เพียงครึ่งใจ (บทที่ 22)
“นนท์เป็นอะไรเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”
พรพิมลย้ำถามตลอดทางตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารหรู จนเกือบถึงบ้านแถวสาทรของเขา
เพียงแต่อนรรฆส่ายหัวท่าเดียว คิ้วเข้มขมวดขึ้น สายตามุ่งอยู่ที่เครื่องโทรศัพท์ คล้ายคนที่กำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เขาไม่ได้เมา พรพิมลรู้
วันนี้ อนรรฆดื่มเยอะ เพราะเธอ…จงใจให้ดื่ม แต่อนรรฆกลับไม่มีทีท่าเมามาย ตรงกันข้าม เขากลับเงียบ ขรึม นิ่งเฉย
แล้วเธอล่ะ?
ถ้าไม่เมาเพราะเหล้า ก็คงเมาอารมณ์…เพราะรัก
“นนท์! แพทถามนนท์อยู่นะ” หญิงสาวเสียงดังลั่น จนคนขับรถของเธอสะดุ้ง “จอดรถ แล้วออกไปรอข้างนอก”
เธอแผดสั่งกับคนขับที่รีบทำตามทันที
“เป็นอะไร!”
เสียงแผดลั่นบัดนี้หันมาถามชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างในตอนหลังของรถยนต์ราคาแพง
“นนท์เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ยังอาวรณ์เด็กใจแตกนั่นเหรอ มันมีดีอะไร!” เพราะโกรธจัดพรพิมลจึงไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ได้อีกต่อไป เงินจากการตายของผู้ชายที่รักเธอ ทำให้เดี๋ยวนี้ หญิงสาวได้ทุกอย่างมาครอบครองง่ายดาย แล้วทำไมแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรัก และเขาก็เคยรักเธอ มันถึงช่างยากเย็น “เด็กนั่นไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับนนท์ เด็กพม่าใจแตก…บินไปหาผู้ชาย ป่านนี้มัน…”
“เรื่องนั้น ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง” เสียงเรียบของเขาตัดบท “แพทเองก็เถอะ บอกให้ลูกเลี้ยงของแพทให้เกียรติทางโน้นด้วย”
คนพูดย่อมรู้ หลายคลายที่ผู้หญิงหลายคนหมดเกียรติ หมดศักดิ์ศรี เพราะ…นิสัยของริชาร์ด
เขารู้ถึงนิสัยใจคอของ ‘คู่แข่ง’ ทั้งจากพรพิมล และจากที่ต้องขบเขี้ยวกันทางธุรกิจ
“ทำไม? เด็กนั่นมีเกียรติอะไร บินไปหาผู้ชาย แต่ดันใจแตก หนีไปอาศัยเกาะติดอยู่กับผู้ชายอีกคน แล้ว…”
“แพท!” แววตาวาววับที่หันมาบอกชัดว่าไม่พอใจ
“ทำไม…พูดถึงไม่ได้เชียวเหรอ”
“ผู้ชายคนที่แพทว่าคือผม แพทเห็นผมเป็นคนแบบไหน”
“แพทไม่ได้ว่านนท์ แต่เด็กนั่น…”
“แพทเปลี่ยนไปมาก” น้ำเสียงเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกเช่นสีหน้า “ผมเสียใจ”
