มองอนาคตเศรษฐกิจเอเชีย อาเซียน ไทย สไตล์เจ้าสัวซีพี

เจ้าสัวซีพี “ธนินท์ เจียรวนนท์”เผยเคล็ดลับลงทุนให้ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เลือกลงทุนในประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก หาพันธมิตรทางธุรกิจ เสริมศักยภาพและเครือข่าย ใช้เทคโนโลยีทันสมัยช่วยลดต้นทุน ย้ำในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ
       นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ มองอนาคตเศรษฐกิจเอเชีย อาเซียน และไทยว่า หากจะมองเศรษฐกิจโลกในวันนี้ จะเห็นว่าสภาพเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มฟื้นแล้ว ดังนั้น ถ้าใครคิดจะไปลงทุนอะไรที่อเมริกาจะต้องรีบ เพราะถ้าเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มฟื้นขึ้นเมื่อไหร่ต้องระวังเรื่องเงินจะไหลกลับอเมริกา
       สำหรับเศรษฐกิจยุโรปนั้นแม้ปัจจุบันยังไม่ฟื้น แต่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นอย่างแน่นอน เพียงแต่รอเวลาว่าจะช้าหรือสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อมีวิกฤติก็ย่อมจะตามมาด้วยโอกาส ถ้าไม่มีวิกฤติก็ไม่มีโอกาส ฉะนั้น ฉะนั้นต้องสนใจในวิกฤติที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
       ทางซีพีนั้นก็ศึกษาเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว โดยเข้าไปถือหุ้นบ้างหรือไปควบรวบธุรกิจบ้าง ทั้งนี้นโยบายของผมคงไม่ใช่ว่าเราจะเข้าไปบริหารในธุรกิจนั้น ๆ แต่อย่างใด แต่เราเลือกบริษัทที่มีความสามารถ แล้วเข้าไปถือหุ้น ซึ่งได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ ทางหนึ่งเราไปอาศัยที่เขามีเครือข่ายอยู่เพื่อนำสินค้าของไทยไปผ่านทางเครือข่ายของเขาเข้าสู่ตลาดยุโรปหรืออเมริกา อีกทางหนึ่งเราก็จะได้ความรู้จากบริษัทที่มีประสบการณ์มีความสามารถ นำไปใช้ในประเทศที่กำลังพัฒนา
       อย่างเช่น ซีพีมีการลงทุน 15 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ตรงนี้ถือเป็นโอกาส ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่มีโอกาสอะไรให้เข้าไปลงทุน หากเข้าไปลงทุนก็ต้องไปแข่งขันกับนักธุรกิจที่สำเร็จแล้วในแต่ละธุรกิจ ซึ่งต้องใช้พลังมากแล้วอาจจะไม่มีกำไรหรือขาดทุน
       จากประสบการณ์นั้น นายธนินท์ กล่าวว่า ต้องนำธุรกิจที่มีเทคโนโลยี ธุรกิจที่ทันสมัยที่สุดเข้าไปลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ก็มีข้อควรระวังประการหนึ่งคือประเทศที่กำลังพัฒนานั้นทุกอย่างเขายังไม่พร้อม ในความสำเร็จของซีพีนั้นถ้าจะไปลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา ต้องไปลงทุนเพื่อทำทุกอย่างให้พร้อม โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาช่วยทำความพร้อมให้ เพราะถ้ารอไปก็อาจเสียเวลา มิฉะนั้น จะขาดทุนแน่นอน
       “นั่นคือ โอกาส และคือวิกฤติ ซึ่งวิกฤติโอกาสเป็นของคู่กัน สำหรับผมนั้นคิดเสมอว่าพอมีโอกาสมา วิกฤติจะตามมา มีหวานก็ต้องมีขม ถ้าวันนี้เราเจริญรุ่งเรือง จะต้องระวังว่าวันข้างหน้าจะต้องมีปัญหาแน่นอน“ นายธนินท์กล่าว
       ฉะนั้นวิกฤติที่เกิดขึ้น ยุโรป อเมริกา จึงเป็นโอกาสที่ดีกับเอเชีย เนื่องจากปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลง เอเชียเริ่มมีเงินทุนสะสม อย่างเช่น ประเทศจีนเมื่อ 30 กว่าปี ไม่มีเงินต่างประเทศ แต่วันนี้ประเทศจีนมีเงินทุนสะสมไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นที่ 1 ของโลกภายในเวลาเพียง 33 ปี
