ตอนนี้ คงมีใครหลายคนกำลังคิดว่า ตัวเองเป็น Vi แล้วหรือยัง หรือกำลังจะเป็น Vi จำเป็นอยู่เพราะหุ้นที่ถืออยู่ติดดอย ผมอยากจะแชร์ความรู้สึกของผมในตัวตนที่ถือว่าเป็น Vi ได้แล้ว หรือ ถ้าใครคิดว่า ผมยังไม่ถือเป็น Vi ก็แชร์กันได้นะครับ
Vi = Value Investor
ในความคิดของผม การเลือกซื้อหุ้นที่จะลงทุนนั้น ต้องคิดที่จะถือมันไปตลอด โดยได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม ตามที่ต้องการเช่น ต้องการผลตอบแทนเป็นเงินปันผล (ไม่เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ ขึ้นลง) ราวๆ 6-8% ขึ้นไป ซึ่งการเลือกซื้อหุ้น ไม้แรก ลอตแรก ก็ต้องคำนวนแล้วว่า เราสามารถถือมันไปตลอด โดยไม่คัดทิ้ง เหตุที่ไม่คัดเพราะปันผลเฉลี่ย และ กำไรของบริษัทเฉลี่ย อยู่ในอัตราคงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงย้อนหลัง 5 ปี
ถ้าหุ้นตก ต้องซื้อเพิ่มตามกฏ ที่วางไว้เพราะ เมื่อราคาหุ้นที่ลดลง ทำให้ผลตอบแทนปันผล สูงขึ้นนั้นเองในไม้ที่สอง หรือ ลอตหลังๆ ที่ซื้อ ณ ที่นี้ ยังไม่ได้ เรื่องของการเปลี่ยนแปลง ของบริษัทที่จะเข้ามา อนึ่ง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด เช่น กำไรลดลง หรือ มีผลขาดทุนที่ตามมา ให้หยุด หาข้อมูล ข้อเท็จจริงก่อนที่จะตัดสินใจ หยุดซื้อเป็นที่แน่ชัด เพราะอาจจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อทุบหุ้น ก็เป็นได้
เรื่องของราคาตลาด มักจะตอบสนองกับ กำไรขาดทุนของบริษัท แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกันเสมอไป เพราะหุ้นบ้างตัวกำไรดี คนไม่เล่น ราคาไม่วิ่งไปไหน หุ้นขาดทุนบ้างตัว คนนิยมเพราะมีคนเชียร์ ชอบเก็งกำไรกันก็มีเยอะ ดังนั้นควรจะมีหลักในการเลือกซื้อหุ้น โดยการเล่นพื้นฐานมากกว่าเล่นเก็งกำไร
หลักๆ ในการเลือกหุ้น ซึ่งข้อนี้ไม่บอกเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักในการเลือกหุ้นผมจะเลือกหุ้นที่บริษัทสามารถ เจริญเติบโต ต่อไปได้อาจจะไม่ต้องก้าวกระโดด แต่ก็มีสเถียรสภาพในอนาคต ไม่ล้มจ่ม ง่ายๆ อ่านงบการเงิน จับประเด็ก รายได้ กำไร ค่าใช้จ่าย หนี้สิ้น ทรัพย์สิน และ ratio ต่างๆ เพื่อประกอบ การพิจารณาดูความเป็นไปได้ในการทำกำไรในอนาคต และที่สำคัญ กำไรขาดทุนที่ผ่านมาต้องไม่ สวิง ขึ้นๆลงๆ เพราะเป็นรายได้กำไรที่ไม่แน่นอน ผมชอบที่จะซื้อหุ้นที่มีการเติบโต 10-15% ทุกปี กำไรอาจจะไม่มาก แต่คิดว่าธรุกิจไปได้ไกล ซื้อแล้วถือวิเคราะห์ดูรายได้ ค่าใช้จ่ายในแต่ละไตรมาส เพื่อวางแผนรายได้ กำไร เงินปันผลในอนาคต
การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาก่อนลงทุน สำหรับผมยังมีอีกหลายอย่าง ที่ใช้เป็นข้อในการเลือกซื้อและลงทุน เพียงหุ้นไม่กี่ตัวในพอตปัจจุบัน เพราะต้องการศึกษาและให้เวลากับมันจริงๆ สำหรับ เพื่อนๆนักลงทุนคนอื่น มีความเห็นต่าง ก็แชร์ได้นะครับ ผมรับฟังเสมอ ส่วนคนที่เป็น Vi จำเป็นคงจะไม่มีวิธีคิดแบบวางแผนติดดอยตั้งแต่แรก ใช่หรือไม่
