อัซสลามุอาลัยกุมว่าเราะห์มาตุ้ลลอฮิวาบารอกาตุห์
ผมมีความน่ารักมาฝากครับ ดังบทความบทนี้ เอามาแชร์กัน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
สังคมที่มีความหลากหลาย
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
“จงยำเกรงอัลลอฮ.และจงสร้างไมตรีต่อกันเถิด”
การเป็นอยู่ร่วมกันในสังคมหลากหลายทางศาสนา และวัฒนธรรมอย่างมีสันติสุขนั้น ทุกคนจะต้องอยู่ด้วยกัน การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แม้จะต่างศาสนากันก็จะดูหมิ่นดูแคลนกันไม่ได้ การดูหมิ่นดูแคลน หรือ การบริภาษระหว่างผู้นับถือศาสนาต่างกัน ถือเป็นข้อห้ามประการหนึ่งที่มีบัญญัติในอัล-กุรอานอย่างชัดเจน นั้นคือ
ซูเราะห์อัลอาม 108 ความว่า : “และพวกเจ้าอย่าได้บริภาษบุคคลที่นับถืออื่น จากอัลลอฮ. อันเป็นเหตุให้พวกเขาบริภาษอัลลอฮ. เป็นการสร้างศัตรู โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์” บริบทแห่งคำสอนของอิสลาม จะต้องนำมาจากภารกิจของท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. และภารกิจของท่านไม่ได้มาเผยแพร่อิสลามแก่คนเผ่าใดเผ่าหนึ่งโดยเฉพาะ หากท่านมาเพื่อแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลกทั้งปวง อัล-กุรอานบัญญัติไว้ ความว่า : .... “และเราไม่ได้สั่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเป็นเมตตาธรรมแก่ชาวโลกทั้งปวง”(อัลบิยาอฺ 107)
ดังนั้นการคบหาสมาคมระหว่างคนนับถือศาสนาต่างกัน จึงเป็นภารกิจหนึ่งที่เราจะต้องนำมาปฏิบัติอย่างประณีตด้วยมารยาทอิสลาม เช่น ความสุภาพ อ่อนโยน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนที่นับถือศาสนาอื่น มิใช่เอื้อเฟื้อ แต่เฉพาะมุสลิมด้วยกันเอง
มีบันทึกหนึ่งรายงานโดยอาบูดาวุด และตารมีซี ระบุว่า “ท่านอิบนิอุมัร มีเพื่อนบ้านที่เป็นยิวอยู่คนหนึ่ง เมื่อเขาเชือดแพะ เพื่อทำอาหารรับประทานเขาจะสั่งคนของเขาว่า จงแบ่งเนื้อบางส่วนแล้วนำไปมอบแก่เพื่อนบ้านตนนั้นด้วย”
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
การให้เกียรติแก่เพื่อนมนุษย์ ก็เป็นภารกิจที่เราพึงกระทำเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วเราก็ต้องให้เกียรติเขาด้วยวิธีการที่ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมของเรา เหมือนกับที่เราทราบกันดีว่าท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืน ให้เกียรติแก่ศพยิวที่มีคนหามเดินผ่านมา แม้มีสหายบางคนจะเรียกให้ท่านทราบว่า ศพนั้นเป็นยิว ท่านนบี ก็ยังตอบรับว่า เขามิใช่บ่าวของอัลลอฮ. ซุบฮานาฮูวา ตาอาลา ดอกหรือ ?
หากคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม จะมีมิตรจิตต่อกันอย่างบริสุทธิ์ มีการให้เกียรติ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่กันและกัน ดังที่ผู้นำมุสลิมในอดีตได้กระทำ สังคมของเราก็จะเป็นสังคมที่มี แต่ความสันติสุขอย่างยั่งยืน
แม้คนในสังคมจะนับถือศาสนาต่างกัน แต่ฐานะหนึ่ง ที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย คือฐานะที่ทุกคนเป็นบ่าวของอัลลอฮ. ซุบฮานาฮูวา ตาอาลา, อัลลอฮ.ได้สร้างคนทุกคนและทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายทั้งในด้านศาสนา วัฒนธรรม เผ่าพันธุ์ ภาษา อาชีพ ก็เพื่อนมนุษย์จะได้ทำความรู้จักต่อกันและกัน ต้องแสดงความเมตตาซึ่งกันและกัน ต้องให้เกียรติในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกัน
เพียงเป็นมนุษย์เขาก็ต้องได้รับเกียรติ ดังที่อัล-กุรอานได้บัญญัติไว้ ในซูเราะห์ อัสร๊ออ. 70 ความว่า : “โดยแท้จริงเราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานอาดัม คือ มนุษย์ทุกคน(มิใช่ให้เกียรติ เฉพาะชนชาติใด) อัลลอฮ.ได้รับรองด้วยบัญชาของพระองค์เอง ในอัล-กรุอาน จึงต้องเตือนใจแก่คนทุกคนจะต้องยึดมั่นในคำบัญชานี้ เมื่ออัลลอฮ. ได้ให้เกียรติแก่ทุกคน มนุษย์ก็ต้องให้เกียรติแก่กันและกันด้วย”

ชมรมมุสลิมเพื่อสันติภาพไม่นิยมความรุนแรง
http://www.facebook.com/groups/492824780735210/