แล้วอนรรฆก็กดมือถือโทรฯ หามาโนช บอกจุดที่กำลังอยู่ ณ ตอนนี้ แล้วกำชับ
“มารับเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้น เขาก็เปิดประตูของรถราคาแพง แล้วก้าวลง ไม่สนใจเสียงเรียกจากด้านหลัง แล้วสาวเท้าก้าวยาวเดินไปยังความมืดของท้องถนน ที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟริมทาง
“นนท์!” เสียงของพรพิมลยังไล่หลังมาหลายครั้ง “เด็กพม่านั่นหลงริชาร์ดขนาดนี้ นนท์คิดเหรอว่า เด็กนั่นจะยังมีใจให้นนท์”
ทว่าอนรรฆต้องคิด
คลาดแคล้วจริงแล้วเจ้าพี่เอ๋ย
เสียแรงหวังมาเชยเฉลิมศรี
เปลวเสน่ห์ดับพลันแต่วันนี้
จะต้องมีแต่หนาวร้าววิญญาณ์ฯ
เพียงแต่เขาไม่ได้คิดถึง…เปลวเสน่ห์ที่ดับไปเพราะพรพิมลเมื่อนานมาแล้ว
ใจ…ของเขาคิดถึงเพียงนิหล่า
คิดถึง…เมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าเธอจะลาลับ หนีหายจากไป
บัดนี้เขาก็ยัง…คิดถึง
คิดเรื่องนิหล่ากับริชาร์ด
คิด…จนบัดนี้เขาคนไม่ต่างจากคนบ้าริมท้องถนน ที่มุ่งเดินเพียงลำพังในความมืด เพราะความคิดมากมาย ที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้
ฤา จากนี้ไปคงต้อง…
หนาวร้าววิญญาณ์ เสียแล้ว
ไฟจากเครื่องโทรศัพท์มือถือยังคงกระพริบแม้เมื่อปิดเสียง นิหล่าได้แต่ถอนหายใจ หากตัดสินใจไม่รับสายเหมือนช่วงเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา จนกระทั่งมองก๊กที่มากรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมและอยู่กับเธอสองสามวันต้องถาม
“ใคร โทรฯ มาดึกขนาดนี้”
หากนิหล่าไม่ตอบ เพียงแค่ยักไหล่
“ผู้ชายที่มาส่งเมื่อครู่เหรอ บริษัทน้ำมันจากฝรั่งเศสใช่ไหม ระวังนะ ถ้าอองเมียทตูรู้ ทั้งไทย อเมริกัน สิงคโปร์ ฝรั่งเศส จะชวดสัปทานกันหมด”
“รู้ก็ดี จะได้จบๆ เสียที”
“อ้าว…” ผู้เป็นพี่ทำเสียงประหลาดใจ ใครจะคิด แล้วถามในเรื่องที่ท่านคาดคั้นนักหนา “ตกลงเรื่องแต่งงานกับอองเมียทตู”
“ก็บอกแล้วว่าไม่แต่ง” คำยืนยันนั่นยังคงชัดเจนแกมหงุดหงิด เหมือนเช่นสามปีกว่าโน้น “ฟังไม่รู้เรื่องกันหรือไง ฉันไม่ได้รักอองเมียทตูแบบนั้น ไม่แต่ง! ถ้าใครถามอีกฉันจะหนีไปบวช คอยดู”
“แหม…ถ้าได้อย่างนั้นล่ะจะอนุโมทนา แต่อย่าไปยุ่งกับคุณอนรรฆก็แล้วกัน”
“อะไรๆ ก็เอาเขามาอ้างอยู่นั่น ว่าแต่พี่เถอะ เอะอะก็อคติกับเขา หรือว่าตัวเองก็แอบชอบเขาเหมือนกัน”
