ประมวลวิธีพิจารณาความโดยภริยา
มาตรา ๑ ประมวลนี้ให้เรียกว่า "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาโดยภริยา"
มาตรา ๒ ตั้งแต่วันใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความโดยภริยานี้สืบไป ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในประมวลกฎหมายนี้ หรือซึ่งแย้งกับบทแห่งประมวลกฎหมายนี้
ภาค ๑ บททั่วไป ลักษณะ ๑ บทวิเคราะห์ศัพท์
มาตรา ๑ ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็น อย่างอื่น
(๑) ภริยา หมายความว่า สถานะของผู้เสียหาย โจทก์ อันเป็นผู้ซึ่งกระทำหน้าที่ สืบสวนสอบสวน และ ทำการพิพากษา
(๒) จำเลย หมายความว่า สถานะของสามีตามกฎหมาย ภายหลัวถูกภริยาจับได้ว่ากระทำความผิดหรือ มีเหตุเชื่อได้ว่ากระทำความผิด
ภาค ๒ สอบสวน
หมวด การใช้กฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความโดยภริยา
มาตรา ๒ บทบังคับนี้ใช้ได้ ภายหลังการจดทะเบียนสมรสแล้วเท่านั้น
มาตรา ๓ จำเลยกระทำความผิด ภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายนี้
มาตรา ๔ บทบัญญัติในภาค ๑ แห่งประมวลกฎหมายนี้ มิให้ใช้บทลงโทษในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่น
หมวด อำนาจสืบสวนสอบสวน และ อำนาจพิจารณา
มาตรา ๕ ภริยามีอำนาจทำการ สืบสวนได้
มาตรา ๖ เมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้น ให้สอบสวน และชำระความที่บ้าน
การสอบสวนนอกบ้านกระะทำไม่ได้ เว้นแต่จำเลยนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๗
มาตรา ๗ ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็น กำลังกระทำ หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขา ได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ
มาตรา ๘ เมื่อจำเลยกระทำความผิดและถูกภริยาจับได้ ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของจำเลยว่าตนได้กระทำความผิด ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และคำรับสารภาพของจำเลยจะไม่เป็นผลต่อการลดโทษใดๆทั้งสิ้น
มาตรา ๙ ไม่กำหนดระยะเวลาในการควบคุมจำเลย
หากจำเลยร้องขอปล่อยชั่วคราว ใช้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ภริยา
มาตรา ๑๐ จำเลยจะไม่มีสิทธิ์ให้เพื่อน หรือ ทนาย แก้ต่างได้.
มาตรา ๑๐/๑ โจทก์ มีอำนาจในการค้น โดยไม่มีหมายค้น
มาตรา ๑๐/๒ โจทก์ มีอำนาจในการยึดทรัพย์ที่ถูกค้นเจอ โดยไม่มีการไต่สวน
ภาค ๓ วิธีพิจารณา
หมวด การพิจารณา
มาตรา ๑๑ การพิจารณาและสืบพยาน ให้ทำต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๒ ห้ามจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน ในการสืบพยาน
มาตรา ๑๓ ห้ามจำเลยอ้างเอาอายุความเป็นคุณ แก่จำเลย
มาตรา ๑๔ เมื่อโจทก์ทำการสืบพยานเสร็จแล้ว ศาลมีอำนาจยกคดีความเก่าเพื่อประกอบ การวินิจฉัยได้
หมวด คำสั่ง
มาตรา ๑๕ คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ได้ตัดสิน เป็นต้นไป
มาตรา ๑๖ ห้ามมีข้อสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาหรือ คำสั่ง
มาตรา ๑๗ ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดใดๆก็ได้
มาตรา ๑๘ ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่าง อาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลย เกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องก็ได้
มาตรา ๑๙ การลงโทษจำเลย
(๑)การกักบริเวณ โจทก์สามารถยื่นคำร้องขยายเวลากักบริเวณได้ โดยแจ้งให้ จำเลยทราบ
(๒)การยึดทรัพย์สิน โจทก์กระทำได้ทุกกรณี แต่ต้องให้ค่าครองชีพจำเลยตามฐานานุรูป
(๓)ต่อชื่อเสียง โจทก์สามารถยกจำเลยเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นวิทยาทานแก่เพื่อนโจทก์ได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
(๔)การลงโทษต่อร่างกาย โจทก์สามารถกระทำการ ได้แก่ ทุบ ตี กัด หยิก ข่วน เท่านั้น ไม่รวมการใช้ของมีคม ตัด เชือด เฉือน หั่น สับ
การลงโทษต่อร่างกายจำเลยเกินกว่าบัญญัตินี้ โจทก์จะถูกดำเนินคดีอาญา
ภาค ๔ อุทธรณ์และฎีกา
ยกเลิก
ภาค ๕ พยานหลักฐาน
หมวด หลักทั่วไป
มาตรา ๒๕ พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่า จะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิด ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่อาจเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจาก การจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ บังคับ หรือโดยมิชอบประการอื่นและให้สืบตามบท บัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
มาตรา ๒๖ สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่น ๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลย เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดี ไม่ห้ามการนำสืบพยานหลักฐานดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบดุลพินิจ ในการกำหนดโทษหรือเพิ่มโทษ
มาตรา ๒๗ ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความ หรือที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งอ้างเป็นพยานหลักฐาน หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า รับฟังพยานได้
มาตรา ๒๘ ระหว่างพิจารณา จำเลยไม่สามารถร้องขอให้สืบพยานเพิ่มเติมได้
ภาค ๖ อภัยโทษ เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษ
ยกเลิก