       ในประเทศจีนที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 63 ปี ผมเชื่อมั่นว่าจากนี้ไปอีก 10 ปี เศรษฐกิจของจีนจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวของการเติบโตในช่วง 63 ปีที่ผ่านมา เพราะในเวลานี้จีนพร้อมทุกอย่าง
       ในเรื่องการพาณิชย์ในจีนนั้น เพิ่งเติบโตมาได้ 10 กว่าปีเท่านั้น ทั้งนี้เพราะในอดีตจีนไม่มีนักธุรกิจ แต่ปรากฏว่าธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ของเมืองจีนมาจากธุรกิจที่มีอายุเพียง 16 -17 ปี แสดงว่าจีนใช้เวลาเพียง 16 - 17 ปีก็สามารถสร้างภาคธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ในระดับโลกได้
       หากจะกล่าวถึงด้านการค้าปลีกของจีน จะเห็นว่า จีนเพิ่งเริ่มมาแค่ 10 กว่าปีเท่านั้น หากเทียบกับประเทศไทยถือว่ายังห่างไกลกันอยู่ ส่วนด้านการค้าระหว่างประเทศนั้นจีนก็เพิ่งเริ่ม ฉะนั้นจึงอยู่ที่ความสามารถของเรา โดยควรจะเอาความได้เปรียบที่มีความชำนาญ และมีความเข้าใจไปลงทุน เพราะวันนี้ไม่ใช่ว่ามีเงินก็จะไปลงทุนได้
       ดังนั้น สำหรับเอเชียซึ่งมี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย นั้น เชื่อมั่นว่าจีนเป็นผู้นำอย่างแน่นอน โดยเฉพาะภายใต้การนำของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งมีประสบการณ์จากการได้เห็นความสำเร็จในหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมาของประเทศจีนเอง ที่สำคัญเวลานี้จีนมีความพร้อมทุกอย่าง เมื่อ 33 ปีก่อนที่ผมมีโอกาสไปจีน ถ้าเปรียบเหมือนคนที่เพิ่งเกิดในตอนนั้นเวลานี้ก็อายุ 33 ปี และถ้าตอนนั้นเขาอายุ 7 ขวบ ตอนนี้ก็ 40 ปี นี่คือความพร้อมเรื่องคน เงิน



       นอกจากนี้ ยังมีสนามบิน รถไฟใต้ดิน รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำชุดใหม่ก็มีความพร้อม เพราะฉะนั้นนี่เป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับเข้าไปลงทุนในจีน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปลงทุนอย่างเดียว หรือมองว่าจะเอาสินค้าอะไรจากประเทศไทยไปขายที่เมืองจีน ควรมองด้วยว่าจะเอาสินค้าอะไรจากเมืองจีนมาขายที่เมืองไทยด้วย เพราะจีนสมัยก่อนไม่มีเงินตราต่างประเทศ เขาต้องขายสินค้าออกต่างประเทศ แต่ในวันนี้จีนมีเงินมากมาย เชื่อมั่นว่ายังต้องเกินดุลการค้า แม้จะไม่เท่าสมัยก่อนก็ตาม อย่างที่เห็น ๆ กันตลาดของจีนยิ่งใหญ่กว่าอเมริกาหลายเท่า เพราะประชากรจีนมี 1,300 ล้านคน วันนี้เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านพ้นไป จะไปซื้อก็ได้ หรือไปขายก็ได้
       ที่น่าสนใจเพราะประเทศจีนมีจำนวนประชากรไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านคนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ที่ผ่านมามีการกล่าวกันว่าการค้าผักผลไม้ระหว่างไทยกับจีนนั้นมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ แต่ในส่วนของผมกลับคิดว่าเราได้เปรียบ ขอให้ลองคิดดู ไทยไปซื้อผลไม้ของจีน คนไทยทุกคนได้กินผลไม้จากจีน 70 ล้านคน แต่ถ้าเพียงแค่ 10% ของคนจีนมากินผลไม้ไทยก็เท่ากับ 130 ล้านคนแล้ว ฉะนั้น ที่ว่าไทยเสียเปรียบ จึงไม่ควรคิดอย่างนั้น ต้องคิดว่ามีโอกาสมาแล้วจะทำอย่างไร ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ตลาดจีนยิ่งใหญ่มาก อยู่ที่ว่าเราจะเสียเปรียบเพราะความรู้ความสามารถของเราไม่ถึงหรือเปล่า