นั่นน่ะซินะ ถ้าไม่ใช่เพราะโมโห แกมรำคาญเนื่องจากเหตุการณ์ในร้านอาหาร เธอก็คงไม่คิดจะถามมองก๊กเช่นนี้
“ฉันชอบมองเพราะเขาหล่อ ดูดี แต่ไม่ได้หวังไปไกลเตลิดเหมือนเธอ” ผู้เป็นพี่ยอมรับ “ต่อให้ไม่มีทัศนีย์เข้ามาเกี่ยว แต่คนระดับนั้นในสังคมไทยนะ มันไม่ง่ายที่จะลงเอยด้วยดีเลย”
“ช่าง ฉันไม่มีอะไรกับเขา แค่ต้องทำงานด้วยกันเพราะการร่วมทุนของคอนโร กับเคเอ็มเอ็น”
คำว่า ‘ต้อง’ เน้นชัด พอๆ กับผู้เป็นพี่ที่สวนทันที
“จะให้ฉันจัดการให้มีการถอนทุนไหม จะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างอีก”
“ไม่ได้นะ ทำตามสัญญาซิ” คนเป็นน้องท้วง หากสายตาเหลือบมองเครื่องโทรศัพท์ที่บัดนี้เตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
นิหล่าถอนหายใจ มองข้อความนั่น ที่ส่งมาจากเบอร์ของ…อนรรฆ
ทำงานด้วยกันมาเป็นเดือนๆ เพิ่งจะรู้ว่าเขาก็มีหมายเลขโทรศัพท์ของเธอ ก็วันนี้
มี…แต่ไม่เคยโทรฯ หา ส่วนใหญ่ที่โทรฯ ก็จะเป็นสันติ หรือว่าลูกน้องคนอื่นๆ ของเขาที่เธอร่วมงานด้วย
มาตอนนี้ อนรรฆโทรฯ ถี่ ไม่ต่างจากครั้งโน้นเมื่อหลายปีก่อน ที่เขาเคยโทรฯ หาเมื่อเธอจากไป
…
โทรฯ กลับด่วน ต้องคุยเรื่องงาน กำหนดการจากฮูสตันเปลี่ยน…
เมื่อเขาส่งข้อความมาเช่นนี้ หญิงสาวจึงหลบเข้ามาในห้องนอน หนีมองก๊ก แล้วจำใจ…กดเบอร์ของเขา
ครั้งโน้นที่สิงคโปร์ เธอเคยโทรฯ หาเขา ครั้งแรกและครั้งเดียว ก็ตอนที่รู้ว่าเขากินข้าวกลางวันกับพรพิมล
นิหล่าไม่เคยโทรฯ เรื่องอื่น
ไม่เคยโทรฯ ตาม
เพราะรู้ว่าทุก สิ้นวัน เธอก็จะได้เจอเขา และใช้เวลาด้วยกัน
แต่เขาซิ…หลายครามักจะโทรฯ หาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง จนเธอมักแอบเป็นปลื้มเสมอ
“ค่ะ” เธอกรอกเสียงเนือยๆ เมื่อเขารับสายในเวลานี้
“สะดวกคุยหรือเปล่า”
“มีอะไรก็ว่ามา” หญิงสาวพยายามทำเสียงแข็งเป็นงานเป็นการ
“ผมจะคุยเรื่องงาน ถ้าคู่แข่งของผมอยู่ด้วยก็คงไม่สะดวก ไม่ควร”
“ตอนนี้เขาไม่อยู่”
“ไม่อยู่ตรงนั้น หรือไม่อยู่เลย”
“ก็บอกแล้วว่าไม่อยู่” คำสวนทันควัน
“เขาแอบฟังได้ไหม”
“คุณอนรรฆ”
เสียงลงหนักโดยที่เจ้าตัวไม่ตั้งใจทำให้มองก๊ก ที่เดินตามเข้ามาต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แล้วทำท่าทำทางคาดคั้น สั่งให้วางสาย
“ผมอยู่ที่ล็อบบี้ ลงมาคุยข้างล่างได้ไหม”
คราวนี้คำบอกของเขาทำให้นิหล่าอ้าปากค้าง…ตกใจ
ใครจะคิด…
