สามก๊กฉบับฮ่องเต้ (๓)

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับฮ่องเต้ (๓)

หองจูเหียบ...ฮ่องเต้ผู้เป็นเพียงหุ่น

เล่าเซี่ยงชุน


เมื่อ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งมีนามเดิมว่า หองจูเหียบ ได้ขึ้นครองราชสมบัติใน พ.ศ.๗๓๓ ด้วยอำนาจของ ตั๋งโต๊ะ ขณะที่มีอายุประมาณเก้าปีนั้น ก็เป็นเพียงหุ่นให้มหาอุปราชชักเชิดไปตามอำเภอใจ พอตั๋งโต๊ะตายลงด้วยความคิดของ อ้องอุ้น กับน้ำมือของ ลิโป้ ได้ไม่นาน ลิฉุย คนสนิทของตั๋งโต๊ะ ก็เข้ามายึดอำนาจคืน เวลาอีกประมาณสี่ห้าปีต่อมาพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เป็นเหมือนตุ๊กตา ที่เด็กยื้อแย่งกันไปครอบครอง ระหว่างลิฉุยกับ กุยกี จนขุนนางที่จงรักภักดี ต้องช่วยกันพาหนีไปจากเงื้อมมือของสองทรชน กลับมาอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ซึ่งรกร้างว่างเปล่าเพราะตั๋งโต๊ะได้เผาทิ้งไปแล้ว

ขุนนางเหล่านั้นก็ช่วยกันซ่อมแซมพระราชวังเดิมที่ยังเหลืออยู่ ให้พอจะประทับได้ และในเมืองนั้นก็มีราษฎรเหลืออยู่เพียงห้าร้อยหลังคาเรือนเท่านั้น ขุนนางที่เป็นหัวหน้าในครั้งนี้ก็คือ ตังสิน

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เจริญวัยขึ้นแล้ว มีมเหสีชื่อ นางฮกเฮา ซึ่งเป็นบุตรีของ ฮกอ้วน ขุนนางฝ่ายพลเรือนคนหนึ่ง ต่อมาตังสินจึงได้ยก นางตังกุยหุย น้องสาวของตนถวายเป็นสนมเอก ตังสินและฮกอ้วนจึงอยู่ในฐานะพระญาติพระวงศ์ผู้ใกล้ชิด สนิทสนมกับพระเจ้า เหี้ยนเต้เป็นอันมาก

ต่อมาพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ข่าวว่า โจโฉ ซึ่งเคยรบแพ้ตั๋งโต๊ะ ได้ไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว จึงมีหนังสือรับสั่งให้โจโฉยกกองทัพมาปราบปรามลิฉุยกุยกี จนสำเร็จราบคาบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็แต่งตั้งให้โจโฉเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โจโฉจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งเมืองหลวงใหม่ อยู่ที่เมืองฮูโต๋ ทางภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ในความครอบครองของโจโฉ

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ค่อยมีความสุขขึ้น จึงตั้งให้ตังสินและขุนนางที่ติดตามมาอีกสิบสามคนเป็นเสนาบดี ส่วนโจโฉซึ่งเป็นมหาอุปราชนั้น ก็แต่งตั้งพรรคพวกให้เป็นขุนนางน้อยใหญ่ มีที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนสี่คน นายทหารเอกสี่คน นายทหารโทห้าคน นายทหารตรีสองคน ดำเนินการปกครองบ้านเมืองโดยเด็ดขาด ถ้าผู้ใดจะว่าข้อราชการสิ่งใด ต้องมาแจ้งแก่โจโฉก่อน จึงจะกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้

เมื่อโจโฉได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้ว ก็ยกกองทัพไปปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วย หลายครั้งหลายหน แพ้บ้างชนะบ้าง แต่สุดท้ายก็กำจัดลิโป้ ซึ่งตั้งแข็งข้ออยู่ที่เมืองชีจิ๋วลงได้ ด้วยความร่วมมือของ เล่าปี่ โจโฉจึงพาเล่าปี่เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบว่าเล่าปี่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น นับในลำดับเป็นพระเจ้าอา ก็แต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง โจโฉจึงชักระแวงใจว่าเล่าปี่จะเป็นใหญ่เกินหน้าตนไปเสียอีก