       ในสมัยที่ซีพีเข้าไปลงทุนนั้น เงินทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนักธุรกิจจีนไม่มีเงิน ไม่มีทุน ต้องอาศัยทุนต่างประเทศ ผมเคยพูดกับสมาคมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจจีนโพ้นทะเลที่เข้าไปลงทุนที่ประเทศจีน ใน 1 ปีมีการประชุมใหญ่กัน 1 ครั้งซึ่งจะมีนักธุรกิจจีนโพ้นทะเลมากันถึง 2,000 - 3,000 คน ผมบอกว่าเวลานี้การกลับมาลงทุนที่จีน สมัยโบราณเขาบอกว่า “มังกรข้ามน้ำข้ามทะเลสู้งูท้องถิ่นยังไม่ได้” แต่เวลานี้ต้องเป็น “มังกรข้ามน้ำข้ามทะเลมาเจอมังกรท้องถิ่น” เพราะคนจีนเก่ง ไม่แพ้ใคร แล้วเขารู้เรื่องท้องถิ่น แต่ถ้าถามว่าเราไปลงทุนในจีนได้ไหม ขอตอบว่าไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปอย่างเดียว เราต้องมีอะไรที่นักธุรกิจจีนยังไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้ หรือทำสู้เราไม่ได้ไปด้วย
       ส่วนประเทศญี่ปุ่น เปรียบเหมือนคนที่กำลังค่อย ๆ แก่ลง ปัจจุบันเมื่อเวลาเราไปดูงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในญี่ปุ่นจะเห็นแต่คนแก่ ที่ที่ผมไปดูโรงงาน ก็มีแม่บ้านมาทำงาน แล้วพอถึงช่วงที่แม่บ้านกลับไปทำงานบ้านโรงงานก็ปิดในช่วงนั้น ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกมาลงทุนต่างประเทศ แล้วก็ผลิตสินค้าจากต่างประเทศส่งกลับไปขายที่ญี่ปุ่น ซึ่งในวันนี้ซีพีเองก็เลือกร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นที่ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตมาก เพราะถ้าเป็นบริษัทใหญ่เขาก็ไม่ต้องการเรา แต่เราเลือกบริษัทกลางที่เขามีความคิดที่อยากจะออกมาลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มี Trademark อยู่ เราร่วมกับเขา ใช้ความรู้ของเขา
       ขณะเดียวกันเขาก็มาใช้ความรู้ในพื้นที่ในท้องถิ่นของเรา ด้วยวิธีนี้ 1+1 จึงกลายเป็น 5 เป็น 10 ไม่ใช่แค่ 2 หรือจะเลือกไปลงทุนกับเขาในบริษัทแม่ก็ได้ เพราะ P/E ต่ำมาก แค่ 5 หรือ 6 แต่ไม่ถึง 8 ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ของญี่ปุ่นก็เก่งมาก พอเขาลดเงินเยนอ่อนลง หุ้นขึ้นมาก่อนเลย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ญี่ปุ่นวันนี้จึงยังเต็มไปด้วยโอกาสที่เราน่าจะไปศึกษา ยิ่งในสถานการณ์นี้ วันนี้จีนกับญี่ปุ่นมีปัญหากันอยู่ ทำให้ญี่ปุ่นที่คิดจะลงทุนที่เมืองจีนเปลี่ยนใจหันมาลงทุนที่เมืองไทยแทน นี่ยิ่งเป็นโอกาส



       สำหรับประเทศอินเดียก็น่าสนใจ โดยเฉพาะซีพี เพราะเราทำเรื่องอาหารการกิน เราไม่ได้ส่งสินค้าไปจากเมืองไทย เราไปผลิตที่นั่น ขายที่นั่น ฐานะจนอย่างไรก็ต้องกิน
       ในการลงทุนของผม ผมเลือกประเทศที่มีประชากรมากๆ แล้วใช้เทคโนโลยีที่ใหม่ เพื่อให้ผลิตสินค้าในต้นทุนต่ำสามารถขายได้ในราคาถูก สอดคล้องกับผู้บริโภคในประเทศที่เป็นประชากรที่ยากจน
       อย่างประเทศบังคลาเทศ ซีพีก็ประสบความสำเร็จในการลงทุน เพราะใช้เทคโนโลยีใหม่ไปลงทุนในประเทศที่ด้อยพัฒนา อย่าเข้าใจผิดและคิดว่าถ้าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาแล้วต้องเอาธุรกิจที่ด้อยพัฒนาไปลงทุน ในประเทศที่ด้อยพัฒนายิ่งต้องเอาธุรกิจที่ทันสมัยไป ถึงจะชนะ เพราะจะทำให้ต้นทุนถูก เทคโนโลยีมีไว้เพื่ออะไร ไม่ใช่ทำให้สินค้าราคาแพง แต่เทคโนโลยีทำให้สินค้าราคาถูก อาจเรียกว่า 2 สูง คือ ลงทุนสูง ประสิทธิภาพสูง แต่สินค้าผลิตมามีต้นทุนต่ำ