นิหล่าเห็นมองก๊กทำหน้าผิดหวังเมื่อเธอไม่ยอมวางสาย แล้วจึงหันไปรับโทรศัพท์ของตนที่บัดนี้กำลังส่งเสียงดัง
ทั้งเสียงโทรศัพท์และเสียงของผู้หญิงพูดในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ แว่วมาตามสายทำให้อนรรฆต้องถาม
“นั่น มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอนิหล่า”
“ใช่…” หญิงสาวตอบ ก่อนหันเลิ่กลั่กไปทางพี่ของตน ที่ตอนนี้พยายามจะบอกอะไรบางอย่าง “อยู่กับพี่สาว”
ความอลเวงสับสนเพราะสถานการณ์ตอนนี้ และท่าทีของมองก๊กทำให้นิหล่าบอกไปคนที่อยู่ปลายสายเช่นนั้น
“งั้นเหรอ! ผมไม่กวนดีกว่า” แววเสียงโล่งอก พลางตัดบทเอาดื้อๆ
จนอีกฝ่ายต้องอุทาน “นี่! ไหนว่าจะคุยเรื่องงาน เดี๋ยวลงไปก็ได้”
เพียงแต่ว่าคำบอกของมองก๊กเป็นภาษาพม่าขัดขึ้นเสียงดัง ไม่เพียงทำให้นิหล่าหน้าซีด หากเธอยังรีบกรอกเสียงลงในสาย
“ไม่คุยแล้ว คุณรีบกลับไปซะ กลับไปเดี๋ยวนี้”
ปลายสายของเขาเงียบไป…นาน จนหญิงสาวนึกเสียใจที่พูดไปเช่นนั้น
“คุณอนรรฆ…” คราวนี้เสียงของเธอ…อ่อน กลั้นหายใจเมื่อต้องย้ำอีกครั้ง “อย่ามาที่นี่อีก ดิฉันขอร้อง”
“ผมเข้าใจแล้ว” เขาพึมพำเบาๆ “ขอโทษที่รบกวนเวลาส่วนตัว”
สัญญาณขาดหายไปทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบจากปลายสาย
เมื่อนั้นนิหล่าจึงโยนโทรศัพท์มือถือของตนลงบนเตียง เอาหน้าซุกในฝ่ามือ
ไม่มีเสียงสะอื้น…หากเธอนิ่งไปนาน จนพี่สาวต้องเดินเข้ามากอด
กอด…เช่นตอนที่กอดผู้เป็นน้องเมื่อสามปีก่อน หลังจากนิหล่าร้องไห้เสียใจอย่างที่สุด เพราะเห็นภาพของทัศนีย์และอนรรฆ
(ต่อ)
เพียงครึ่งใจ (บทที่ 22) โดย มานัส
“นนท์เป็นอะไรเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”
พรพิมลย้ำถามตลอดทางตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารหรู จนเกือบถึงบ้านแถวสาทรของเขา
เพียงแต่อนรรฆส่ายหัวท่าเดียว คิ้วเข้มขมวดขึ้น สายตามุ่งอยู่ที่เครื่องโทรศัพท์ คล้ายคนที่กำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เขาไม่ได้เมา พรพิมลรู้
วันนี้ อนรรฆดื่มเยอะ เพราะเธอ…จงใจให้ดื่ม แต่อนรรฆกลับไม่มีทีท่าเมามาย ตรงกันข้าม เขากลับเงียบ ขรึม นิ่งเฉย
แล้วเธอล่ะ?
ถ้าไม่เมาเพราะเหล้า ก็คงเมาอารมณ์…เพราะรัก
“นนท์! แพทถามนนท์อยู่นะ” หญิงสาวเสียงดังลั่น จนคนขับรถของเธอสะดุ้ง “จอดรถ แล้วออกไปรอข้างนอก”
เธอแผดสั่งกับคนขับที่รีบทำตามทันที
“เป็นอะไร!”