โจโฉครองอำนาจสูงสุดในเมืองลกเอี๋ยงหลายปีเข้าก็ชักจะลืมตัว ทำอะไรไม่เกรงใจพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีการอาจเอื้อมต่าง ๆ จนขุนนางที่จงรักภักดีทนไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวางเพราะเกรงอำนาจอันล้นฟ้าของโจโฉ พระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงกับตรัสกับนางฮกเฮามเหสีว่าตลอดเวลาที่เสวยราชสมบัติมานั้น มีแต่ความระกำช้ำใจ เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะนั้นก็ว่าทำการหยาบช้าอยู่แล้ว พอมาถึงลิฉุยกุยกีก็คิดจะทำอันตรายแก่พระองค์อีก ครั้งนี้ได้โจโฉมาช่วยแก้ไข คิดว่าจะตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดิน ก็กลับมาทำการดูหมิ่นไม่ได้มีความยำเกรงอีกเล่า ทุกวันนี้ชีวิตของพระองค์นั้นไม่รู้ว่าจะถึงที่สุดเมื่อใด

พอดีฮกอ้วนผู้เป็นบิดาของนางฮกเฮา ได้เข้ามาเฝ้าในที่ข้างใน เห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกันแสงอยู่กับมเหสี จึงทูลถามว่าพระองค์ทรงขัดเคืองสิ่งใดหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตรัสเล่า ถึงความคับแค้น ให้ฮกอ้วนฟังทุกประการ ฮกอ้วนก็ทูลแนะนำว่า ตังสินน่าจะช่วยแก้ไขได้

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงปรึกษาว่าจะทำอย่างไร ฮกอ้วนก็บอกว่าทุกวันนี้โจโฉได้ใช้ให้หญิงคนสนิท มาคอยสอดแนมดูเหตุการณ์ในพระราชวังอยู่ตลอดเวลา จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวัง ถ้าจะเรียกตังสินเข้ามาปรึกษา ก็ต้องทำให้แนบเนียน

เมื่อฮกอ้วนกับไปแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ แล้วเอาโลหิตเขียนอักษรลงบนผ้าแพรขาว มีความว่า

"......แต่โจโฉเข้ามาอยู่เมืองหลวงได้สี่ปีแล้ว ทำการหยาบช้าต่าง ๆ จะตั้งขุนนาง แลลงโทษผู้ใด ก็มิได้ยำเกรงบอกกล่าวให้เรารู้ สุดที่จะอดกลั้นทนทานได้ เราจึงเอาโลหิตในนิ้วมือ เขียนอักษรเป็นความลับมาให้แจ้ง แม้ตังสินเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ก็ให้ ชักชวนกันทำการกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ ตัวเราแลขุนนางกับอาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป....."

แล้วก็ให้นางฮกเฮาเย็บผ้าแพรขาวนั้นซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ และให้หาตัวตังสินเข้ามาเฝ้า แล้วก็ประทานเสื้อตัวใหม่พร้อมกับกระซิบสั่งว่า ถ้าไปถึงบ้านแล้ว จงเอาหนังสือในกลีบเสื้อออกอ่านดู แม้นเห็นความทุกข์ของเรา จงเร่งคิดการให้สำเร็จ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้

ตังสินก็รับเอาเสื้อมาใส่ แล้วก็ถวายบังคมออกจากวังชั้นในจะกลับบ้าน โจโฉซึ่งทราบข่าวจากหญิงที่เป็นสายอยู่ในวัง ก็มาคอยดักตรวจค้นตังสิน แต่ก็ไม่ได้หลักฐานอะไร แม้จะสงสัยเสื้อใหม่ตัวนั้น ก็เอาไปไม่ได้เพราะเป็นของพระราชทาน

