ซีพีเล็งซื้อกิจการในสหรัฐ หวังเปิดตลาดใหม่

กระทู้สนทนา
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20130316/495356/ซีพีเล็งซื้อกิจการในสหรัฐ-หวังเปิดตลาดใหม่.html

ซีพีเล็งซื้อกิจการในสหรัฐ หวังเปิดตลาดใหม่

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เม่าอ่านหนังสือพิมพ์
ซีพี เล็งซื้อกิจการในสหรัฐ ฉวยจังหวะราคาถูก-เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ด้าน 'บัณฑูร'คาดอาเซียนกำลังกลายเป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่แซงหน้าตะวันตก

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวในหัวข้อ "มองโลกมองไทย 2015" ที่จัดโดยสภาธุรกิจไทย-จีน ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวแล้ว ผู้ที่ต้องการไปลงทุนควรรีบเข้าไป ขณะเดียวกัน ต้องระมัดระวังเงินทุนที่จะไหลกลับ ส่วนเศรษฐกิจยุโรปยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งในวิกฤติย่อมมีโอกาส และในโอกาสก็จะต้องมีวิกฤติตามมาเสมอ ดังนั้นต้องสนใจหาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐและยุโรป

นายธนินท์ กล่าวว่า ซีพี เริ่มศึกษาโอกาสมาหลายเดือนแล้วเลือกบริษัทที่สามารถเข้าไปถือหุ้น เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นของสหรัฐ ถือว่ามี P/E ต่ำ หุ้นราคาถูก เหลือเพียง 7-8 เท่า และจะเลือกบริษัทและทีมงานที่เก่ง สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นจะเป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับการเจรจา เนื่องจากนโยบายในการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศจะไม่เข้าไปบริหาร แต่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถและเข้าไปถือหุ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ก่อนหน้านี้ ซีพี ได้เข้าไปซื้อกิจการในอังกฤษและยุโรป โดยเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร

"อาศัยเครือข่ายในการนำสินค้าจากไทยเข้าไปในยุโรปและสหรัฐ และยังเป็นการได้ความรู้จากบริษัทที่มีประสบการณ์และความสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์กับประเทศที่กำลังพัฒนา ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้ออกไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนากว่า 15 ประเทศ โดยจะเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัยกับประเทศเหล่านี้เพื่อให้ผลิตได้ต้นทุนต่ำ" นายธนินท์ กล่าว

ส่วนการเข้าไปถือหุ้นบริษัท ผิงอัน ที่ทำธุรกิจทางด้านประกันชีวิต ธนาคารพาณิชย์ กองทุน ซึ่งก็มองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะมีการเติบโตเช่นเดียวกัน และเป็นบริษัทที่มีศักยภาพและในขณะนี้ราคาหุ้นของผิงอันได้ลดลงอยู่ที่ 70 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากก่อนหน้านี้ที่ระดับ 107 ดอลลาร์ต่อหุ้น

นายธนินท์ กล่าวว่าโลกที่เปลี่ยนไปในขณะนี้จะพบว่าประเทศในเอเชียเริ่มมีเงินทุนสะสม โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีเงินทุนสำรองไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับ 1 ของโลก และจากนี้ไปอีก 10 ปีจีนจะเติบโตกว่านี้หลายเท่าตัวแน่นอนและอยู่ในอันดับโลก ซึ่งจีนมีประชากรไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านคน การค้าประเทศจีนจึงมีแต่จะได้เปรียบด้านประชากร ขณะเดียวกันยังมีความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ และจีนยังจะเป็นผู้นำในเอเชียอีกด้วย

"ในเวลานี้เอเชีย ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น และ อินเดีย ยังเป็นประเทศที่ยังน่าสนใจและมีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน นำสินค้าในประเทศไทยส่งเข้าไปขายหรือจะนำสินค้าจากประเทศต่างๆ เหล่านี้เข้ามาขายในประเทศไทยก็ได้"

ชี้การเมืองทำเงินทุนไหลเข้าน้อย

สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น เข้าสู่สังคมวัยชราจึงต้องออกมาลงทุนต่างประเทศ แต่เป็นอีกประเทศที่เต็มไปด้วยโอกาสและมีความน่าสนใจเข้าไปลงทุน เนื่องจาก P/E ก็ยังอยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกันประมาณ 5-6 เท่า ซึ่งก็มีโอกาสที่ P/E จะปรับขึ้นไประดับ 8 เท่าได้ ซึ่งการที่ญี่ปุ่นมีปัญหากับประเทศจีนทำให้มีการย้ายฐานการลงทุนมากขึ้น ซึ่งไทยไม่ได้เป็นแหล่งดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงอีกแล้วจากปัญหาการเมือง โดยไทยในปัจจุบันนับเป็นอันดับ 4 ของอาเซียนที่มีเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าเป็นรองจากมาเลเซีย เวียดนามและอินโดนีเซีย

อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังเป็นอันดับ 1 ใน อาเซียนและอันดับ 5 ของเอเชีย ซึ่งไทยต้องรักษาไว้อย่าให้โอกาสนี้หลุดไปอยู่กับอินโดนีเซีย ขณะเดียวกัน ควรมองหาโอกาสจากอินโดนีเซียที่มีประชากรจำนวนมากและขนาดตลาดกำลังใหญ่ขึ้น รวมถึงพม่าก็ยังเป็นประเทศที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนเช่นเดียวกัน ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบในการทำการค้ากับกลุ่มซีแอลเอ็มวี ขณะเดียวกันยังเป็นแหล่งดึงดูดการท่องเที่ยว และที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนก็เข้ามาเที่ยวในไทยจำนวนมาก ซึ่งรัฐสามารถลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