เสียงแผดลั่นบัดนี้หันมาถามชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างในตอนหลังของรถยนต์ราคาแพง
“นนท์เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ยังอาวรณ์เด็กใจแตกนั่นเหรอ มันมีดีอะไร!” เพราะโกรธจัดพรพิมลจึงไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ได้อีกต่อไป เงินจากการตายของผู้ชายที่รักเธอ ทำให้เดี๋ยวนี้ หญิงสาวได้ทุกอย่างมาครอบครองง่ายดาย แล้วทำไมแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรัก และเขาก็เคยรักเธอ มันถึงช่างยากเย็น “เด็กนั่นไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับนนท์ เด็กพม่าใจแตก…บินไปหาผู้ชาย ป่านนี้มัน…”
“เรื่องนั้น ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง” เสียงเรียบของเขาตัดบท “แพทเองก็เถอะ บอกให้ลูกเลี้ยงของแพทให้เกียรติทางโน้นด้วย”
คนพูดย่อมรู้ หลายคลายที่ผู้หญิงหลายคนหมดเกียรติ หมดศักดิ์ศรี เพราะ…นิสัยของริชาร์ด
เขารู้ถึงนิสัยใจคอของ ‘คู่แข่ง’ ทั้งจากพรพิมล และจากที่ต้องขบเขี้ยวกันทางธุรกิจ
“ทำไม? เด็กนั่นมีเกียรติอะไร บินไปหาผู้ชาย แต่ดันใจแตก หนีไปอาศัยเกาะติดอยู่กับผู้ชายอีกคน แล้ว…”
“แพท!” แววตาวาววับที่หันมาบอกชัดว่าไม่พอใจ
“ทำไม…พูดถึงไม่ได้เชียวเหรอ”
“ผู้ชายคนที่แพทว่าคือผม แพทเห็นผมเป็นคนแบบไหน”
“แพทไม่ได้ว่านนท์ แต่เด็กนั่น…”
“แพทเปลี่ยนไปมาก” น้ำเสียงเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกเช่นสีหน้า “ผมเสียใจ”
แล้วอนรรฆก็กดมือถือโทรฯ หามาโนช บอกจุดที่กำลังอยู่ ณ ตอนนี้ แล้วกำชับ
“มารับเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้น เขาก็เปิดประตูของรถราคาแพง แล้วก้าวลง ไม่สนใจเสียงเรียกจากด้านหลัง แล้วสาวเท้าก้าวยาวเดินไปยังความมืดของท้องถนน ที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟริมทาง
“นนท์!” เสียงของพรพิมลยังไล่หลังมาหลายครั้ง “เด็กพม่านั่นหลงริชาร์ดขนาดนี้ นนท์คิดเหรอว่า เด็กนั่นจะยังมีใจให้นนท์”
ทว่าอนรรฆต้องคิด
คลาดแคล้วจริงแล้วเจ้าพี่เอ๋ย
เสียแรงหวังมาเชยเฉลิมศรี
เปลวเสน่ห์ดับพลันแต่วันนี้
จะต้องมีแต่หนาวร้าววิญญาณ์ฯ
เพียงแต่เขาไม่ได้คิดถึง…เปลวเสน่ห์ที่ดับไปเพราะพรพิมลเมื่อนานมาแล้ว
ใจ…ของเขาคิดถึงเพียงนิหล่า
คิดถึง…เมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าเธอจะลาลับ หนีหายจากไป
บัดนี้เขาก็ยัง…คิดถึง
คิดเรื่องนิหล่ากับริชาร์ด
คิด…จนบัดนี้เขาคนไม่ต่างจากคนบ้าริมท้องถนน ที่มุ่งเดินเพียงลำพังในความมืด เพราะความคิดมากมาย ที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้