ชาต ศาสนา ชาติพันธ์ ไม่สามารถแบ่งแยกความเป็นคนไปได้
อัซสลามุอาลัยกุมว่าเราะห์มาตุ้ลลอฮิวาบารอกาตุห์
ผมมีความน่ารักมาฝากครับ ดังบทความบทนี้ เอามาแชร์กัน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
สังคมที่มีความหลากหลาย
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
“จงยำเกรงอัลลอฮ.และจงสร้างไมตรีต่อกันเถิด”
การเป็นอยู่ร่วมกันในสังคมหลากหลายทางศาสนา และวัฒนธรรมอย่างมีสันติสุขนั้น ทุกคนจะต้องอยู่ด้วยกัน การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แม้จะต่างศาสนากันก็จะดูหมิ่นดูแคลนกันไม่ได้ การดูหมิ่นดูแคลน หรือ การบริภาษระหว่างผู้นับถือศาสนาต่างกัน ถือเป็นข้อห้ามประการหนึ่งที่มีบัญญัติในอัล-กุรอานอย่างชัดเจน นั้นคือ
ซูเราะห์อัลอาม 108 ความว่า : “และพวกเจ้าอย่าได้บริภาษบุคคลที่นับถืออื่น จากอัลลอฮ. อันเป็นเหตุให้พวกเขาบริภาษอัลลอฮ. เป็นการสร้างศัตรู โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์” บริบทแห่งคำสอนของอิสลาม จะต้องนำมาจากภารกิจของท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. และภารกิจของท่านไม่ได้มาเผยแพร่อิสลามแก่คนเผ่าใดเผ่าหนึ่งโดยเฉพาะ หากท่านมาเพื่อแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลกทั้งปวง อัล-กุรอานบัญญัติไว้ ความว่า : .... “และเราไม่ได้สั่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเป็นเมตตาธรรมแก่ชาวโลกทั้งปวง”(อัลบิยาอฺ 107)
ดังนั้นการคบหาสมาคมระหว่างคนนับถือศาสนาต่างกัน จึงเป็นภารกิจหนึ่งที่เราจะต้องนำมาปฏิบัติอย่างประณีตด้วยมารยาทอิสลาม เช่น ความสุภาพ อ่อนโยน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนที่นับถือศาสนาอื่น มิใช่เอื้อเฟื้อ แต่เฉพาะมุสลิมด้วยกันเอง
มีบันทึกหนึ่งรายงานโดยอาบูดาวุด และตารมีซี ระบุว่า “ท่านอิบนิอุมัร มีเพื่อนบ้านที่เป็นยิวอยู่คนหนึ่ง เมื่อเขาเชือดแพะ เพื่อทำอาหารรับประทานเขาจะสั่งคนของเขาว่า จงแบ่งเนื้อบางส่วนแล้วนำไปมอบแก่เพื่อนบ้านตนนั้นด้วย”
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
การให้เกียรติแก่เพื่อนมนุษย์ ก็เป็นภารกิจที่เราพึงกระทำเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วเราก็ต้องให้เกียรติเขาด้วยวิธีการที่ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมของเรา เหมือนกับที่เราทราบกันดีว่าท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืน ให้เกียรติแก่ศพยิวที่มีคนหามเดินผ่านมา แม้มีสหายบางคนจะเรียกให้ท่านทราบว่า ศพนั้นเป็นยิว ท่านนบี ก็ยังตอบรับว่า เขามิใช่บ่าวของอัลลอฮ. ซุบฮานาฮูวา ตาอาลา ดอกหรือ ?
หากคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม จะมีมิตรจิตต่อกันอย่างบริสุทธิ์ มีการให้เกียรติ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่กันและกัน ดังที่ผู้นำมุสลิมในอดีตได้กระทำ สังคมของเราก็จะเป็นสังคมที่มี แต่ความสันติสุขอย่างยั่งยืน
แม้คนในสังคมจะนับถือศาสนาต่างกัน แต่ฐานะหนึ่ง ที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย คือฐานะที่ทุกคนเป็นบ่าวของอัลลอฮ. ซุบฮานาฮูวา ตาอาลา, อัลลอฮ.ได้สร้างคนทุกคนและทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายทั้งในด้านศาสนา วัฒนธรรม เผ่าพันธุ์ ภาษา อาชีพ ก็เพื่อนมนุษย์จะได้ทำความรู้จักต่อกันและกัน ต้องแสดงความเมตตาซึ่งกันและกัน ต้องให้เกียรติในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกัน
เพียงเป็นมนุษย์เขาก็ต้องได้รับเกียรติ ดังที่อัล-กุรอานได้บัญญัติไว้ ในซูเราะห์ อัสร๊ออ. 70 ความว่า : “โดยแท้จริงเราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานอาดัม คือ มนุษย์ทุกคน(มิใช่ให้เกียรติ เฉพาะชนชาติใด) อัลลอฮ.ได้รับรองด้วยบัญชาของพระองค์เอง ในอัล-กรุอาน จึงต้องเตือนใจแก่คนทุกคนจะต้องยึดมั่นในคำบัญชานี้ เมื่ออัลลอฮ. ได้ให้เกียรติแก่ทุกคน มนุษย์ก็ต้องให้เกียรติแก่กันและกันด้วย”
ชมรมมุสลิมเพื่อสันติภาพไม่นิยมความรุนแรง

http://www.facebook.com/groups/492824780735210/