Vi ตัวจริง หรือ Vi จำเป็น
Vi = Value Investor
ในความคิดของผม การเลือกซื้อหุ้นที่จะลงทุนนั้น ต้องคิดที่จะถือมันไปตลอด โดยได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม ตามที่ต้องการเช่น ต้องการผลตอบแทนเป็นเงินปันผล (ไม่เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ ขึ้นลง) ราวๆ 6-8% ขึ้นไป ซึ่งการเลือกซื้อหุ้น ไม้แรก ลอตแรก ก็ต้องคำนวนแล้วว่า เราสามารถถือมันไปตลอด โดยไม่คัดทิ้ง เหตุที่ไม่คัดเพราะปันผลเฉลี่ย และ กำไรของบริษัทเฉลี่ย อยู่ในอัตราคงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงย้อนหลัง 5 ปี
ถ้าหุ้นตก ต้องซื้อเพิ่มตามกฏ ที่วางไว้เพราะ เมื่อราคาหุ้นที่ลดลง ทำให้ผลตอบแทนปันผล สูงขึ้นนั้นเองในไม้ที่สอง หรือ ลอตหลังๆ ที่ซื้อ ณ ที่นี้ ยังไม่ได้ เรื่องของการเปลี่ยนแปลง ของบริษัทที่จะเข้ามา อนึ่ง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด เช่น กำไรลดลง หรือ มีผลขาดทุนที่ตามมา ให้หยุด หาข้อมูล ข้อเท็จจริงก่อนที่จะตัดสินใจ หยุดซื้อเป็นที่แน่ชัด เพราะอาจจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อทุบหุ้น ก็เป็นได้
เรื่องของราคาตลาด มักจะตอบสนองกับ กำไรขาดทุนของบริษัท แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกันเสมอไป เพราะหุ้นบ้างตัวกำไรดี คนไม่เล่น ราคาไม่วิ่งไปไหน หุ้นขาดทุนบ้างตัว คนนิยมเพราะมีคนเชียร์ ชอบเก็งกำไรกันก็มีเยอะ ดังนั้นควรจะมีหลักในการเลือกซื้อหุ้น โดยการเล่นพื้นฐานมากกว่าเล่นเก็งกำไร
หลักๆ ในการเลือกหุ้น ซึ่งข้อนี้ไม่บอกเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักในการเลือกหุ้นผมจะเลือกหุ้นที่บริษัทสามารถ เจริญเติบโต ต่อไปได้อาจจะไม่ต้องก้าวกระโดด แต่ก็มีสเถียรสภาพในอนาคต ไม่ล้มจ่ม ง่ายๆ อ่านงบการเงิน จับประเด็ก รายได้ กำไร ค่าใช้จ่าย หนี้สิ้น ทรัพย์สิน และ ratio ต่างๆ เพื่อประกอบ การพิจารณาดูความเป็นไปได้ในการทำกำไรในอนาคต และที่สำคัญ กำไรขาดทุนที่ผ่านมาต้องไม่ สวิง ขึ้นๆลงๆ เพราะเป็นรายได้กำไรที่ไม่แน่นอน ผมชอบที่จะซื้อหุ้นที่มีการเติบโต 10-15% ทุกปี กำไรอาจจะไม่มาก แต่คิดว่าธรุกิจไปได้ไกล ซื้อแล้วถือวิเคราะห์ดูรายได้ ค่าใช้จ่ายในแต่ละไตรมาส เพื่อวางแผนรายได้ กำไร เงินปันผลในอนาคต
การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาก่อนลงทุน สำหรับผมยังมีอีกหลายอย่าง ที่ใช้เป็นข้อในการเลือกซื้อและลงทุน เพียงหุ้นไม่กี่ตัวในพอตปัจจุบัน เพราะต้องการศึกษาและให้เวลากับมันจริงๆ สำหรับ เพื่อนๆนักลงทุนคนอื่น มีความเห็นต่าง ก็แชร์ได้นะครับ ผมรับฟังเสมอ ส่วนคนที่เป็น Vi จำเป็นคงจะไม่มีวิธีคิดแบบวางแผนติดดอยตั้งแต่แรก ใช่หรือไม่