ฤา จากนี้ไปคงต้อง…หนาวร้าววิญญาณ์ เสียแล้ว
ไฟจากเครื่องโทรศัพท์มือถือยังคงกระพริบแม้เมื่อปิดเสียง นิหล่าได้แต่ถอนหายใจ หากตัดสินใจไม่รับสายเหมือนช่วงเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา จนกระทั่งมองก๊กที่มากรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมและอยู่กับเธอสองสามวันต้องถาม
“ใคร โทรฯ มาดึกขนาดนี้”
หากนิหล่าไม่ตอบ เพียงแค่ยักไหล่
“ผู้ชายที่มาส่งเมื่อครู่เหรอ บริษัทน้ำมันจากฝรั่งเศสใช่ไหม ระวังนะ ถ้าอองเมียทตูรู้ ทั้งไทย อเมริกัน สิงคโปร์ ฝรั่งเศส จะชวดสัปทานกันหมด”
“รู้ก็ดี จะได้จบๆ เสียที”
“อ้าว…” ผู้เป็นพี่ทำเสียงประหลาดใจ ใครจะคิด แล้วถามในเรื่องที่ท่านคาดคั้นนักหนา “ตกลงเรื่องแต่งงานกับอองเมียทตู”
“ก็บอกแล้วว่าไม่แต่ง” คำยืนยันนั่นยังคงชัดเจนแกมหงุดหงิด เหมือนเช่นสามปีกว่าโน้น “ฟังไม่รู้เรื่องกันหรือไง ฉันไม่ได้รักอองเมียทตูแบบนั้น ไม่แต่ง! ถ้าใครถามอีกฉันจะหนีไปบวช คอยดู”
“แหม…ถ้าได้อย่างนั้นล่ะจะอนุโมทนา แต่อย่าไปยุ่งกับคุณอนรรฆก็แล้วกัน”
“อะไรๆ ก็เอาเขามาอ้างอยู่นั่น ว่าแต่พี่เถอะ เอะอะก็อคติกับเขา หรือว่าตัวเองก็แอบชอบเขาเหมือนกัน”
นั่นน่ะซินะ ถ้าไม่ใช่เพราะโมโห แกมรำคาญเนื่องจากเหตุการณ์ในร้านอาหาร เธอก็คงไม่คิดจะถามมองก๊กเช่นนี้
“ฉันชอบมองเพราะเขาหล่อ ดูดี แต่ไม่ได้หวังไปไกลเตลิดเหมือนเธอ” ผู้เป็นพี่ยอมรับ “ต่อให้ไม่มีทัศนีย์เข้ามาเกี่ยว แต่คนระดับนั้นในสังคมไทยนะ มันไม่ง่ายที่จะลงเอยด้วยดีเลย”
“ช่าง ฉันไม่มีอะไรกับเขา แค่ต้องทำงานด้วยกันเพราะการร่วมทุนของคอนโร กับเคเอ็มเอ็น”
คำว่า ‘ต้อง’ เน้นชัด พอๆ กับผู้เป็นพี่ที่สวนทันที
“จะให้ฉันจัดการให้มีการถอนทุนไหม จะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างอีก”
“ไม่ได้นะ ทำตามสัญญาซิ” คนเป็นน้องท้วง หากสายตาเหลือบมองเครื่องโทรศัพท์ที่บัดนี้เตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
นิหล่าถอนหายใจ มองข้อความนั่น ที่ส่งมาจากเบอร์ของ…อนรรฆ
ทำงานด้วยกันมาเป็นเดือนๆ เพิ่งจะรู้ว่าเขาก็มีหมายเลขโทรศัพท์ของเธอ ก็วันนี้
มี…แต่ไม่เคยโทรฯ หา ส่วนใหญ่ที่โทรฯ ก็จะเป็นสันติ หรือว่าลูกน้องคนอื่นๆ ของเขาที่เธอร่วมงานด้วย
มาตอนนี้ อนรรฆโทรฯ ถี่ ไม่ต่างจากครั้งโน้นเมื่อหลายปีก่อน ที่เขาเคยโทรฯ หาเมื่อเธอจากไป
…โทรฯ กลับด่วน ต้องคุยเรื่องงาน กำหนดการจากฮูสตันเปลี่ยน…
เมื่อเขาส่งข้อความมาเช่นนี้ หญิงสาวจึงหลบเข้ามาในห้องนอน หนีมองก๊ก แล้วจำใจ…กดเบอร์ของเขา
