การเดินหน้าเพื่อจะกู้เงินนอกงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท นับเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อ
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง
อุปมาเหมือนประเทศไทยถูกข่มขืนโดยระบอบทักษิณ ยัดเยียดน้องสาวที่มีความรู้ความ
สามารถไม่สมควรแก่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังไม่พอ ยังปรากฏด้วยว่า ผลของการข่มขืน
นั้นได้ทิ้งเชื้อโรคเอดส์ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฝังเป็นมรดกบาปให้แก่ประเทศไทยอีกด้วย
1) รัฐบาลระบอบทักษิณไม่สามารถชี้แจงได้เลยว่า ในเมื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งหลายนั้นสามารถจะดำเนินการผ่านระบบงบประมาณแผ่นดินปกติ ไม่ว่าจะโดยการ
ร่วมทุนเอกชน การให้สัมปทานเอกชน หรือแม้แต่การกู้เงินในงบประมาณ ขาดดุล
งบประมาณ หรือการทำงบผูกพันข้ามปี ฯลฯ แต่เหตุใดรัฐบาลจึงลุกลี้ลุกลน เร่งรีบผลักดัน
ใช้เสียงข้างมากลากไปกู้นอกระบบงบประมาณ อันจะทำให้ประเทศชาติต้องแบกภาระหนี้
ระยะเวลา 50 ปี สูงถึง 5.16 ล้านล้านบาท
2) การจะกู้ยืมมหาศาลครั้งนี้ รัฐบาลไม่ระบุแผนการหารายได้ที่จะนำมาใช้หนี้ที่ชัดเจน
ระบุเพียงให้ใช้งบประมาณแผ่นดินในอนาคตมาชำระหนี้ แถมยังให้รัฐบาลในอีก 10 ปี ข้างหน้า
เป็นผู้ชำระหนี้เงินกู้ที่รัฐบาลจะใช้จ่ายภายใน 7 ปีข้างหน้านี้
โยนภาระไปให้คนรุ่นต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
รัฐบาลในอนาคต เมื่อภาระหนี้จวนตัว ก็ต้องดิ้นรนหารายได้เพิ่ม ไม่ว่าจะโดยการรีดภาษี ขึ้นภาษี
มูลค่าเพิ่ม ขายทรัพย์สินแผ่นดิน หรือลดรายจ่าย ตัดการช่วยเหลือประชาชน กระทบต่อความอยู่
รอดของประเทศชาติในอนาคต
3) ดร.วิรไท สันติประภพ นักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจมหภาคเป็นอย่างดี ได้อธิบาย
ให้เห็นถึงความน่ากลัวของเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายที่รัฐบาล
อยากจะทำนั้น หลายโครงการเป็นความจำเป็นและควรทำ แต่รัฐบาลทำแบบนี้มีความน่ากลัวอยู่
อย่างน้อย 6 มิติสำคัญ
ขออนุญาตสรุปใจความสำคัญ บันทึกไว้ ดังต่อไปนี้
(1) ไทยเรามีกฎหมายงบประมาณและระบบการบริหารการคลังที่สร้างวินัยไว้ดีมาก ไม่เหมือน
กับในอีกหลายประเทศที่ต้องเผชิญกับวิกฤติด้านการคลังและหนี้สาธารณะจนล้มละลาย และ
ประชาชนเดือดร้อนมาก แต่การขอกู้เงินครั้งนี้ เป็นการเลี่ยงระบบวินัยการคลังโดยไม่จำเป็น
จะทำให้รัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้าไม่สนใจที่จะไปควบคุมรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะรายจ่าย
ประชานิยมต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าเมื่อวงเงินบัตรเครดิตเดิมเริ่มจำกัด ก็ไปขอ
บัตรเครดิตใหม่มาช่วยหมุน โดยไม่คำนึงว่าเงินที่ต้องใช้คืนมาจากกระเป๋าเดียวกัน
(2) หน่วยงานของรัฐบาลไทยมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการลงทุนและการบริหารโครงการ
ขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น โฮปเวลล์ แอร์พอร์ตลิ้งค์ โครงการรับจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ
350,000 ล้านบาท ฯลฯ ควรบริหารเงินกู้ทีละโครงการ ดีกว่าที่จะเอามารวมกันเป็น package เดียว
ถึง 2 ล้านล้านบาท
(3) โครงการลงทุนเหล่านี้ควรจะให้ภาคเอกชนที่เป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านเข้ามาร่วมลงทุน รับความเสี่ยง
และบริหารจัดการด้วยเท่าที่จะทำได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงอยากที่จะกู้เงินมาลงทุนเองเกือบทั้งหมด
และที่แปลกใจคือไม่ได้ยินรัฐบาลพูดถึงกลไกต่างๆ ที่เราเคยพูดถึงกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น
Public-Private sector Partnership (PPP) หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) ซึ่ง
เป็นกลไกที่จะลดภาระหนี้ของรัฐบาล รัฐบาลควรเก็บวงเงินกู้ปกติไว้ใช้สำหรับรายจ่ายที่ทำโครงการเชิง
พาณิชย์ไม่ได้ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข หรือความมั่นคงของประเทศ
(4) การบริหารเงินกู้มีปัญหา อาจทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าที่ควร หรือการกู้เงินสำหรับ
โครงการบริหารจัดการน้ำที่พระราชกำหนดกำลังจะหมดอายุลง ก็จะต้องหาวิธีมารีบกู้ตามกำหนดอายุ
ของพระราชกำหนดมากกว่าที่จะเป็นการกู้ตามความจำเป็นต้องใช้จริง
(5) สมมุติฐานที่รัฐบาลใช้ประมาณการความสามารถในการชำระหนี้ดูจะมองโลกในแง่ดีมาก เช่น
จะควบคุมการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวได้โดยเร็ว อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะอยู่ในระดับต่ำ
ต่อไป และภาครัฐจะไม่มีรายจ่ายต่างๆ ที่บานปลาย โดยเฉพาะรายจ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ
(6) ที่น่ากลัวที่สุด คือ ความไม่รู้เรื่องของผู้บริหารประเทศ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับโครงการที่เสนอมาและ
วิธีการบริหารจัดการ ผนวกกับแนวโน้มการคอร์รัปชั่นและการแทรกแซงหาผลประโยชน์ของนัก
การเมืองที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดร.วิรไทเสนอแนะทางออกว่า “ควรบริหารเงินกู้ภายในกรอบงบประมาณและกรอบวินัยการคลังปกติ
บริหารเงินเป็นรายโครงการเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง และให้ภาคเอกชนมาร่วมรับผิดชอบ
โครงการที่สามารถทำเป็นเชิงพาณิชย์ได้ด้วย หนี้สาธารณะทำเป็นเล่นไม่ได้ครับ ตอนนี้คาดว่าจะคุม
ได้อยู่ภายในร้อยละ 60 ของ GDP แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นแบบก้าว
กระโดด ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นเร็วมาก จนเกิดวิกฤติได้ ภาระดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเป็นแค่ 3 ล้านล้านบาท
อาจจะกระโดดได้มากกว่านี้มาก และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยและภาระหนี้ในกรอบงบประมาณปกติ
กระโดดมากเช่นกัน คนให้กู้เงินเขาไม่แบ่งนะครับว่ารัฐบาลกู้ด้วยบัตรเครดิตใบไหน ถ้าจะต้องจ่ายคืน
จากกระเป๋าเดียวกัน ผลกระทบจะถึงกันหมดครับ”
