคงจะยิ้มอย่างแหยเต็มที เธอจึงพูดต่อโดยไม่สนใจ

                    " เห็นเขาว่าชอบออกมาเดินเล่นบ่อย ๆ  แล้วก็กลับบ้านไม่ค่อยจะถูก  ต้องออกมาตามกันอยู่เสมอ ห้ามก็ไม่ฟัง พอเผลอก็ออกมาทุกที  เคราะห์ยังดีที่ไม่ไปไกล หรือขึ้นรถเมล์ไปถึงไหน ๆ ละก็ยุ่งกันใหญ่แน่ "

                    ผมก็ยังคงเป็นเบื้ออยู่อย่างเดิม

                    " นี่หนูจะมาเยี่ยมน่ะค่ะ ก็เจอเข้าพอดี ถ้าคุณลุงเจออีกกรุณาพาไปส่งบ้านด้วยนะคะ ไม่ไกลหรอกค่ะ บ้านสีเขียวหัวมุมแยกหน้านี้เอง "

                    และโดยไม่สนใจฟังว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา  เธอก็ขึ้นรถ ขับออกไปจากที่นั้น ผมมองตามท้ายรถไปไม่ไกล ก็เห็นเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังที่เธอชี้บอก

                    ผมก้าวเดินไปทางบ้านผม ซึ่งเป็นคนละทางกับบ้านนั้น  ความคิดหลายอย่างประดังขึ้นมาในใจ นึกถึงหญิงชราผู้น่าสงสาร แต่แม้จะช่วยตนเองไม่ค่อยได้ ก็ยังดีที่มีลูกหลาน คอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้งอย่างที่ผมคิด

                    ส่วนผมนั้นแม้จะช่วยตนเองได้ แต่ขณะนี้ก็ไม่เหลือเงินติดตัวเลย และที่สำคัญก็คือ อีกตั้งสองวัน กว่าเงินบำนาญจะออก.

                                                              ##########
                    


                    

วางเมื่อ เวลา ๑๐.๕๔
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่