ครั้งโน้นที่สิงคโปร์ เธอเคยโทรฯ หาเขา ครั้งแรกและครั้งเดียว ก็ตอนที่รู้ว่าเขากินข้าวกลางวันกับพรพิมล
นิหล่าไม่เคยโทรฯ เรื่องอื่น
ไม่เคยโทรฯ ตาม
เพราะรู้ว่าทุก สิ้นวัน เธอก็จะได้เจอเขา และใช้เวลาด้วยกัน
แต่เขาซิ…หลายครามักจะโทรฯ หาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง จนเธอมักแอบเป็นปลื้มเสมอ
“ค่ะ” เธอกรอกเสียงเนือยๆ เมื่อเขารับสายในเวลานี้
“สะดวกคุยหรือเปล่า”
“มีอะไรก็ว่ามา” หญิงสาวพยายามทำเสียงแข็งเป็นงานเป็นการ
“ผมจะคุยเรื่องงาน ถ้าคู่แข่งของผมอยู่ด้วยก็คงไม่สะดวก ไม่ควร”
“ตอนนี้เขาไม่อยู่”
“ไม่อยู่ตรงนั้น หรือไม่อยู่เลย”
“ก็บอกแล้วว่าไม่อยู่” คำสวนทันควัน
“เขาแอบฟังได้ไหม”
“คุณอนรรฆ”
เสียงลงหนักโดยที่เจ้าตัวไม่ตั้งใจทำให้มองก๊ก ที่เดินตามเข้ามาต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แล้วทำท่าทำทางคาดคั้น สั่งให้วางสาย
“ผมอยู่ที่ล็อบบี้ ลงมาคุยข้างล่างได้ไหม”
คราวนี้คำบอกของเขาทำให้นิหล่าอ้าปากค้าง…ตกใจ
ใครจะคิด…
นิหล่าเห็นมองก๊กทำหน้าผิดหวังเมื่อเธอไม่ยอมวางสาย แล้วจึงหันไปรับโทรศัพท์ของตนที่บัดนี้กำลังส่งเสียงดัง
ทั้งเสียงโทรศัพท์และเสียงของผู้หญิงพูดในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ แว่วมาตามสายทำให้อนรรฆต้องถาม
“นั่น มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอนิหล่า”
“ใช่…” หญิงสาวตอบ ก่อนหันเลิ่กลั่กไปทางพี่ของตน ที่ตอนนี้พยายามจะบอกอะไรบางอย่าง “อยู่กับพี่สาว”
ความอลเวงสับสนเพราะสถานการณ์ตอนนี้ และท่าทีของมองก๊กทำให้นิหล่าบอกไปคนที่อยู่ปลายสายเช่นนั้น
“งั้นเหรอ! ผมไม่กวนดีกว่า” แววเสียงโล่งอก พลางตัดบทเอาดื้อๆ
จนอีกฝ่ายต้องอุทาน “นี่! ไหนว่าจะคุยเรื่องงาน เดี๋ยวลงไปก็ได้”
เพียงแต่ว่าคำบอกของมองก๊กเป็นภาษาพม่าขัดขึ้นเสียงดัง ไม่เพียงทำให้นิหล่าหน้าซีด หากเธอยังรีบกรอกเสียงลงในสาย
“ไม่คุยแล้ว คุณรีบกลับไปซะ กลับไปเดี๋ยวนี้”
ปลายสายของเขาเงียบไป…นาน จนหญิงสาวนึกเสียใจที่พูดไปเช่นนั้น
“คุณอนรรฆ…” คราวนี้เสียงของเธอ…อ่อน กลั้นหายใจเมื่อต้องย้ำอีกครั้ง “อย่ามาที่นี่อีก ดิฉันขอร้อง”
“ผมเข้าใจแล้ว” เขาพึมพำเบาๆ “ขอโทษที่รบกวนเวลาส่วนตัว”
สัญญาณขาดหายไปทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบจากปลายสาย
เมื่อนั้นนิหล่าจึงโยนโทรศัพท์มือถือของตนลงบนเตียง เอาหน้าซุกในฝ่ามือ
ไม่มีเสียงสะอื้น…หากเธอนิ่งไปนาน จนพี่สาวต้องเดินเข้ามากอด
กอด…เช่นตอนที่กอดผู้เป็นน้องเมื่อสามปีก่อน หลังจากนิหล่าร้องไห้เสียใจอย่างที่สุด เพราะเห็นภาพของทัศนีย์และอนรรฆ
(ต่อ)