เมื่อตังสินกลับมาบ้าน ได้อ่านข้อความแจ้งแล้ว ก็ได้รวบรวมพรรคพวกที่จะร่วมมือกันกำจัดโจโฉได้ขุนนางพลเรือนสี่คนคือ จูฮก ตันอิบ โงห้วน จูลัน ฝ่ายทหารก็ได้ ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียงที่มาทำราชการในเมืองหลวง และ เล่าปี่ ซึ่งต่างก็ลงชื่อกันไว้ในแพรขาวนั้น

แต่เวลาล่วงไปโดยยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เล่าปี่กับม้าเท้งเกรงว่าเนื้อความนั้นจะแพร่งพรายไปถึงโจโฉ จึงหาอุบายปลีกตัวออกไปจากเมืองหลวง แล้วก็หายหน้าไปเลย

ตังสินกับเพื่อนอีกสี่คนรออยู่เป็นเวลานานนับปี ความทุกข์ก็สุมหัวอก จนตังสินได้ป่วยลง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงส่ง เกียดเป๋ง หมอหลวงมารักษา หมอเกียดเป๋งจึงได้รู้ความลับของ ตังสิน และอาสาจะไปวางยาพิษโจโฉเอง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนใช้ของตังสินรู้ความลับแล้วเอาไปบอกโจโฉ เพราะความแค้นที่ตังสินจับได้ว่าไปข้องแวะกับภรรยาน้อย เกียดเป๋งจึงถูกเฆี่ยนตีและตัดนิ้วมือทั้งสองมือ จนทนไม่ได้เอาศรีษะกระแทกพื้นหินตายไป

โจโฉจึงจับเอาตัวตังสินกับเพื่อนอีกสี่คน รวมทั้งบุตรภรรยา และสมัครพรรคพวกประมาณเจ็ดร้อยคนไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น เมื่อทราบว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เป็นผู้ออกรับสั่งเอง จึงเหน็บกระบี่เข้าไปในวัง พบฮ่องเต้กำลังปรึกษาอยู่กับมเหสี ก็ไม่ถวายบังคม ถามว่าตังสินคิดร้ายต่อข้าพเจ้าพระองค์รู้หรือไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้แกล้งรับสั่งวกวน แต่โจโฉไม่ฟังคาดคั้นว่า พระองค์เขียนพระอักษรด้วยโลหิตให้ตังสินไปนั้น ลืมไปเสียแล้วหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงต้องนิ่งเงียบไป

โจโฉจึงสั่งให้ตำรวจวังจับตัวนางตังกุยหุย สนมเอกที่เป็นน้องสาวของตังสินเอาไปฆ่าเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ขอร้องว่านางมีครรภ์ได้ห้าเดือนแล้วอย่างเพิ่งฆ่าเสียเลย

นางฮกเฮาก็ช่วยอ้อนวอนขอให้นางคลอดบุตรเสียก่อนเถิด โจโฉก็ยืนยันว่าถ้าเอาพันธุ์สันไว้ เมื่อมันโตขึ้นก็ต้องคิดแก้แค้นเป็นแน่

นางตังกุยหุยจึงขอความกรุณาเป็นครั้งสุดท้ายขอให้ใช้ผ้าแพรรัดคอตาย แทนการตัดศรีษะโจโฉก็ให้ไปเอาแพรขาวมาจะทำตามที่นางขอ

นางตังกุยหุยผู้โชคร้าย จึงต้องสิ้นชีวิตลงพร้อมกับลูกในครรภ์ โดยมิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด นอกจากความเป็นน้องของหัวหน้าผู้ก่อการขบถ เท่านั้นเอง.