       วิกฤติที่เกิดขึ้นอยู่ในยุโรป อเมริกา ถือเป็นโอกาสเช่นกัน สำหรับอเมริกาในวันนี้อย่าไปนึกว่าไม่ควรไปลงทุน ซีพีจะไปลงทุนที่อเมริกา สร้างโรงงานที่อเมริกา ซึ่งผู้คนทั่วไปอาจแปลกประหลาดใจ เพราะเราจะไปสร้างโรงงานที่ทันสมัยที่สุด ไม่มีคนงาน มีแต่ช่างเทคนิค มีแต่พนักงาน ต้องอย่าลืมว่าเทคโนโลยีของโลกเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรที่หุ่นยนต์ หรือเครื่องจักรทำไม่ได้ แต่แน่นอนบางอย่างเครื่องจักรอาจทำไม่ได้ ซึ่งธุรกิจนั้นเราก็อย่าไป คือ บางคนคิดว่าถ้าไปลงทุนที่อเมริกาจะมีปัญหาเรื่องแรงงาน แต่ลืมนึกถึงจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยี ว่าอเมริกาเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เราก็เลือกสินค้าที่ไม่ต้องใช้แรงงาน นอกจากนี้ทั้งอเมริกา และยุโรปก็มีความพร้อม มีตลาดยิ่งใหญ่ถึง 15 ประเทศ รวมแล้ว 3,000 ล้านคน แต่ที่สำคัญคือเมื่อไปทำธุรกิจต้องไปช่วยเอาสินค้าเขากลับมาขายในอาเซียนบ้าง ไม่ใช่ไปขายเขาอย่างเดียว อย่างนี้เราไปที่ไหนเขาก็ต้อนรับเรา ถ้าเรามัวแต่ไปเอาเปรียบเขาหรือไปขายสินค้าให้เขา อันนี้ก็ไม่ฉลาดพอ และยุคสมัยนี้เอเชียเริ่มมีเงินที่จะซื้อสินค้าจากอเมริกา ยุโรปได้แล้ว
       ไทยต้องศึกษาว่ามีธุรกิจอะไรที่ไปลงทุนแล้ว สามารถนำกลับมาขายเอเชียได้ หรือขายไปทั่วโลกได้ด้วย เพราะอเมริกาเป็นประเทศยิ่งใหญ่ หลายประเทศต้องเกรงใจเขา ต้องซื้อสินค้าเขา แต่ถ้าเราไปผลิตที่นั้น แล้วใช้ Made in USA ผลิตจากอเมริกาขายไปในประเทศที่ไม่ซื้อของจากเมืองไทย
       อย่างไรก็ตาม มีตัวเลขการลงทุนที่น่าสนใจว่า ในอาเซียนนั้นนักลงทุนต่างชาติไม่ได้เลือกมาลงทุนที่เมืองไทยเป็นอันดับหนึ่งแล้ว แต่เป็นประเทศอินโดนีเซียแทน จากตัวเลขปีที่ผ่านมา ต่างประเทศเอาเงินไปลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซีย 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 2 คือประเทศมาเลเซีย 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 3 ประเทศเวียดนาม 8,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 4 คือประเทศไทย 8,100 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ เห็นได้ว่าไทยยังสู้เวียดนามไม่ได้ สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะการเมือง หรือเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือ คมนาคม ซึ่งเมืองไทยยังขาดอยู่
       ขณะเดียวกัน โอกาสของไทยไม่ใช่มีเฉพาะประเทศจีน ทางเลือกของไทยยังมีอีก อย่างเช่นในเวลานี้ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่น่าสนใจมาก ควรต้องไปศึกษาที่อินโดนีเซียด้วย เพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตในอัตราสูง ประชากรมีจำนวนมาก เป็นตลาดใหญ่ และที่น่าสนใจมากอีกประเทศหนึ่งคือประเทศพม่า โดยในช่วงแรกที่จะเข้าไปลงทุนในพม่า อาจจะไปลงทุนอยู่ที่ชายแดนก่อน อาศัยใช้แรงงานของพม่า จากนั้นค่อยก้าวเข้าไปลงทุนในพม่า แล้วเอาสินค้าเข้าไปขายให้กับพม่า
    ที่เหลือ อ่านต่อที่นี้ : http://manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000033835
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่