4) การข่มขืนยัดเยียดหนี้ให้คนไทยโดยวิธีการกู้นอกงบประมาณอย่างนี้ ได้ทำให้เกิดปัญหาวินัย
ทางการคลังร้ายแรง ทำลายภูมิคุ้มกันทางการเงินการคลังของแผ่นดิน
ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เหมือนคนติดเอดส์
เป็นการซุกหนี้ ซ่อนภาระ
เปิดทางให้เชื้อร้ายแห่งประชานิยมถลุงใช้เงินในงบประมาณแผ่นดินต่อไปอีกมหาศาล เพราะได้
หลบเลี่ยงกฎหมายด้านการงบประมาณและหนี้สาธารณะ ด้วยการใช้เงินกู้นอกงบประมาณกว่า
2 ล้านล้านบาททำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เงินเกินตัว ฝากหนี้ไว้ให้ลูกหลานชำระแทนข้ามภพข้ามชาติ
5) การซิกแซ็ก เพิ่มหนี้-ซ่อนภาระแบบนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติในยุโรปหลายๆ ประเทศ
ดังกรณีวิกฤติของประเทศกรีซเป็นบทเรียน
เพราะรัฐบาลในอดีตของกรีซได้บิดเบือนตัวเลขงบประมาณของกรีซ ทำลายวินัยทางการคลัง
ของประเทศ ปรนเปรอประชาชนให้เสพติดนโยบายประชานิยม ใช้จ่ายเงินเกินตัว นำไปสู่ปัญหา
หนี้สาธารณะพอกพูนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ในที่สุด ประเทศชาติก็ล้มทั้งยืน ประชาชนเดือด
ร้อนแสนสาหัส ยังไม่ฟื้นจนบัดนี้
ประเทศไทยกำลังเริ่มนับหนึ่งบนเส้นทางเดินไปสู่วิกฤติในลักษณะไม่ต่างกัน
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/6038
เมื่อกระบอกเสียงของปชป. ส่งเสียงมาแบบนี้ ถือได้ไหมว่า นี่คือ
ความคิดของฝ่ายค้าน ....
เอามาแปะ ...เพื่อจะบอกว่า "สาวเหลือน้อย" มองรอบด้าน เอามาให้เพื่อนๆ
ดูกันว่า แบบไหน คือ คคห.ของคนส่วนใหญ่ ....


ประเทศถูกข่มขืนจนติดเอดส์ ...กวนน้ำให้ใส ...สารส้ม ....แนวหน้าออนไลน์
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง
อุปมาเหมือนประเทศไทยถูกข่มขืนโดยระบอบทักษิณ ยัดเยียดน้องสาวที่มีความรู้ความ
สามารถไม่สมควรแก่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังไม่พอ ยังปรากฏด้วยว่า ผลของการข่มขืน
นั้นได้ทิ้งเชื้อโรคเอดส์ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฝังเป็นมรดกบาปให้แก่ประเทศไทยอีกด้วย
1) รัฐบาลระบอบทักษิณไม่สามารถชี้แจงได้เลยว่า ในเมื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งหลายนั้นสามารถจะดำเนินการผ่านระบบงบประมาณแผ่นดินปกติ ไม่ว่าจะโดยการ
ร่วมทุนเอกชน การให้สัมปทานเอกชน หรือแม้แต่การกู้เงินในงบประมาณ ขาดดุล
งบประมาณ หรือการทำงบผูกพันข้ามปี ฯลฯ แต่เหตุใดรัฐบาลจึงลุกลี้ลุกลน เร่งรีบผลักดัน
ใช้เสียงข้างมากลากไปกู้นอกระบบงบประมาณ อันจะทำให้ประเทศชาติต้องแบกภาระหนี้
ระยะเวลา 50 ปี สูงถึง 5.16 ล้านล้านบาท
2) การจะกู้ยืมมหาศาลครั้งนี้ รัฐบาลไม่ระบุแผนการหารายได้ที่จะนำมาใช้หนี้ที่ชัดเจน
ระบุเพียงให้ใช้งบประมาณแผ่นดินในอนาคตมาชำระหนี้ แถมยังให้รัฐบาลในอีก 10 ปี ข้างหน้า
เป็นผู้ชำระหนี้เงินกู้ที่รัฐบาลจะใช้จ่ายภายใน 7 ปีข้างหน้านี้
โยนภาระไปให้คนรุ่นต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
รัฐบาลในอนาคต เมื่อภาระหนี้จวนตัว ก็ต้องดิ้นรนหารายได้เพิ่ม ไม่ว่าจะโดยการรีดภาษี ขึ้นภาษี