ขณะเมื่อ นางตังกุยหุย ถูก โจโฉ ฆ่าตายนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้มีพระชนมายุประมาณสิบเจ็ดปี และได้ครองราชย์ต่อไปโดยปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการวางแผน ทำร้ายโจโฉมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะโจโฉเชื่อคำของกุนซือที่ว่า ทุกวันนี้ราชการเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงก็เป็นสิทธิ์อยู่แก่โจโฉ เพราะทำการสิ่งใด ก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ ขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงจึงยำเกรง อยู่ในบังคับบัญชาของโจโฉ ครั้งนี้แผ่นดินก็ยังไม่ราบคาบ ซึ่งจะเนรเทศพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจากราชสมบัตินั้น ถ้ารู้ไปถึงหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวง ก็จะยกกองทัพเข้าบรรจบกันมาทำอันตราย เห็นจะได้ความขัดสน ซึ่งโจโฉก็เห็นชอบด้วย

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงได้อยู่ในราชสมบัติ มาจนมีพระชนมายุได้ ประมาณสามสิบสามปี และมีพระราชบุตรกับ นางฮกเฮา มเหสีเอกถึงสองพระองค์

ฝ่ายโจโฉนั้นก็ยกกองทัพไปรบกับหัวเมืองต่าง ๆ ที่ยังแข็งข้ออยู่ หลายครั้งหลายคราว แต่ยังปราบก๊กของ เล่าปี่ ไม่ลง และไปพ่ายแพ้ก๊กของ ซุนกวน แตกทั้งทัrบกทัพเรือ เสียทหารไปหลายสิบหมื่น ครั้งหลังไปรบชนะ ม้าเฉียว บุตรของ ม้าเท้ง ซึ่งยกกองทัพจากเมืองเสเหลียงมาแก้แค้นแทนบิดา แต่โดนโจโฉต้อนเสียจนเหลือแต่ตัวคนเดียว ต้องหนีเตลิดออกไปนอกเขตแดนจีน

ขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน จึงขอรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่งตั้งโจโฉให้เป็นที่ วุยก๋ง มีอิสริยยศเก้าประการ โจโฉก็ยิ่งพระพฤติตนเป็นที่ขัดหูขัดตา พระเจ้าเหี้ยนเต้ และขุนนางเก่าที่จงรักภักดียิ่งขึ้นอีกเป็นอันมาก และอีกไม่นานก็มีขุนนางที่ประจบสอพลอจะขอให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เลื่อนวุยก๋งขึ้นเป็นวุยอ๋อง เทียบเท่าเจ้าต่างกรม ใครคัดค้านก็เป็นอันตรายไปต่าง ๆ เรื่องจึงยังชงักอยู่

วันหนึ่งโจโฉถือกระบี่เข้าไปถึงที่ข้างใน กราบทูลว่าบัดนี้ ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง กับเล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวน สองเมืองนี้กล้าแข็งมิได้มาอ่อนน้อมตามประเพณี

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ประชดว่าการทั้งนี้จะมาบอกเราไยเล่า จะทำสิ่งใดก็สุดแต่วุยก๋งเถิด.....ท่านจะคิดอ่านประการใด เราหรือจะขัดได้ โจโฉก็โกรธกลับไปโดยมิได้คำนับลาตามธรรมเนียม

พวกขันทีก็ชวนกันกราบทูลว่า โจโฉนั้นคิดอ่านจะเลื่อนที่เป็นเจ้าวุยอ๋อง นานไปเห็นจะเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติเป็นมั่นคง พระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮาได้ฟังก็ทรงพระกันแสง และพากับเสด็จเข้าห้องใน นางฮกเฮาจึงกราบทูลให้ปรึกษากับฮกอ้วนบิดาของตน

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า เดี๋ยวจะพากันตายเหมือนอย่างนางกุยหุยกับตังสินอีก นางฮกเฮา ก็ทูลว่า ถึงอยู่ก็หาความสบายไม่ได้ เหมือนกับตายแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยอมเห็นชอบด้วย จึงให้หา บอกสุ้น ขันทีคนสนิทเข้ามา เล่าความที่คิดไว้ให้ฟังทุกประการ แล้วให้ถือหนังสือไปหาอ้วนฮกชวยคิดการ