แนะรัฐดูแลธุรกิจให้เหมาะสมขนาด

นายธนินท์ กล่าวว่า ต้องการฝากไปถึงรัฐบาลว่า ต้องการให้รัฐบาลไทยดูแลนักธุรกิจไทยให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจทั้ง 4 ขนาด คือ ขนาดจิ๋ว ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ด้วยการให้สามารถเติบโตได้ มีเงินทุนเพียงพอในการทำธุรกิจ เพราะธุรกิจขนาดใหญ่ต้องเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ หรือธุรกิจครอบครัวแต่ความต้องการของธุรกิจแตกต่างกัน ดังนั้นรัฐต้องสนับสนุนด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน

"ที่ผ่านมา รัฐบาลต้องมาส่งเสริมนักธุรกิจจิ๋วแรกเกิด เพราะยังอ่อนแอต้องการคนดูแล คือ เรื่องการเงิน นักธุรกิจไทยไม่ธรรมดา นักธุรกิจไทยเป็นเด็กกำพร้า ถ้ามีพ่อแม่ช่วยสนับสนุน เชื่อว่านักธุรกิจไทยจะเข้าสู่ระดับโลกในอันดับต้นๆ ได้อย่างแน่นอนรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ควรที่จะปล่อยกู้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางให้มีเงินทุนเพียงพอ อาจไม่ต้องเหมือนปล่อยกู้กับบริษัทขนาดใหญ่ก็ได้ แต่ทำให้บริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถเติบโตและแข่งขันได้" นายธนินท์ กล่าว

สำหรับ การดูแลค่าเงินบาทนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรปล่อยให้เคลื่อนไหวตามกลไกตลาด ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง เพราะเงินบาทที่แข็งค่าหรืออ่อนค่าย่อมมีผลดี และผลเสีย โดยเงินบาทที่แข็งค่าจะได้เปรียบจากการนำเข้าน้ำมันในราคาถูกลง และนำเข้าสินค้าในราคาถูกลง แต่ผู้ส่งออกอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลควรวางแนวทางการเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในแต่ละภาคธุรกิจ

"บัณฑูร"ชี้อาเซียนผงาดอันดับ3

ทางด้าน นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ขณะนี้โลกเปลี่ยนจากชาวตะวันตกเป็นเจ้าโลกมาเป็น จีน ญี่ปุ่น และอาเซียนที่กำลังเป็นอนาคตของโลก ด้วยขนาดเศรษฐกิจรวมกัน 23% ของโลก และจะมีบทบาทกับประเทศไทยเพิ่มขึ้นด้วยโดยแนวโน้มสำคัญจากนี้จะเห็นว่าในอีก 1 ทศวรรษการค้าจากอาเซียนจะเป็นอันดับ 3 ของไทย

ขณะเดียวกันกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับไทยในการด้านการค้าการลงทุนรวมถึงการแย่งเงินลงทุนโดยตรง (FDI) ไปด้วย แม้ว่าที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยเพื่อแสวงหาแหล่งต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตามประเทศไทยก็มีโอกาสและความจำเป็นที่จะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเพื่อหาต้นทุนที่ต่ำลงดังนั้นผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจความเป็นไปของกลุ่มประเทศเหล่านี้ให้มาก

แนวโน้มที่ 3 ญี่ปุ่นยังคงเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่องเพื่ออานิสงส์จากการที่ไทยอยู่ในศูนย์กลางของภูมิภาคและสามารถส่งสินค้าไปได้ทั่วโลกซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาตัวเองให้น่าลงทุน นอกจากนี้ เริ่มเห็นการลงทุนจากประเทศจีนเข้ามามีบทบาทในอาเซียนมากขึ้น โดยเป้าหมายหลักมุ่งไปที่อินโดนีเซียและซีแอลเอ็มวีโดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นนโยบายที่ชัดเจนในการผลักดันให้บริษัทจีนที่มียุทธศาสตร์และศักยภาพออกมาลงทุนต่างประเทศมากขึ้นรวมถึงประเทศไทย จึงหนีไม่พ้นว่าชีวิตคนไทยยุคใหม่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และทำงานกับจีนให้มากขึ้น

จีนคาดการค้า-การลงทุนเพิ่ม

นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า จีนมุ่งเน้นการพัฒนาและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งขณะนี้แผนของจีนมุ่งพัฒนาร่วมกันในภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียนรวมถึงประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในเวทีโลกหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ต้องเร่งส่งเสริมการค้าการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจีนมองว่าการค้าและการลงทุนของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"อยากให้ไทยมองว่า จีนไม่ใช่แค่เป็นโรงงานของโลกแล้ว แต่จะเป็นตลาดที่ใหญ่สุดของโลกในอนาคต ซึ่งขณะนี้จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 รองจากอเมริกา ในอนาคตอันใกล้ จีนจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ไทยต้องเน้นการทำการค้า การลงทุนกับจีนมากขึ้น"

ปัจจุบัน การส่งออกระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 69,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนการลงทุนของไทยไปจีน อยู่ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์ จากจีนมาไทย 12,000 ล้านดอลลาร์ และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และการก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในโลกของจีนเป็นผลจากการซื้อสินค้าจากต่างประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย คาดมีมูลค่านำเข้าต่อปีประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ จากปีก่อนอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์

Tags : ซีพี • บัณฑูร

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่