มูลค่าเพิ่ม ขายทรัพย์สินแผ่นดิน หรือลดรายจ่าย ตัดการช่วยเหลือประชาชน กระทบต่อความอยู่
รอดของประเทศชาติในอนาคต
3) ดร.วิรไท สันติประภพ นักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจมหภาคเป็นอย่างดี ได้อธิบาย
ให้เห็นถึงความน่ากลัวของเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายที่รัฐบาล
อยากจะทำนั้น หลายโครงการเป็นความจำเป็นและควรทำ แต่รัฐบาลทำแบบนี้มีความน่ากลัวอยู่
อย่างน้อย 6 มิติสำคัญ
ขออนุญาตสรุปใจความสำคัญ บันทึกไว้ ดังต่อไปนี้
(1) ไทยเรามีกฎหมายงบประมาณและระบบการบริหารการคลังที่สร้างวินัยไว้ดีมาก ไม่เหมือน
กับในอีกหลายประเทศที่ต้องเผชิญกับวิกฤติด้านการคลังและหนี้สาธารณะจนล้มละลาย และ
ประชาชนเดือดร้อนมาก แต่การขอกู้เงินครั้งนี้ เป็นการเลี่ยงระบบวินัยการคลังโดยไม่จำเป็น
จะทำให้รัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้าไม่สนใจที่จะไปควบคุมรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะรายจ่าย
ประชานิยมต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าเมื่อวงเงินบัตรเครดิตเดิมเริ่มจำกัด ก็ไปขอ
บัตรเครดิตใหม่มาช่วยหมุน โดยไม่คำนึงว่าเงินที่ต้องใช้คืนมาจากกระเป๋าเดียวกัน
(2) หน่วยงานของรัฐบาลไทยมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการลงทุนและการบริหารโครงการ
ขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น โฮปเวลล์ แอร์พอร์ตลิ้งค์ โครงการรับจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ
350,000 ล้านบาท ฯลฯ ควรบริหารเงินกู้ทีละโครงการ ดีกว่าที่จะเอามารวมกันเป็น package เดียว
ถึง 2 ล้านล้านบาท
(3) โครงการลงทุนเหล่านี้ควรจะให้ภาคเอกชนที่เป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านเข้ามาร่วมลงทุน รับความเสี่ยง
และบริหารจัดการด้วยเท่าที่จะทำได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงอยากที่จะกู้เงินมาลงทุนเองเกือบทั้งหมด
และที่แปลกใจคือไม่ได้ยินรัฐบาลพูดถึงกลไกต่างๆ ที่เราเคยพูดถึงกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น
Public-Private sector Partnership (PPP) หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) ซึ่ง
เป็นกลไกที่จะลดภาระหนี้ของรัฐบาล รัฐบาลควรเก็บวงเงินกู้ปกติไว้ใช้สำหรับรายจ่ายที่ทำโครงการเชิง
พาณิชย์ไม่ได้ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข หรือความมั่นคงของประเทศ
(4) การบริหารเงินกู้มีปัญหา อาจทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าที่ควร หรือการกู้เงินสำหรับ
โครงการบริหารจัดการน้ำที่พระราชกำหนดกำลังจะหมดอายุลง ก็จะต้องหาวิธีมารีบกู้ตามกำหนดอายุ
ของพระราชกำหนดมากกว่าที่จะเป็นการกู้ตามความจำเป็นต้องใช้จริง
(5) สมมุติฐานที่รัฐบาลใช้ประมาณการความสามารถในการชำระหนี้ดูจะมองโลกในแง่ดีมาก เช่น
จะควบคุมการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวได้โดยเร็ว อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะอยู่ในระดับต่ำ