นางฮกเฮาก็เขียนหนังสือ แล้วให้บอกสุ้นซ่อนไว้ในผมมวย เอาไปให้ฮกอ้วนที่บ้าน ฮกอ้วนอ่านรู้ความแล้วก็ แต่งหนังสือถึงเล่าปี่กับซุนกวน ให้ยกทัพมาตีโจโฉ แล้วตนจะช่วยเป็นไส้ศึกให้ และอีกฉบับหนึ่งบอกเรื่องที่ตนจะทำ ให้บอกสุ้นเอากลับไปทูลฮ่องเต้ บอกสุ้นก็เอาหนังสือซ่อนไว้ในมวยผมเช่นเดิม

แต่พอมาถึงในวังก็เจอโจโฉคอยดักอยู่ และค้นพบหนังสือที่ซ่อนมา จึงเอาตัว บอกสุ้นไปใส่คุกไว้ แล้วคุมทหารสามพันไปจับตัวฮกอ้วนกับครอบครัว และริบทรัพย์สมบัติมาทั้งสิ้น กับได้หนังสือที่นางฮกเฮาเขียนถึงบิดาด้วย

วันรุ่งขึ้นโจโฉก็ให้ เอ๊กลี คุมทหารสามร้อยถืออาวุธครบมือ เข้าไปเอาตราประจำตำแหน่งของมเหสีคืนมา เมื่อนางฮกเฮาเห็นเอ๊กลีมาเรียกเอาตราของตนไปดังนั้น ก็รู้ว่าชีวิตของตนนั้นถึงฆาตแล้ว จึงหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในตำหนักแห่งหนึ่ง แล้วให้คนใช้ลั่นกุญแจข้างนอกไว้ แต่ก็ไม่พ้น โจโฉให้ ฮัวหิม นำทหารไปค้นอย่างละเอียดและพังประตูเข้าไป จิกผมลากตัวนางฮกเฮาออกมา

นางฮกเฮากลัวความตาย จึงร้องไห้อ้อนวอนว่า ท่านจงเอ็นดูอย่าให้ถึงแก่ความตายเลย ฮัวหิมก็ว่าเราเป็นแต่คนใช้ จงไปอ้อนวอนวุยก๋งเถิด แล้วก็จิกมวยผมนางฮกเฮาลากออกมาถึงข้างหน้าพระที่นั่ง

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตกพระทัย รีบเสด็จลงจากแท่นมากอดนางฮกเฮาไว้ แล้วทรงพระกันแสงรำพันไป ฮัวหิมก็ตวาดเอาว่า วุยก๋งให้มาเอาตัวนางฮกเฮาออกไป มัวแต่ชักช้าอยู่ดังนี้ โทษจะมิอยู่กับคนใช้หรือ ว่าแล้วก็กระชากลากถูเอานางฮกเฮาออกไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกันแสงจนสลบไป

โจโฉเห็นหน้านางฮกเฮาก็ทวงบุญคุญว่า ตนเองอุตส่าห์คิดอ่านปราบปรามเสี้ยนหนามให้ราบคาบทั้งแผ่นดิน เพื่อจะได้อยู่เย็นเป็นสุข แต่กลับคบคิดกับบิดาจะฆ่าตนเสีย ว่าแล้วก็ให้ทหารเอากระบองตีนางฮกเฮาถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารไปจับเอาบุตรของนางฮกเฮาทั้งสองคน ที่เกิดจากพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไปฆ่าเสียด้วย จากนั้นก็ให้เอาตัวบอกสุ้น กับฮกอ้วน กับครอบครัวและพรรคพวกบรรดาญาติพี่น้อง ของนางฮกเฮา ไปประหารเสียทั้งโคตร

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงโศกเศร้าถึงนางฮกเฮา และพระราชบุตรทั้งสองทุกเวลา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่