**************
เรียนกฎหมายแล้วถึงรู้ว่า มี ป.วิ.ภริยา บังคับใช้อยู่ เลยCopy มาให้อ่านกันครับ
มาตรา ๑ ประมวลนี้ให้เรียกว่า "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาโดยภริยา"
มาตรา ๒ ตั้งแต่วันใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความโดยภริยานี้สืบไป ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในประมวลกฎหมายนี้ หรือซึ่งแย้งกับบทแห่งประมวลกฎหมายนี้
ภาค ๑ บททั่วไป ลักษณะ ๑ บทวิเคราะห์ศัพท์
มาตรา ๑ ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็น อย่างอื่น
(๑) ภริยา หมายความว่า สถานะของผู้เสียหาย โจทก์ อันเป็นผู้ซึ่งกระทำหน้าที่ สืบสวนสอบสวน และ ทำการพิพากษา
(๒) จำเลย หมายความว่า สถานะของสามีตามกฎหมาย ภายหลัวถูกภริยาจับได้ว่ากระทำความผิดหรือ มีเหตุเชื่อได้ว่ากระทำความผิด
ภาค ๒ สอบสวน
หมวด การใช้กฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความโดยภริยา
มาตรา ๒ บทบังคับนี้ใช้ได้ ภายหลังการจดทะเบียนสมรสแล้วเท่านั้น
มาตรา ๓ จำเลยกระทำความผิด ภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายนี้
มาตรา ๔ บทบัญญัติในภาค ๑ แห่งประมวลกฎหมายนี้ มิให้ใช้บทลงโทษในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่น
หมวด อำนาจสืบสวนสอบสวน และ อำนาจพิจารณา
มาตรา ๕ ภริยามีอำนาจทำการ สืบสวนได้
มาตรา ๖ เมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้น ให้สอบสวน และชำระความที่บ้าน
การสอบสวนนอกบ้านกระะทำไม่ได้ เว้นแต่จำเลยนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๗
มาตรา ๗ ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็น กำลังกระทำ หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขา ได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ
มาตรา ๘ เมื่อจำเลยกระทำความผิดและถูกภริยาจับได้ ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของจำเลยว่าตนได้กระทำความผิด ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และคำรับสารภาพของจำเลยจะไม่เป็นผลต่อการลดโทษใดๆทั้งสิ้น
มาตรา ๙ ไม่กำหนดระยะเวลาในการควบคุมจำเลย
หากจำเลยร้องขอปล่อยชั่วคราว ใช้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ภริยา
มาตรา ๑๐ จำเลยจะไม่มีสิทธิ์ให้เพื่อน หรือ ทนาย แก้ต่างได้.
มาตรา ๑๐/๑ โจทก์ มีอำนาจในการค้น โดยไม่มีหมายค้น
มาตรา ๑๐/๒ โจทก์ มีอำนาจในการยึดทรัพย์ที่ถูกค้นเจอ โดยไม่มีการไต่สวน
ภาค ๓ วิธีพิจารณา
หมวด การพิจารณา
มาตรา ๑๑ การพิจารณาและสืบพยาน ให้ทำต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๒ ห้ามจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน ในการสืบพยาน
มาตรา ๑๓ ห้ามจำเลยอ้างเอาอายุความเป็นคุณ แก่จำเลย
มาตรา ๑๔ เมื่อโจทก์ทำการสืบพยานเสร็จแล้ว ศาลมีอำนาจยกคดีความเก่าเพื่อประกอบ การวินิจฉัยได้
หมวด คำสั่ง
มาตรา ๑๕ คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ได้ตัดสิน เป็นต้นไป
มาตรา ๑๖ ห้ามมีข้อสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาหรือ คำสั่ง
มาตรา ๑๗ ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดใดๆก็ได้
มาตรา ๑๘ ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่าง อาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลย เกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องก็ได้
มาตรา ๑๙ การลงโทษจำเลย
(๑)การกักบริเวณ โจทก์สามารถยื่นคำร้องขยายเวลากักบริเวณได้ โดยแจ้งให้ จำเลยทราบ
(๒)การยึดทรัพย์สิน โจทก์กระทำได้ทุกกรณี แต่ต้องให้ค่าครองชีพจำเลยตามฐานานุรูป
(๓)ต่อชื่อเสียง โจทก์สามารถยกจำเลยเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นวิทยาทานแก่เพื่อนโจทก์ได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
(๔)การลงโทษต่อร่างกาย โจทก์สามารถกระทำการ ได้แก่ ทุบ ตี กัด หยิก ข่วน เท่านั้น ไม่รวมการใช้ของมีคม ตัด เชือด เฉือน หั่น สับ
การลงโทษต่อร่างกายจำเลยเกินกว่าบัญญัตินี้ โจทก์จะถูกดำเนินคดีอาญา
ภาค ๔ อุทธรณ์และฎีกา
ยกเลิก
ภาค ๕ พยานหลักฐาน
หมวด หลักทั่วไป
มาตรา ๒๕ พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่า จะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิด ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่อาจเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจาก การจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ บังคับ หรือโดยมิชอบประการอื่นและให้สืบตามบท บัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
มาตรา ๒๖ สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่น ๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลย เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดี ไม่ห้ามการนำสืบพยานหลักฐานดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบดุลพินิจ ในการกำหนดโทษหรือเพิ่มโทษ
มาตรา ๒๗ ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความ หรือที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งอ้างเป็นพยานหลักฐาน หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า รับฟังพยานได้
มาตรา ๒๘ ระหว่างพิจารณา จำเลยไม่สามารถร้องขอให้สืบพยานเพิ่มเติมได้
ภาค ๖ อภัยโทษ เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษ
ยกเลิก
**************