ต่อไป และภาครัฐจะไม่มีรายจ่ายต่างๆ ที่บานปลาย โดยเฉพาะรายจ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ
(6) ที่น่ากลัวที่สุด คือ ความไม่รู้เรื่องของผู้บริหารประเทศ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับโครงการที่เสนอมาและ
วิธีการบริหารจัดการ ผนวกกับแนวโน้มการคอร์รัปชั่นและการแทรกแซงหาผลประโยชน์ของนัก
การเมืองที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดร.วิรไทเสนอแนะทางออกว่า “ควรบริหารเงินกู้ภายในกรอบงบประมาณและกรอบวินัยการคลังปกติ
บริหารเงินเป็นรายโครงการเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง และให้ภาคเอกชนมาร่วมรับผิดชอบ
โครงการที่สามารถทำเป็นเชิงพาณิชย์ได้ด้วย หนี้สาธารณะทำเป็นเล่นไม่ได้ครับ ตอนนี้คาดว่าจะคุม
ได้อยู่ภายในร้อยละ 60 ของ GDP แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นแบบก้าว
กระโดด ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นเร็วมาก จนเกิดวิกฤติได้ ภาระดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเป็นแค่ 3 ล้านล้านบาท
อาจจะกระโดดได้มากกว่านี้มาก และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยและภาระหนี้ในกรอบงบประมาณปกติ
กระโดดมากเช่นกัน คนให้กู้เงินเขาไม่แบ่งนะครับว่ารัฐบาลกู้ด้วยบัตรเครดิตใบไหน ถ้าจะต้องจ่ายคืน
จากกระเป๋าเดียวกัน ผลกระทบจะถึงกันหมดครับ”
4) การข่มขืนยัดเยียดหนี้ให้คนไทยโดยวิธีการกู้นอกงบประมาณอย่างนี้ ได้ทำให้เกิดปัญหาวินัย
ทางการคลังร้ายแรง ทำลายภูมิคุ้มกันทางการเงินการคลังของแผ่นดิน
ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เหมือนคนติดเอดส์
เป็นการซุกหนี้ ซ่อนภาระ
เปิดทางให้เชื้อร้ายแห่งประชานิยมถลุงใช้เงินในงบประมาณแผ่นดินต่อไปอีกมหาศาล เพราะได้
หลบเลี่ยงกฎหมายด้านการงบประมาณและหนี้สาธารณะ ด้วยการใช้เงินกู้นอกงบประมาณกว่า
2 ล้านล้านบาททำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เงินเกินตัว ฝากหนี้ไว้ให้ลูกหลานชำระแทนข้ามภพข้ามชาติ
5) การซิกแซ็ก เพิ่มหนี้-ซ่อนภาระแบบนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติในยุโรปหลายๆ ประเทศ
ดังกรณีวิกฤติของประเทศกรีซเป็นบทเรียน
เพราะรัฐบาลในอดีตของกรีซได้บิดเบือนตัวเลขงบประมาณของกรีซ ทำลายวินัยทางการคลัง
ของประเทศ ปรนเปรอประชาชนให้เสพติดนโยบายประชานิยม ใช้จ่ายเงินเกินตัว นำไปสู่ปัญหา
หนี้สาธารณะพอกพูนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ในที่สุด ประเทศชาติก็ล้มทั้งยืน ประชาชนเดือด
ร้อนแสนสาหัส ยังไม่ฟื้นจนบัดนี้
ประเทศไทยกำลังเริ่มนับหนึ่งบนเส้นทางเดินไปสู่วิกฤติในลักษณะไม่ต่างกัน
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/6038
เมื่อกระบอกเสียงของปชป. ส่งเสียงมาแบบนี้ ถือได้ไหมว่า นี่คือ
ความคิดของฝ่ายค้าน ....
เอามาแปะ ...เพื่อจะบอกว่า "สาวเหลือน้อย" มองรอบด้าน เอามาให้เพื่อนๆ
ดูกันว่า แบบไหน คือ คคห.ของคนส่วนใหญ่ ....